★ปรีวิวฟุตบอลโลก วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน 2553 ... เยอรมัน - ออสเตรเลีย(01.30 น.)


เยอรมัน


          อดีตแชมป์โลก 3 สมัย เยอรมัน เข้ารอบสุดท้ายมาบรรเลงเพลงแข้งที่แอฟริกาใต้ด้วยความคาดที่ค่อนข้างสูงหวังจากสื่อมวลชน และแฟนบอล หลังจากพกดีกรีชนะเลิศในปี 1954 ที่สวิตเซอร์แลนด์, 1974 ที่เยอรมันเป็นเจ้าภาพ และ 1990 ที่อิตาลี่ อินทรีเหล็กนำทีมโดยกุนซือหนุ่ม โยอาคิม เลิฟ ที่มุ่งหวังเป็นอย่างมากที่จะพาทีมคว้าถ้วยฟุตบอลโลกเป็นครั้งที่สี่ให้ได้

          ทีมชาติเยอรมันมีผู้เล่นที่ประสบการณ์สูงหลายคน และถึงแม้ทีมอาจจะไม่มีเทคนิคแพรวพราว แต่ด้วยแท็คติกบวกกับความเป็นเลือดนักสู้ที่ไม่เคยท้อ แม้ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ทำให้ขุนพลอินทรีเหล็กฝ่าฝันเข้ารอบลึกๆมาได้ทุกครั้ง สิ่งที่น่าจับตามองมากสำหรับพวกเขาในทัวร์นาเมนต์ก็คือ มิชาเอล บัลลัค กัปตันจอมอาภัพที่พยายามอยู่หลายครั้ง เพื่อจะคว้าแชมป์โลกมาครองให้ได้ หลังจากได้รองแชมป์เมื่อปี 2002 ที่เกาหลีใต้กับญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพร่วม รวมทั้งปี 2006 ก็ได้เพียงอันดับ 3 ในบ้านเกิดตัวเอง และถึงยูโร 2008 ที่ออสเตรียกับสวิตเซอร์แลนด์ ทีมจากเมืองเบียร์ก็ได้เพียงรองแชมป์เช่นกัน


          ไม่เพียงเท่านั้น มิชาเอล บัลลัค นอกจากจะโด่งดังไปเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง เขายังถูกนำไปเปรียบเทียบกับ ยอดกัปตันทีมชาติเยอรมันระดับตำนานที่เคยพาทีมชูถ้วยฟุตบอลโลกมาแล้วอย่าง ฟริตท์ วอล์เตอร์, ฟรานซ์ เบ็คเค่นบาวเออร์ และ โลธ่า มัทเธอุส อีกด้วย อินทรีเหล็กยังฝากความหวังกับดาวยิงของทีม มิโรสลาฟ โคลเซ่ ที่มักจะโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมทุกครั้งในทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลก รวมทั้ง ฟิลิปปส์ ลาห์ม, บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ และ ลูคัส โพดอสกี้


เส้นทางสู่แอฟริกาใต้ 2010


          ในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก 2010 เยอรมันถูกจับให้อยู่ในกลุ่ม 4 ทีมใส้กรอกทำแต้มหล่นเพียง 2 เกม ในนัดที่พบกับ ฟินแลนด์ ทั้งเหย้าและเยือน โดยเกมแรกบุกไปเสมอ 3-3 ถึงเฮลซินกิ ซึ่งเป็น มิโรสลาฟ โคลเซ่ ทำแฮตทริกฮีโร่ในเกมนั้นด้วย และกลับมาเสมอกันอีกครั้งที่ฮัมบวร์ก 1-1 ในเกมสุดท้ายของรอบคัดเลือก อย่างไรก็ตาม เยอรมันก็ตบเท้าเข้าสู่รอบสุดท้ายด้วยการเป็นอันดับที่ 1 ของกลุ่ม ทิ้งทีมอันดับรองลงมาอย่าง รัสเซีย, ฟินแลนด์, เวลส์, อาเซอร์ไบจัน และ ลิกเท่นสไตน์ ตกรอบตามระเบียบ


          สองเกมที่สร้างความประทับใจให้ทีมชาติเยอรมันก็คือการชนะรัสเซียทั้งไปและกลับ ซึ่งเป็นการแย่งเข้ารอบกันโดยตรง และเกมที่สุดสำคัญในนัดก่อนสุดท้ายเมื่อขุนพลอินทรีเหล็กบุกไปชนะรัสเซีย 2-1 ถึงมอสโกว์ นับเป็นเกมแรกที่รัสเซียพลาดท่าแพ้ในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก ก่อนจะพลาดท่าแพ้สโลเวเนียในรอบเพลย์ออฟตกรอบไปอย่างเจ็บปวด รูปแบบการเล่นภายใต้การคุมทัพของ โยอาคิม เลิฟ เน้นเกมบุกที่ดุดันมากขึ้นต่อเนื่องมาจากชุดของ เจอร์เก้น คลิ้นท์มัน ในปี 2006 ที่มีเกมบุกน่าตื่นตาตื่นใจ


นักเตะที่น่าจับตามอง


          ก็ไม่ใช่ใครอื่น ห้องเครื่องจากสโมสรเชลซี มิชาเอล บัลลัค กัปตันจอมอาภัพของทีม ดาวเตะวัย 33 ปี ติดทีมชาติทั้งหมด 97 ครั้ง และพยายามอย่างเต็มที ที่จะพาทีมชาติของตัวเองคว้าแชมป์โลกมาครองให้ได้ หลังพลาดมาหลายครั้งตั้งแต่ รองแชมป์โลกปี 2002 และ ยูโร 2008 เชื่อกันว่าในมหกรรมที่แอฟริกาใต้ครั้งนี้ จะเป็นโอกาสสุดท้ายของเขา เพราะด้วยอายุที่มากเกินไปแล้ว


          มิโรสลาฟ โคลเซ่ ยอดดาวยิงเจ้าของสถิติ 48 ประตู จาก 93 นัด ทำให้ศูนย์หน้ารายนี้กลายเป็นดาวซัลโวตลอดกาลอันดับที่ 3 ในนามทีมชาติ ตามหลัง แกร์ด มุลเลอร์(68 ประตู) และ โจอาคิม สแตรช (55 ประตู) และจอมถล่มประตูจากสโมสร บาเยิร์น มิวนิค ก็คงเป็นที่ถูกจับตาอย่างมากในทัวร์นาเมนต์นี้ ขณะที่เพื่อนร่วมสโมสรอย่าง ฟิลิปปส์ ลห์ม และ บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ ก็ถูกเพ่งเล็งไม่แพ้กัน หลังทัมร์นาเมนต์ก่อนๆโชว์ฟอร์มได้ทุกครั้ง


ผู้จัดการทีม


          โจอาคิม เลิฟ อดีตผู้ช่วยของ เจอร์เก้น คลิ้นท์สมัน ในฟุตบอลโลก 2006 เรียกว่าตกอยู่ภายใต้ร่มเงาของกุนซือฉลามขาวอยู่นาน ก่อนที่จะรับบทบาทเป็นหัวเรือใหญ่ของอินทรีเหล็กเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2006 บุนเดสเทร์นเนอร์วัย 49 ปี ก็สานต่อแนวทางของ คลิ้นท์สมัน ด้วยการเล่นเกมรุกที่ดุดัน แต่มาเสริมเติมแต่งเกมรับ ให้สมดุลขึ้น เขาเจอบททดสอบที่สำคัญในศึกฟุตบอลยูโร 2008 และก็ไม่ทำให้แฟนๆต้องผิดหวัง เมื่อพาทีมหักปากกาเซียนคว้ารองแชมป์ไปได้  และมาครั้งนี้ ก็จะเป็นเวทีใหญ่สำหรับเขาอีกครั้งว่ายังสอบผ่านอยู่หรือไม่ คำจำกัดความของ เลิฟ ว่าเอาไว้ความมุ่งมั่นและทำงานหนักเท่านั้น ที่จะก้าวไปถึงจุดสูงสุดได้ 


ประวัติของทีมในฟุตบอลโลก


          - เยอรมัน ได้แชมป์โลกทั้งหมด 3 ครั้ง(1954, 1974, และ 1990) เป็นรองเพียงแค่ บราซิล(5) และ อิตาลี (4)


          - ในปี 1930 และ 1950 เพียง 2 ครั้งเท่านั้น ที่เยอรมันไม่สามารถผ่านเข้ามาเล่นรอบสุดท้าย


สถิติน่ารู้


          - เยอรมันเข้ารอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกทั้งหมด 7 ครั้ง เท่ากับ ทีมชาติบราซิล


          - เยอรมันแข่งยิงลูกโทษในศึกฟุตบอลโลกทั้งหมด 4 ครั้ง และชนะได้ทั้งหมด


วาทะ


          เราเคยประสบความสำเร็จมาในอดีต และนั่นเป็นแรงบันดาลใจให้นักเตะรุ่นหลัง คุณแค่ดูสถิติที่เยอรมันเคยชนะเลิศในรายการใหญ่ๆ เราคว้าแชมป์โลกในปี 1954, 1974, และ 1990 รวมทั้ง ยูโร 1975, 1980 และ 1996 เราสามารถทะลุเข้ารอบลึกๆได้อยู่บ่อยครั้ง เราเชื่อว่าทีมของเราดีพอที่จะเข้าชิงชนะเลิศอีกครั้ง เพราะสองรายการสำคัญที่ผ่านมาล่าสุด เราได้อันดับที่ 3 ในบ้านเราเมื่อปี 2006 ก่อนที่จะได้รองแชมป์ยูโร 2008 ดังนั้นเป้าหมายของเราก็คือคว้าแชมป์โลก 2010 ฟิลลิปป์ ลาห์ม    


 


////////////////////////////////////////////////////

ออสเตรเลีย


Australia's



หลังหายหน้าหายตาไปจากเวทีใหญ่ 32 ปี ออสเตรเลีย ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจในฟุตบอลโลก 2006 โดยเข้าสู่รอบน็อกเอาท์ ก่อนจะตกรอบ เพราะลูกโทษนาทีสุดท้ายของอิตาลี ทีมแชมป์โลกของทัวร์นาเมนท์ ตอนนี้ออสเตรเลีย ยังอยู่ภายใต้การนำของโค้ชชาวดัตช์ จากกุส ฮิดดิ้งค์ มาเป็น พิม เวอร์บีค ที่ยังคงยึดทีมชุดฟุตบอลโลก 2006 ที่เยอรมันเป็นแกนหลัก


รอบคัดเลือกฟุตบอลโลกคราวนี้ ออสเตรเลีย ข้ามโซนมาเล่นทางฝั่งเอเชีย และก็เข้ารอบสุดท้ายแบบไม่ต้องดิ้นรนใจหายใจคว่ำเหมือนเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ที่โปรแกรมเล่นน้อยกว่ากันเยอะ แต่หินกว่า เนื่องจากต้องผ่านทีมอย่างอุรุกวัย ในการเล่นเพลย์ออฟ



เส้นทางสู่แอฟริกาใต้
ทีมซอกเกอร์รูส์ ทำผลงาน 14 นัดของรอบคัดเลือกโซนเอเชียได้อย่างน่าประทับใจ โดยเอาชนะยอดทีมของเอเชีย และได้เป็นแชมป์กลุ่ม 1 และเป็น 1 ในชาติแรกๆ ที่เข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก รอบคัดเลือกรอบแรก ออสเตรเลีย ทำได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นกัน โดยจบด้วยการเป็นแชมป์กลุ่ม มีคะแนนเหนือทีมอย่างกาตาร์, จีน และแชมป์เอเชียอย่างอิรัก แม้ว่าจะแพ้ 2 ทีมหลัง รอบคัดเลือกรอบสุดท้าย กุนซือพิม เวอร์บีค วางแท็กติกได้อย่างล้ำลึก ทำผลงานไม่แพ้ใคร 8 นัด แต้มมากกว่าญี่ปุ่นถึง 5 คะแนน และทิ้งห่างทีมอย่างบาห์เรน, กาตาร์ และอุซเบกิสถานไม่เห็นฝุ่น
 
ดาวเด่น
ทิม เคฮิลล์
คือตัวชูโรงของทีมชาติออสเตรเลีย แบบไม่ต้องสงสัย มิดฟิลด์ตัวรุกจากเอฟเวอร์ตัน มีสถิติการพังประตูที่น่าทึ่ง หาพื้นที่เข้าทำประตูจากลูกโหม่งได้ยอดเยี่ยม นอกจากนั้นออสเตรเลีย ยังมีปีกฝีเท้าดีอย่าง แฮร์รี่ คีเวลล์ ปีกซ้ายกาลาตาซาราย และ เบร็ตต์ เอเมอร์ตัน ปีกขวาจากแบล็คเบิร์น ตรงกลางมีวินซ์ เกรลล่า และ เจสัน คูลิน่า ตัวปิดทองหลังพระเป็นตัวเชื่อมเกม แนวรับมีนักเตะที่ไว้ใจได้อย่าง ลูคัส นีล ปราการหลัง และ มาร์ค ชวาร์เซอร์ ผู้รักษาประตูเป็นแกน ช่วยให้ทีมเสียแค่ 4 ประตู และทำสถิติไม่เสียประตู 7 นัดติดต่อกัน ในการเล่นรอบคัดเลือก


โค้ช
หลังจากที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของกุส ฮิดดิ้งค์ มานาน พิม เวอร์บีค ได้เลื่อนขึ้นขึ้นมาเป็นโค้ชใหญ่ คุมเกาหลีใต้ทำศึกเอเอฟซี เอเชี่ยน คัพ ปี 2007 ก่อนจะรับตำแหน่งโค้ชทีมชาติออสเตรเลีย เดือนธันวาคม 2007 หรือก่อนรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2010 ไม่นาน เป็นกุนซือที่เล่นเพื่อผลการแข่งขันอย่างแท้จริง หมากเกมรับแข็งแกร่ง แต่ก็เล่นเกมรุกด้านข้างได้หวือหวา เป็นที่ยกย่องของนักเตะในทีม


ฟุตบอลโลกที่ผ่านมา
ออสเตรเลียร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายแค่ 2 ครั้ง แต่ชดเชยช่วงเวลาที่ขาดหายไปด้วยการเข้ารอบสุดท้าย 2 ครั้งติด หลังจากที่ประเดิมเล่นรอบสุดท้ายเป็นครั้งแรกในปี 1974 ที่คราวนั้นมีแต่นักเตะสมัครเล่น แต่ก็เล่นไม่ขี้เหร่ แม้จะตกรอบแรก จากนั้นประเทศบ้ากีฬาอย่างออสเตรเลีย ต้องรอถึง 32 ปีกว่าจะได้กลับมาฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย โดยการกลับมาเล่นรอบสุดท้ายอีกครั้งที่เยอรมัน ออสเตรเลีย ได้อันดับ 2 ตามหลังบราซิล แต่อันดับดีกว่าโครเอเชีย และญี่ปุ่น รอบ 16 ทีมสุดท้าย มีลุ้นเข้ารอบเช่นกัน ก่อนจะมาแพ้อิตาลีเพราะจุดโทษช่วงทดเวลาบาดเจ็บ


สถิติ
- มาร์ค ชวาร์เซอร์ ผู้รักษาประตู เป็นเจ้าของ สร้างสถิติดีที่สุดของทีมชาติออสเตรเลีย กล่าวคือไม่เสียประตูติดต่อกัน 7 นัดจากการเล่นรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก
- ดาวยิงสูงสุดรอบคัดเลือกของออสเตรเลีย เป็นเบร็ตต์ เอเมอร์ตัน และทิม เคฮิลล์ ที่ยิงคนละ 4 ประตู


วาทะเด็ด
ฟุตบอลโลกคราวหน้าต้องให้ดีกว่าครั้งก่อน ชีวิตมันก็ประมาณนี้ เป้าหมายต้องให้สูงกว่าเดิม ผมคิดแบบนี้ นักเตะก็เช่นกัน ตั้งใจไว้แล้วว่าจะทำเต็มกำลังความสามารถ พิม เวอร์บีค กุนซืออสเตรเลียกล่าว



 

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์