ดิ อัซกาลส์ เรื่องที่คุณอาจยังไม่รู้เกี่ยวกับกองทัพพันธุ์ผสม

"ดิ อัซกาลส์" เรื่องที่คุณอาจยังไม่รู้เกี่ยวกับกองทัพพันธุ์ผสม

ดิ อัซกาลส์ เรื่องที่คุณอาจยังไม่รู้เกี่ยวกับกองทัพพันธุ์ผสม

ฉายา ดิ อัซกาลส์ ของทีมชาติฟิลิปปินส์มาจากไหน พวกเขาภูมิใจหรือไม่กับความสำเร็จที่มาจากกองทัพลูกครึ่ง หาคำตอบได้ในบทความชิ้นนี้

ดิ อัซกาลส์ เรื่องที่คุณอาจยังไม่รู้เกี่ยวกับกองทัพพันธุ์ผสม

หลังสิ้นสุด เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ รอบแบ่งกลุ่มเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ทัพช้างศึกของเกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ทำผลงานได้ประทับใจแฟนบอลชาวไทยเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาเก็บ 9 คะแนนเต็มจากชัยชนะทั้งสามนัด กำราบ สิงคโปร์ แชมป์เก่าและเจ้าภาพ, มาเลเซีย เสือเฒ่ามากประสบการณ์ รวมถึงขุนพลเมียนมาร์ที่ยังอ่อนเชิงกว่าไทยลงได้อย่างราบคาบ

จากผลงานอันสวยหรูดังกล่าว ส่งผลให้ในสายตาอาเซียน ทีมชาติไทยกลายเป็น “เต็งหนึ่ง” ที่จะคว้าเอเอฟเอฟ คัพ ซึ่งรอคอยมายาวนานกว่า 12 ปีไปครอง พวกเขาเหลืออีกเพียง 4 นัด จาก 2 ด่านสุดท้ายที่ต้องฟันฝ่าไปให้ได้ เริ่มจากบุกเยือนฟิลิปปินส์ นัดแรกวันที่ 6 ธันวาคม ก่อนจะกลับมาเล่นในราชมังคลากีฬาสถาน วันที่ 10 ธันวาคม และหากผ่านไปได้ ไทยก็จะต้องเล่นรอบชิงชนะเลิศแบบ เหย้า - เยือน เหมือนเช่นรอบรองฯ ในวันที่ 17 และ 20 ธันวาคมตามลำดับ

ขณะที่คู่แข่งของไทยในรอบรองชนะเลิศ คือ ฟิลิปปินส์ เจ้าของฉายา “ดิ อัซกาลส์” ซึ่งเป็นสแลงภาษาตากาล็อก หมายถึงสุนัขพันธ์ุผสม หรือสุนัขข้างถนน ประเดิมสนาม 2 นัดแรกได้อย่างสุดหรูในทัวร์นาเมนต์นี้เช่นกัน พวกเขาถล่มทั้งลาวและอินโดนีเซียไปแบบขาดลอย ก่อนจะโดนเวียดนามไล่ต้อนไปแบบหมดท่าในนัดสุดท้าย แต่นั่นก็เป็นเกมที่พวกเขาจองตั๋วสู่รอบรองไว้ได้ก่อนหน้านั้นเรียบร้อยแล้ว

ดิ อัซกาลส์ เรื่องที่คุณอาจยังไม่รู้เกี่ยวกับกองทัพพันธุ์ผสม

ฟิลิปปินส์กลายเป็นเพียง 1 ใน 2 ชาติร่วมกับมาเลเซีย ที่ทะลุถึงรอบน็อคเอาท์ของเอเอฟเอฟ คัพ ได้ตลอดทั้ง 3 ครั้งหลังสุด (ไทยเคยตกรอบแบ่งกลุ่มเมื่อปี 2010) ซึ่งนั่นคงการันตีได้เป็นอย่างดีว่าขุนพลปินอยมาไกลกว่ายุคที่พวกเขาถูกขนานนามเป็น “ไม้ประดับ” แห่งอาเซียนอยู่มากโข

เบื้องหลังความแข็งแกร่งของฟิลิปปินส์ ยังคงอยู่ที่บรรดาแข้งลูกครึ่งทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น ฟิล ยังฮัสแบนด์ สตาร์เบอร์หนึ่งของทีมซึ่งมีคอเกม Football Manager แนะนำให้สมาคมฟุตบอลฟิลิปปินส์รู้จัก ไปจนถึงบรรดาดาวรุ่งตัวใหม่ๆ อย่างมานูเอล อ็อตต์ มิดฟิลด์ที่เข้ามาเสริมกำลังในแดนกลาง ไปจนถึง ไดซุเกะ ซาโต นักเตะสารพัดประโยชน์ลูกครึ่งญี่ปุ่นที่ทำได้ดีทางริมเส้นฝั่งซ้าย

พวกเขาเหล่านี้เป็นผลพวงจากกฎหมายสองสัญชาติซึ่งนำออกมาใช้เมื่อปี 2003 เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กที่มีเชื้อสายฟิลิปปินส์ ไม่ว่าจะถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ สามารถถือสัญชาติและมีสิทธิหลายประการเหมือนคนฟิลิปปินส์โดยกำเนิด ด้วยความที่เคยตกเป็นอาณานิคมสเปนอย่างยาวนาน และมีชาวต่าวชาติเดินทางเข้าออกประเทศเป็นจำนวนมากมาทุกยุคทุกสมัย ส่งผลให้ประเทศฟิลิปปินส์มีลูกครึ่งมากมายกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก กฎหมายฉบับดังกล่าวอาศัยประโยชน์จากจุดนี้เพื่อนำบุคลากรที่มีคุณภาพมาพัฒนาประเทศในเรื่องต่างๆ รวมถึงกีฬาฟุตบอลก็ถือเป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน

ดิ อัซกาลส์ เรื่องที่คุณอาจยังไม่รู้เกี่ยวกับกองทัพพันธุ์ผสม

นับจากวันที่พี่น้องยังฮัสแบนด์เลือกเล่นให้ทีมชาติฟิลิปปินส์เมื่อปี 2005 พวกเขาใช้เวลาเพียงประมาณ 5 ปี เดินทางมาถึงรอบรองชนะเลิศ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ในปี 2010 ซึ่งเป็นเวลาพอดิบพอดีกับที่ฉายา “ดิ อัซกาลส์” ดังกระฉ่อนทั่วทวิตเตอร์ จากการเรียกขานตัวเองของแฟนบอลฟิลิปปินส์ ทั้งหมดนั้นยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าชาวฟิลิปปินส์ภาคภูมิใจต่อความเป็นกองทัพ “พันธุ์ผสม” ของพวกเขามากน้อยแค่ไหน

พวกเขารับเอา ‘หมาพันทางข้างถนน’ มาเป็นสัญลักษณ์และภาพลักษณ์ของฟุตบอลทีมชาติอย่างเต็มอก หลายครั้งที่เราเห็นโลโก้ทีมชาติเวอร์ชันหัวสุนัขขึ้นหราบนโทรทัศน์หรือในสนามแข่งเอง ขณะที่ใครๆ ให้ค่ากับความเป็น ‘พันธุ์แท้’ แฟนฟุตบอลปินอยกลับเห็นว่าความเป็นพันทางนั้นคือยืดหยุ่น ปรับตัวได้ รับข้อดีจากแต่ละพันธุ์มาปรับใช้ เป็นความแข็งแกร่งในความอ่อนตัว เป็นสัญชาตญาณแห่งความอยู่รอด - หาใช่ความต้อยต่ำ

ฟิลิปปินส์กำลังเดินตามรอยความสำเร็จของหลายๆ ทีมชาติในยุโรป ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส, เนเธอร์แลนด์ รวมไปถึงเยอรมัน ที่ใช้บรรดาแข้งสองสัญชาติมาเสริมความแข็งแกร่งให้ทีมชาติของตัวเอง และเป็นสูตรสำเร็จที่ทำให้บรรลุผลตามเป้าหมายมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นกองทัพตราไก่เมื่อปี 1998 หรือ ขุนพลอินทรีเหล็กในปี 2014 ที่ผ่านมา

ดิ อัซกาลส์ เรื่องที่คุณอาจยังไม่รู้เกี่ยวกับกองทัพพันธุ์ผสม

วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมา จึงป่วยการอย่างยิ่งที่เราจะถามชาวฟิลิปปินส์ว่าภาคภูมิใจหรือไม่กับความสำเร็จจากฝีเท้าของแข้งลูกครึ่ง (เพราะพวกเขาแสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่าภูมิใจเป็นที่สุด) ป่วยการอย่างยิ่งที่จะกล่าวหา หรือถากถางเขาด้วยเรื่องนี้ ป่วยการสิ้นดีที่จะยกประเด็นนักเตะฟิลิปปินส์บางคนร้องเพลงชาติไม่ได้ โดยไม่ได้หันมาดูเลยว่า ไทยเองก็มีชาริล ชัปปุยส์ ยืนตรงเคารพเพลงชาติ พลางขยับปากตามแบบกระท่อนกระแท่นอยู่อีกคน

เหลืออีกเพียงไม่กี่ชั่วโมงให้ทัพช้างศึกได้เตรียมตัว ก่อนจะลงเตะที่สนาม ริซัล เมโมเรียล ในวันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม ณ กรุงมะนิลา ไทยในฐานะ “เต็งหนึ่ง” ตามที่ทีมงาน โกล ทั่วอาเซียน ยกย่อง สมควรที่จะใช้เวลาอันมีค่าที่เหลืออยู่โฟกัสกับฟอร์มการเล่นของตัวเอง ขัดเกลาจุดบกพร่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกมรับให้สมบูรณ์ขึ้น สนใจผลงานและแท็คติกในสนามแทนที่จะไปโวยวายกับเรื่องไม่เป็นเรื่องนอกเกม และเสียสมาธิไปแบบไม่จำเป็น

สิ่งหนึ่งที่ทีมชาติไทยรวมถึงแฟนบอลไทยจำเป็นต้องตระหนักให้มากก็คือ ฟุตบอลเป็นเรื่องของ “ฝีเท้า” ไม่ใช่ “เชื้อชาติ” ซีเนดีน ซีดาน ไม่ได้พาฝรั่งเศสชูถ้วยเวิลด์ คัพ เพราะมีเชื้อสายแอลจีเรีย แต่เพราะทักษะและความสามารถในเกมลูกหนังล้วนๆ ฟิลิปินส์เพียงใช้ประโยชน์จากต้นทุนที่พวกเขามี เพื่อคัดสรรทรัพยากรจากประเทศที่มีสภาพแวดล้อมทางฟุตบอลที่ดีกว่ามาใช้ เหมือนที่ไทยคว้า ชาริล ชัปปุยส์ มาจากประเทศที่ผลิตนักเตะอย่าง เซอร์ดาน ชากีรี ไม่มีผิดเพี้ยน

ดิ อัซกาลส์ เรื่องที่คุณอาจยังไม่รู้เกี่ยวกับกองทัพพันธุ์ผสม

แน่นอนว่าแนวทางการพัฒนาเกมฟุตบอลในแต่ละประเทศย่อมแตกต่างกัน ขณะที่ฟิลิปปินส์มุ่งหน้าควานหาลูกครึ่งมาจากประเทศที่มีสภาพแวดล้อมทางฟุตบอลเพียบพร้อม ไทยเองก็กำลังมุ่งมั่นกับกับสร้างสภาพแวดล้อมของเราเองในนาม “ไทยพรีเมียร์ลีก” และถ้าผลผลิตจากไทยพรีเมียร์ลีกดีกว่านักเตะที่ฟิลิปปินส์ควานหามา จะลูกครึ่ง, โอนสัญชาติ หรือมาจากดาวเคราะห์ดวงไหนในจักรวาลก็คงไม่ใช่ปัญหา

อย่าลืมนะครับ ว่าในเกมอุ่นเครื่องก่อนที่เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ จะเปิดฉากขึ้น ทัพช้างศึก “ยังบลัด” ของเราก็เคยไล่ต้อน “ดิ อัซกาลส์” แบบหมดท่ามาแล้วถึง 3-0 ณ สนามเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดนครราชสีมา มันจึงไม่มีเหตุผลใดเลยที่จะขัดขวางไม่ให้เราทำแบบนั้นได้อีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นที่ริซัล เมโมเรียล หรือราชมังคลากีฬาสถาน ในวันที่ 10 ธันวาคม

นอกเสียจากว่า...เราจะมัวไปสนจุดยืนของคนอื่น จนลืมก้มมองดูเท้าของตัวเอง

ขอบคุณข่าวจาก :: GOAL.COM/th

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์