โจบูลานี่-จาบูลานี่ แฝดคนละฝาลูกหนังโลก

ตั้งแต่ศึกฟุตบอลโลกที่เม็กซิโก ในปี 1970 มีการเปลี่ยนแปลงจากลูกหนังแท้ๆ เป็นลูกฟุตบอลที่ตัดเย็บด้วยแผ่นหนังสีขาวดำรวม 32 ในชื่อ "เทล สตาร์"

จากนั้นลูกฟุตบอลก็มีการวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ไล่ตั้งแต่ เทล สตาร์ เดอร์ลาสต์ (1974), แทงโก้ เดอร์ลาส (1978), แทงโก้ เอสปันญ่า (1982), เอสเตก้า (1986), เอสตราโก้ (1990), เควสต้า (1994), ติโอโคโลเร่ (1992), ฟีเวอร์โนว่า (2002), ทีมไกสต์ (2006)

และล่าสุดกับ "จาบูลานี่" ลูกฟุตบอลอย่างเป็นทางการในศึก "แอฟริกา 2010" ผลิตโดย "อาดิดาส" เจ้าประจำ ซึ่งมีความหมายว่าการเฉลิมฉลอง มีที่มาจากภาษาอิซิซูลู 1 ใน 11 ภาษา ของชาวแอฟริกาใต้ โดยภาษาอิซิซูลูนี้ใช้มากถึง 25 เปอร์ เซ็นต์ของประชากรทั้งหมด

นายโรจนสิทธิ์ มีนิจสิน ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัทอาดิดาส (ประเทศไทย) เล่าว่า
 
ลูกฟุตบอลลูกนี้เป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของโลกฟุตบอล โดยผิวชั้นนอกของลูกฟุตบอลประกอบด้วยชิ้นส่วน 8 ชิ้น ยึดติดด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด 3 ดี เทอร์มอล บอนดิงก์ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ใช้การอัดด้วยแรงดันความร้อน 3 มิติ ไร้รอยเย็บ ครอบ คลุมโครงสร้างภายใน 3 ชั้น ทำให้ลูกฟุตบอลมีลักษณะทรงกลมอย่างสมบูรณ์ ถือเป็นลูกฟุตบอลที่มีความกลมมนมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา และเป็นการปฏิวัติวงการผลิตลูกฟุตบอลระดับโลกอีกครั้งหนึ่งของอาดิดาส

โดยในรอบแบ่งกลุ่มและรอบน็อกเอาต์จะใช้ลูกฟุตบอล "จาบูลานี่" สีขาวลายสีเขียวผสมแดง-ดำ-และเหลือง แต่ในรอบชิงฯ อาดิดาสได้ดีไซน์ลูกฟุตบอลใหม่ในชื่อ "โจบูลานี่" ซึ่งมีลายเป็นสีขาวทอง

"นอกเหนือจากที่อาดิดาสให้การสนับ สนุนผ่านเข้ารอบมาได้ถึง 12 ทีม และฟุตบอลที่ใช้แข่งขันก็เป็นลูกบอลอาดิดาส ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่สองที่อาดิดาสได้ออก แบบลูกฟุตบอลเพิ่ม เพื่อใช้เฉพาะนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก หลังจากที่เคยออกแบบลูกฟุตบอลสีทองชื่อ "ทีมไกสต์ เบอร์ลิน" สำหรับชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกปี 2006 ระหว่างอิตาลี และฝรั่งเศส "โจ"บูลานี่" เป็นผลงานการออกแบบโดยดีไซเนอร์ของอาดิดาส ชื่อ "ยานเนกเก้ แวน อูร์ชอต" ใช้ชื่อว่า "โจ"บูลานี่" เพื่อเป็นเกียรติแก่เมืองโจฮันเนสเบิร์ก (Johannesburg) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า โจ"เบิร์ก (Jo"burg) ที่มีฉายาว่า ดินแดนแห่งทองคำ (City of Gold) จึงใช้สีทอง เป็นลายทองบนพื้นขาว และสีทองยังเป็นความหมายของการชิงชนะเลิศอีกด้วย" ผู้บริหารอาดิดาส (ประเทศไทย) กล่าว