1 ปีแห่งฟ้าหลังฝนของ...กรวิทย์ นามวิเศษ

1 ปีแห่งฟ้าหลังฝนของ...กรวิทย์ นามวิเศษ

หากพูดถึงนักเตะที่ฟอร์มพัฒนาโดดเด่นแบบก้าวกระโดดคงไม่พ้นมีชื่อเซนเตอร์ทีมชาติไทย "ปราสาทสายฟ้า" นำโผ ...จากนักเตะที่ใครต่างหมางเหมิน ปัจจุบันเขาคือกองหลังประดับยศด้วย 5 โทรฟี่!


หลังจากจบเกมนัดชิงดำ เอฟเอ คัพ เมื่อคืนที่ผ่านมา บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ยังเป็นฝ่ายรักษาสถิติไร้พ่ายเหนือ "กิเลนผยอง" หลังได้ประตูจาก อันเดรส ตูเญซ, โก ซุล-กิ และ จักรพันธ์ แก้วพรม ช่วยให้ทีมเอาชนะไปได้ 3-1 คว้าถ้วยสมัยที่ 4 ในรายการนี้ไปครองสมใจ

...และเมื่อรวมกับความสำเร็จอื่นๆ ในปีนี้ของพวกเขา ทั้ง ถ้วยพระรานทานประเภท ก. , แชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก, ลีก คัพ และ แม่โขง คลับ แชมเปี้ยนชิพ ทำให้ "ปราสาทสายฟ้า" คว้าไปแล้วทั้งหมด 5 โทรฟี่ในฤดูกาลเดียว และเป็นสโมสรแรกจากเอเชียที่ก้าวไปถึงความสำเร็จนี้

ฤดูกาลนี้ถือเป็นซีซั่นแห่งความยิ่งใหญ่ของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และน่าจะเป็นปีทองของแข้งหลายๆ คนที่พาเหรดโชว์ฟอร์มร้อนแรง ทั้ง ดิโอโก หลุยส์ ซานโต หัวหอกบราซิเลียนที่คว้าราวัลดาวซัลโวสูงสุดประจำลีกพร้อมทำสถิติแข้งคนแรกที่พังประตูเกิน 30 ลูกในฤดูกาลเดียว, ธีราทร บุญมาทัน วิงแบ็คเจ้าพ่อลูกนิ่ง,ซึ่งจารึกสถิติแอสซิสต์สูงถึ 19 ครั้งและมีชื่อทำประตูจากลูกเตะมุมใส่ กัมบะ โอซาก้า จนดังไปทั่วโลก รวมทั้ง โก ซุล-กิ ห้องเครื่องพลังโสมที่ทำผลงานยอดเยี่ยมคงเส้นคงวาตลอดปีและเพิ่งจะรับรางวัลแข้งยอดเยี่ยมประจำรายการ เอฟเอ คัพ ปีนี้

...ทว่ามีแข้งหนึ่งคนที่อาจจะไม่ได้โดดเด่นที่สุด แต่เขาคือนักเตะประเภทที่ทีมไว้ใจได้เสมอ และ กรวิทย์ นามวิเศษ ก็คือชื่อของผู้ชายคนนี้

1 ปีแห่งฟ้าหลังฝนของ...กรวิทย์ นามวิเศษ

กองหลังวัย 29 กะรัตถือเป็นหนึ่งในคนสำคัญที่ช่วยให้เกมรับของ "ปราสาทสายฟ้า" เสียประตูน้อยที่สุดในปีนี้ (24 ประตู) โดยอดีตแนวรับ แบ็งคอก ยูไนเต็ด ลงประจำการแผงหลังฝั่งซ้ายไปทั้งหมด 32 นัดในฤดูกาลนี้ ซึ่งถือเป็นตัวเลขการลงสนามของผู้เล่นเกมรับที่มากที่สุดของทีมเทียบเท่ากับ ธีราทร บุญมาทัน นอกจากนี้ "เจ้าตุ้ย" ยังเพิ่มเติมทีเด็ดจากลูกตั้งเตะและพังประตูไป 4 ลูกด้วย


ด้วยความดุดัน อ่านเกมได้เฉียบขาด ทำให้ "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ทดลองจับเขามายืนเป็นเซนเตอร์ฮาล์ฟในนามทีมชาตินัดแรกคือเกมที่ "ช้างศึก" พบกับ "หมอผี" แคเมอรูน แม้จะแพ้ แต่กรวิทย์ก็สอบผ่าน และกลายเป็นตัวหลักในตำแหน่งเซนเตอร์ฮาล์ฟทีมชาติไทยนับแต่นั้น

...จากนักเตะที่ถูก มาโน่ โพลกิ้ง กุนซือบราซิเลียน "แข้งเทพ" ทอดทิ้งแบบไร้เยื่อใยเพราะไม่อยู่ในแผนการทำทีม และเกือบจะหาที่ไปไม่ได้ด้วยอายุอานามที่เริ่มมากขึ้น วันนี้ กรวิทย์ แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะก้าวออกจากนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ด้วยโทรฟี่ใบที่ 5

"ผมก็ไม่คิดว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ จุดที่เราช่วยให้สโมสรคว้าได้ถึง 5 แชมป์ในปีเดียว เพราะว่ามันต่างจากปีที่แล้วมาก ผมไม่เคยมีทั้งรางวัลส่วนตัวหรือโอกาสในการสัมผัสเกมระดับนี้" กองหลังวัย 29 กะรัตให้สัมภาษณ์กับ FFT TH "มันก็เหมือนกับฝันที่เป็นจริง แต่ส่วนหนึ่งก็เกิดจากแรงผลักดันของตัวเองด้วยเพราะเมื่อก้าวมาอยู่ตรงนี้แล้วก็อยากจะประสบความสำเร็จ อยากมีรางวัลกลับไปบ้างเหมือนกัน"

"ตอนนั้นที่รู้ว่าเราไม่ได้ไปต่อกับ แบ็งคอก ยูไนเต็ด ก็ไม่ได้โกรธ มาโน่ (โพลกิ้ง) หรือใครทั้งนั้น โดยส่วนตัวแล้วผมเข้าใจดีว่าเวลาเปลี่ยนคนทำทีม เขาก็ต้องมีระบบของเขาและเมื่อเราไม่ได้อยู่ตรงนั้นก็เป็นวิถีทางของฟุตบอลที่ต้องแยกทางกัน มันก็เหมือนพายุร้ายก้อนหนึ่งที่พัดเข้ามาในชีวิตผมแล้วก็พัดผ่านไป สุดท้ายวันนี้ก็มาถึงฟ้าหลังฝนที่มันต้องสดใสกว่าเสมอ..."

1 ปีแห่งฟ้าหลังฝนของ...กรวิทย์ นามวิเศษ

โดย กรวิทย์ ได้ย้อนเล่าถึงช่วงเวลาที่เปลี่ยนชีวิตของเขา ระหว่างที่เข้าห้องฟิตเนสจู่ๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์ที่ปลายสายดังขึ้น พร้อมกับเสียงของ ทัดเทพ พิทักษ์พูลสิน ผู้จัดการทีม บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่เห็นแววอะไรบางอย่างในตัวเขาและติดต่อเขาไปร่วมทีม... เขาแทบไม่อยากเชื่อว่าสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองไทยและอาเซียน จะเซ็นสัญญากับเขาในวันที่รู้สึกหมดหวังสุดๆ


"ไม่เชื่อเลยครับตอนนั้น คือด้วยความที่ผมมีรุ่นพี่มีเพื่อนเยอะ เลยคิดว่าต้องโดนอำแน่ๆ เพราะเราเองก็เคยทำกับเขาไว้มากเหมือนกัน จนกระทั่งบินไปตรวจร่างกายได้เซ็นสัญญา ผมก็ยังรู้สึกแปลกๆ ซึ่งตอนนั้นมันก็มีคำถามจากแฟนบอลทั่วประเทศว่าผมคือใคร ทำไมถึงได้มาเซ็นกับบุรีรัมย์ ไม่มีใครตอบได้ แม้แต่สโมสร คนที่ติดต่อ หรือตัวผมเองก็ตอบไม่ได้ว่าทำไมถึงถูกเลือก แต่ ณ วันนั้นผมก็ตั้งเป้าเลยว่าจะช่วยให้ทีมทำตามเป้าด้วยการคว้า 5 แชมป์ให้ได้ และวันนี้ผมก็ทำสำเร็จแล้ว"

ขอบคุณ fourfourtwo.com

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์