แจ็ค วิลเชียร์ : นักเตะที่สิงโตคำรามรอคอย?

แจ็ค วิลเชียร์ กองกลางอนาคตไกลของ อาร์เซน่อล ได้รับการกล่าวถึงมาสักพักแล้วว่า เขาน่าจะเป็นอนาคตดาวดวงใหม่ของวงการลูกหนังอังกฤษ แต่ก่อนหน้าฤดูกาลนี้ ไม่มีอะไรนอกจากคำกล่าวอ้างเกินจริงที่ห้อมล้อมเด็กคนนี้อยู่ เขายังไม่ได้แสดงให้เห็นพรสวรรค์ในระดับสูงสุดของเขา แต่ในฤดูกาลนี้ พรจากพระเจ้าเริ่มจับต้องได้ เกมระหว่าง อังกฤษ กับ เดนมาร์ก เมื่อวันพุธที่ 9 ก.พ. อาจเป็นอีกหนึ่งเครื่องยืนยัน
 

มีดาวรุ่งมากพรสวรรค์หลายรายที่ก้าวขึ้นมา และสื่อรวมถึงแฟนบอลทั่วโลกเอาแต่พูดถึงเขา สิ่งที่เกิดขึ้นคือเขาไม่สามารถดึงศักยภาพออกมาใช้ได้ถึงขีดสุด และเขาก็ค่อยๆ ถูกลืมไป สำหรับ วิลเชียร์ ผลงานของเขาในเอมิเรตส์ คัพ ก่อนเปิดฤดูกาล 2009-10 ทำให้เขากลายเป็นความหวังใหม่ของทีมชาติอังกฤษ สิ่งที่เขาต้องแบกรับจากวันนั้นเป็นต้นมาคือ ความคาดหวัง และความกดดัน ไม่ใช่แค่จากชาวเมืองผู้ดี แต่รวมถึงสาวก เดอะ กันเนอร์ส ทั่วโลกด้วย
 

เห็นได้ชัดว่าความกดดันที่ได้รับ ทำให้ วิลเชียร์ โชว์ฟอร์มไม่ออกเลยในช่วงต้นฤดูกาลที่แล้ว จนต้องระเห็จไปเล่นที่ โบลตัน วันเดอเรอร์ส ด้วยสัญญายืมตัว ต้องขอบคุณ โอเว่น คอยล์ ที่ช่วยปัดเป่าแรงกดดันที่ไม่จำเป็นเหล่านั้นออกไปจากหัวของเขา จนกลายเป็นกำลังสำคัญของ โบลตัน ได้ด้วยวัยเพียง 18 ปี นั่นไม่ใช่แค่การทำให้เขาค้นพบแนวทางของตัวเอง แต่ยังช่วยเสริมสร้างความมั่นใจได้มากอีกด้วย
 

จนมาถึงทุกวันนี้ เจ้าหนูวัย 19 ปี กำลังเล่นด้วยความเป็นผู้ใหญ่เกินอายุ ประกอบกับความนิ่งและความมุ่งมั่น และแม้จะมีความสูงแค่ 170 ซม. แต่เขาไม่แสดงให้เห็นถึงความเสียเปรียบด้านพละกำลังในการเล่นฟุตบอลที่หนักหน่วงตามฉบับของศึกพรีเมียร์ลีกเลยแม้แต่น้อย และไม่เคยกลัวที่จะเข้าปะทะกับผู้เล่นที่ร่างกายสูงใหญ่ ฤดูกาลที่แล้วเขาลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ อาร์เซน่อล ไปเพียง 7 นัด แต่ฤดูกาลนี้เขาลงสนามไปแล้วมากกว่า 30 นัด
 

ครั้งแรกที่เห็น วิลเชียร์ ด้วยรูปร่างและสไตล์การเล่น เราคาดว่าเขาจะต้องเป็นมิดฟิลด์ตัวรุก หรือปีกที่ยอดเยี่ยมในอนาคต แต่ฤดูกาลนี้เขาถูก อาร์แซน เวนเกอร์ จับมายืนเป็นกองกลางตัวต่ำคู่กับ อเล็กซ์ ซง คอยสนับสนุนผู้เล่นอย่าง เชส ฟาเบรกาส หรือ ซามีร์ นาสรี่ แต่แน่นอนว่านี่ไม่ได้หยุดยั้งการเติมเกมรุกทุกครั้งที่มีโอกาส แม้จะต้องเล่นตำแหน่งที่ต่างไปจากตอนแรก แต่เขาก็ทำได้ยอดเยี่ยม การครองบอล และวิสัยทัศน์ ยังคงเป็นอาวุธเด็ดของเขาในฤดูกาลนี้
 

วิลเชียร์ สามารถเล่นได้หลายตำแหน่งในแผงมิดฟิลด์ หรือแม้แต่การขึ้นไปยืนเป็นหน้าต่ำในยามฉุกเฉิน ความอเนกประสงค์ของเขายิ่งเพิ่มความสำคัญของเขาทั้งต่อสโมสรและทีมชาติ ทั้งเขาและ อารอน แรมซี่ย์ ได้รับการคาดหมายให้เป็นอนาคตจอมทัพของ ปืนใหญ่ ไม่แน่ว่าในอนาคต อาร์เซน่อล อาจมี ชาบี เอร์นานเดซ และ อันเดรส อิเนียสต้า เป็นของตัวเองก็ได้ใครจะรู้ และตอนนี้ แรมซี่ย์ ก็ใกล้จะกลับมาฟิตสมบูรณ์เต็มที่แล้ว อนาคตที่สดใสของทั้งคู่กำลังรออยู่ไม่ไกลนี้เอง
 

อย่างไรก็ตาม แรงกดดันในการเล่นทีมชาตินั้นย่อมสูงกว่าระดับสโมสรแน่นอน ต้องยอมรับว่ามีหลายช่วงเวลาที่ทัพ สิงโตคำราม ขาดผู้เล่นที่มีวิสัยทัศน์ ความคิดสร้างสรรค์ และปฏิภาณไหวพริบ พอที่จะสร้างความแตกต่างได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทีมชาติอังกฤษไม่ค่อยประสบสำเร็จบนเวทีโลก และหลายคนมองว่า วิลเชียร์ น่าจะเข้ามาแก้ปัญหาในจุดนี้ได้
 

อังกฤษ ยังมีมิดฟิลด์ดาวรุ่งพรสวรรค์สูงอีก 2 คนที่ถูกพูดถึงกันมากอย่าง แจ็ค ร็อดเวลล์ ของ เอฟเวอร์ตัน และ จอช แม็คอีแครน ของ เชลซี แฟนบอลชาวอังกฤษตั้งความหวังว่าทั้ง 3 คน จะช่วยกันพาทัพ สิงโตคำราม สู่ความยิ่งใหญ่ได้เสียที แต่จะเห็นว่าความคาดหวังเหล่านี้เอง ที่กดทับลงมาบนบ่าน้อยๆ ของพวกเขา
 

เราเคยเห็นดาวรุ่งหลายคนที่ทนทานกับน้ำหนักแรงกดดันเหล่านี้ไม่ไหว และมีคนไม่น้อยที่มองว่า แจ็ค วิลเชียร์ อาจเจอชะตากรรมแบบเดียวกัน แต่ที่ผ่านมาตลอดฤดูกาลนี้ เขาต้องเผชิญความกดดันมากมาย แต่ตอบสนองด้วยฟอร์มที่เหนียวแน่นและคงเส้นคงวา แม้กระทั่งเกมสำคัญอย่างการเจอกับ เชลซี เขาก็ทำหน้าที่ได้สมบูรณ์ และไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามีปัญหาจากการแบกรับความหวังหรือความกดดันแต่อย่างใด
 

ฟาบิโอ คาเปลโล่ กล่าวไว้ก่อนเกมกับ เดนมาร์ก ว่า วิลเชียร์ อาจจะกลายเป็น เปาโล มัลดินี่ หรือ ราอูล กอนซาเลซ คนต่อไป หลายคนเชื่อว่า การที่โค้ชออกมาพูดอย่างนี้ มีแต่จะเพิ่มความกดดันให้นักเตะจนโชว์ฟอร์มไม่ออก แต่อย่างน้อยนี่ก็แสดงให้เห็นว่า ยอดกุนซือชาวอิตาเลียน มีความเชื่อมั่นในตัวของ วิลเชียร์ มากแค่ไหน
 

วิลเชียร์ สวมเสื้อหมายเลข 4 ลงสนามเป็นตัวจริงรับใช้ทัพ ทรีไลออนส์ เป็นนัดที่ 2 ในชีวิต และไม่ทำให้นายใหญ่ชาวอิตาเลียนของเขาต้องผิดหวัง สามารถทำผลงานได้น่าประทับใจ และรับมือกับความกดดันได้เป็นอย่างดี ทำให้ดูเหมือนว่านี่จะเป็นฤดูกาลแจ้งเกิดเต็มตัวของเด็กคนนี้ ทั้งในนามนักเตะ อาร์เซน่อล และขุนพลทีมชาติอังกฤษ
 

อย่างไรก็ตาม เราต้องไม่ลืมว่า วิลเชียร์ เพิ่งอายุ 19 ปีเท่านั้น เขายังมีเส้นทางอีกยาวไกล ถ้าเขายังเดินไปตามเส้นทางนี้ได้โดยไม่สะดุดเสียก่อน เชื่อว่าเขาคงเป็นกำลังสำคัญให้ทีมชาติอังกฤษ ในศึกฟุตบอลโลก 2014 หรืออย่างเร็วอาจเป็นในศึกยูโร 2012 เลยก็ได้ แต่ที่แน่ๆ เขาคงเป็นกำลังสำคัญของ อาร์เซน่อล ตั้งแต่ฤดูกาลนี้เป็นต้นไป
 


-บ่อน้ำร้อน-

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์