แข้งแซมบ้ากับอนาคตในลีกผู้ดี



   คแบร์สัน ชื่อนี้แฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คงจำกันได้เขาเป็นเล่นบราซิเลียนที่พกดีกรีแชมป์เวิลด์ คัพ มายังถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด แต่ขอบอกว่าชีวิตมันไม่ได้สวยงามเหมือนกับการเล่นให้ บราซิล เพราะนักเตะรายนี้ล้มไม่เป็นท่า ซึ่งเรื่องนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ปกติสำหรับบรรดาพ่อค้าแข้งสายพันธุ์แซมบ้ากับการค้าแข้งในดินแดนผู้ดี 

                  อย่างที่เรารู้กันดีว่าผู้เล่นเลือดบราซิเลียนมีความสามารถในการเล่นฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลก พวกเขามักจะโชว์ฟอร์มได้เจิดจรัสภายใต้สีเสื้อเหลืองอร่าม มีการเล่นที่พลิ้วไหว น่าดึงดูดใจยามที่ได้ดู จนหลายๆ คนต้องยกย่องให้นักเตะแซมบ้าคือผู้เล่นที่ร่ายเวทมนตร์ที่สวยงามให้กับเกมลูกหนัง เป็นที่รู้กันว่า บราซิล คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 5 สมัย และบรรดานักเตะของพวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการยิงฟรีคิก อย่างไรก็ตาม แข้งเลือดกาแฟ ต้องพบกับความยากลำบากในการระเบิดฟอร์มกับการเล่นในพรีเมียร์ลีก 

                  อาจจะเป็นเรื่องวัฒนธรรมที่แตกต่าง หรือโชคร้าย แต่บรรดาผู้เล่นชั้นนำบราซิล ที่ย้ายมาเล่นในลีกเมืองผู้ดีพร้อมกับชื่อเสียงระดับโลก บางคนก็ต้องอำลาสโมสรไปอย่างรวดเร็ว และไปทำมาหากินในลีก อิตาลี หรือไม่ก็ สเปน ซึ่งที่นั่นพวกเขามักจะประสบความสำเร็จเสมอ แต่กับที่อังกฤษ ไม่ต่างอะไรกับสุสาน!! ฉะนั้น เพื่อเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยสำหรับการย้ายมาของ รามิเรส กับ เชลซี ลองมาดูกันดีกว่าว่ามีแข้งรุ่นพี่จากบ้านเดียวกันคนไหนที่รุ่งเรืองและล่องจุ้นในลีกอังกฤษบ้าง


 เอลลาโน่ : แมนเชสเตอร์ ซีตี้ (2008-2010)


                  กองกลางรูปหล่อตาคมผมสั้น ย้ายจากชัคเตอร์ โดเน็ตส์ท มาเล่นให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยความรู้สึกแปลกๆ ของแฟนบอลในถิ่นซิตี้ ออฟ แมนเชสเตอร์ เนื่องจากไม่คอยรู้จักมักจี่กับ เอลลาโน่ เท่าไร ส่วนเรื่องฝีเท้าก็ยิ่งไปกันใหญ่เพราะขนาดชื่อยังไม่รู้ แล้วฟอร์มการเล่นจะไปรู้ได้ยังไง อย่างไรก็ตาม การมาถึงของ ดาวเตะเลือดบราซิเลียนในฤดูกาล 2008-09 ก็สร้างความตื่นตะลึงให้กับทุกๆ คน เมื่อเขากลายเป็นขวัญใจของแฟนบอลในเวลาอันรวดเร็ว ภายใต้การกุมบังเหียนของ สเวน โกรัน อีริคส์สัน ผู้จัดการทีมชาวสวีดิช ที่นำ เรือใบสีฟ้าแล่นฉิวติดลมบนจนกลายเป็นทีมชั้นนำในลีกเมืองผู้ดี  

                  นอกจากนี้ เอลลาโน่ ยังมีเครื่องหมายการค้าในเรื่องการยิงประตูซะด้วย เพราะเขาซัลโวตุงตาข่ายมาหลายต่อหลายลูก และแต่ละลูกก็ไม่ใช่ธรรมดาสามัญชนซะด้วย ซึ่งก็รวมถึงลูกยิงฟรีคิกอันสวยสดงดงามในเกมพบ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ขณะเดียวกัน มิดฟิลด์จากแดนแซมบ้า ก็กลายร่างเป็นศูนย์กลางของทีมในการทำหน้าที่ปั่นลูกเซตพิซ ซึ่งสิ่งนี้สร้างความมั่นใจให้กับเพื่อนร่วมทีมอย่างมาก ว่าเมื่อไหร่ที่บอลออกจากเท้าของเขา มีโอกาสมากทีเดียวที่บอลจะตุงตาข่าย อย่างไรก็ตาม ความสว่างสดใสโชติช่วงชัชวาลย์ของเขามันค่อยๆ จางหายไปเรื่อยๆ พร้อมกับการใช้ชีวิตพ่อค้าแข้งในเสื้อสีฟ้าตลอดช่วง 2 ฤดูกาลต่อจากนั้น โดยเขาไม่ค่อยได้ลงสนามมากนัก และสุดท้ายก็โดนจำหน่ายจ่ายแจกไปให้กับ กาลาตาซาราย



คำพิพากษา : สรุปไม่ได้รุ่งหรือเจ๊ง







จิลแบร์โต้ ซิลวา : อาร์เซน่อล (2002-2008)


                    จิลแบร์โต้ ซิลวา ทำผลงานได้ไม่ธรรมดาจริงๆ สำหรับการเล่นในถิ่นเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เพราะการมาของเขาช่วยเติมเต็มความแข็งแกร่งในแผงกองกลาง เดอะ กันเนอร์ส ได้เป็นอย่างดี และตลอดระยะเวลาที่ทำมาหากินกับยอดทีมแห่งกรุงลอนดอนขอบอกได้เลยว่า มิดฟิลด์พลังเทอร์โบ สุดเอ็นจอยอร่อยเหาะเพราะตลอด 6 ปีเขาประสบความสำเร็จมากมายไม่ว่าจะเป็นคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ 2 สมัย และแชมป์พรีเมียร์ลีก 1 สมัย และหากใครเป็นสาวก ไอ้ปืนใหญ่ รวมทั้งคอลูกหนัง พรีเมียร์ลีก และเกมฟุตบอลทั่วโลก ต้องจดจำความยิ่งใหญ่ของ อาร์เซน่อล ในชุดที่คว้าแชมป์ลีก 2003-04 โดยที่ไม่เสียบริสุทธิ์ให้กับสโมสรไหนในเกมลีกเลย และทีมชุดนั้นมี จิลแบร์โต้ ร่วมอยู่ด้วย 

                     ดาวเตะรายนี้ได้รับการยกย่องว่ามีสมผสมที่ลงตัวระหว่างความแข็งแกร่งดุดันราวกับเหล็ก และมีเทคนิคไหวพริบที่ยอดเยี่ยม และที่สำคัญที่สุดหลังจากที่ จิลแบร์โต้ เก็บข้าวของย้ายออกจากถิ่นเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เพื่อไปค้าแข้งให้ พานาธิไนกอส เมื่อปี 2008 ขอบอกว่า อาร์เซน่อล ไม่เคยได้สัมผัสแชมป์อะไรอีกเลย



คำพิพากษา : รุ่งโรจน์






จิลแบร์โต้ ดา ซิลวา : ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ (2008-09)


                        สเปอร์ส ยอมควักกระเป๋า 1.8 ล้านปอนด์ (ราว 86.4 ล้านบาท) เพื่อดึง ดา ซิลวา มาจาก แฮร์ธ่า เบอร์ลิน โดย ไก่เดือยทองสามารถเอาชนะคู่แข่งในการดึงตัวนักเตะรายนี้มาเล่นได้สำเร็จ หลังจากที่คว้าตัว ฟูลแบ็กทักษะสูงมาได้ต้องบอกว่าบรรดาแฟนบอล ไก่เดือยทอง ต่างส่งเสียงกะโต๊กกะต๊ากกันยกใหญ่ เหมือนกับได้เพชรเม็ดงามมามาร่วมทีม โดยเฉพาะการที่พวกเขาวาดฝันจะทำผลงานได้สุกสกาวเหมือนดาวในคืนเดือนหงายสำหรับการเล่นในยูฟ่า คัพ อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังที่สูงลิบลิ่วแบบไม่รู้จักดูตัวเองของแฟนบอลก็ค่อยๆจางหายไปทีละเล็กทีละน้อย หลังจากที่ ดา ซิลวา ลงเล่นเปิดตัวให้กับ สเปอร์ส ในเกมแรก และได้ลงสนามเพียงแค่ 45 นาทีเท่านั้น นอกจากนี้ ดาวเตะแซมบ้า ยังทำผลงานชนิดนรกเรียกพี่ในเกมพบ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรก ก่อนจะโดนแทนที่โดย เจมี่ โอฮาร่า ในช่วงพักครึ่ง รวมเบ็ดเสร็จไม่ต้องนับนิ้วให้เมื่อ ดา ซิลวา ได้โชว์เพลงแข้งลีลาบราซิเลียนเพียงแค่ 7 นัดเท่านัน และยิงประตูเป็นเกียรติประวัติแก่ชีวิตแค่ลูกเดียว



คำพิพากษา : เห็นจำนวนปีที่เล่นกับ สเปอร์ส คงรู้ว่าเป็นยังไง






เฮเรลโญ่ โกเมส : ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ (2008-ปัจจุบัน)


                         น่าจะบอกได้ว่า โกเมซ เป็นตัวอย่างของพ่อค้าแข้งสู้ชีวิตอย่างแท้จริง เพราะก่อนหน้าที่เขาจะย้ายมาเล่นกับ สเปอร์ส นายทวารรายนี้ ทำผลงานได้อย่างสุดยอด กับ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ก่อนจะโยกมาเสาเฝ้าในถิ่น ไวท์ ฮาร์ท เลน ด้วยความหวังจะเป็นนายด่านสุดท้ายที่เหนียวหนึบ แต่ขอบอกว่าซีซั่นแรกกับ ไก่เดือยทอง สุดทุเรียน ไม่ต่างอะไรกับเลขศูนย์ แต่สุดท้ายเลขที่ดูไร้ค่ากลับกลายสภาพเป็นฮีโร่ในบัดดล เมื่อเจ้าตัวไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาพัฒนาความเชื่อมั่นจนสามารถสร้างความมั่นใจให้กับเพื่อนร่วมทีม และช่วยให้สโมสรแห่งนี้ได้ตั๋วเข้ารอบคัดเลือก ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลนี้ 

                          โดยเฉพาะฟอร์มขั้นเทพเหนียหนึบจน หมึกพอลต้องเรียกท่านพ่อเพราะ โกเมส เซฟมันอย่าบอกใครเอาเป็นว่าปัดป้องบอลที่ทุกทิศทุกทางจน สเปอร์ส มีสถิติคลีนชีตสะอาดสะอ้านไร้ราคีคาวถึง 7 แมตช์ตลอดช่วงคริสมาสต์ ซึ่งผลงานแบบนี้ถือเป็นการกลับชาติมาเกิดใหม่ของ โกล์ทีมชาติบราซิล (ไม่บ่อยนักที่จะสรรเสริญนายทวารเลือดกาแฟ) เจอฟอร์มเหนียวขนาดนี้แทบไม่อยากเชื่อเลยว่านักเตะรายนี้เป็นคนๆ เดียวกับผู้เล่นที่ทำเฟอะเฟะเละเทะในซีซั่นแรกกับ สเปอร์ส สำหรับตอนนี้ โกเมส กลายเป็นหนึ่งในขวัญใจแฟนบอลไปแล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น นักเตะควรจะไปซื้อธูปเทียนกราบเท้า แฮร์รี่ เร้ดแน็ปป์ กุนซือตาปรือที่ให้ความเชื่อมั่นมาตลอด



คำพิพากษา : ประสบความสำเร็จเหนือความคาดหมาย








ชูลิโอ บาปติสต้า : อาร์เซน่อล ((2006-2007)


                          เดอะ บีสต์ ต้องบอกว่าไม่ใช่นิกเนมปกติที่มอบให้กับนักเตะเลือดบราซิเลียน แต่ ชูลิโอ บาปติสต้า ก็ไม่ใช่แข้งแซมบ้าที่ปกติเหมือนมนุษย์เขาอยู่แล้ว ดาวเตะร่างยักษ์ เดินทางมาพร้อมกับความผิดหวังกับช่วงเวลาที่ค้าแข้งให้ เรอัล มาดริด ด้วยสัญญายืมตัวกับ อาร์เซน่อล แต่เมื่อมองดูคุณสมบัติของหัวหอกแซมบ้ารายนี้ ไม่ว่าจะการทำตัวเกะกะระราน, งุ่นง่าน และขาดความเหมาะสม ซึ่งใน เดอะ กันเนอร์ส ก็มี โทนี่ อดัมส์ อยู่แล้วแท้ๆ ! แม้เบื้องหลังจะไม่สวยนวลเนียน แต่ขอบอกว่า บาปติสต้า กลายร่างเป็นฮีโร่ของทีมไปแทบไม่น่าเชื่อ แม้เขาจะไม่ได้มีพรสวรรค์วิเศษวิโสมากมายอะไรนักหนา แต่ก็ยังมีสถิติที่น่าจดจำเมื่อยิง 4 ประตูในเกมพบ ลิเวอร์พูล ศึกลีก คัพ เมื่อปี 2007 ขอบคุณพระเจ้าที่ในเกมนัดดังกล่าวยังมีเทปให้ดู ไม่งั้นคงไม่มีใครเชื่อว่าเขาทำผลงานได้สุดยอดขนาดนี้จริงๆ



คำพิพากษา : สรุปไม่ได้รุ่งหรือเจ๊ง






จูนินโญ่ : มิดเดิ้ลสโบรช์ (1995-1997, 1999-2000 & 2002-2004)


                           ไม่รู้ว่า มิดเดิ้ลสโบรช์ ไปใช้แผนอะไรหลอกล่อให้ จูนินโญ่ ที่ค้าแข้งกับ เซา เปาโล มาร่วมทีมได้ โดยตอนนั้นนักเตะถือว่าเป็นผู้เล่นที่ได้รับความสนใจจากหลายๆ สโมสรยักษ์ใหญ่ทั่วยุโรป และหากใครจำกันได้คงนึกภาพที่เขาปั่นฟรีคิกสุดสวยในเกมอุ่นเครื่องกับ อังกฤษ ที่สนามเวมบลีย์ แต่สุดท้ายก็เป็น เดอะ โบโร่ก็ได้ตัวดาวเตะพรสวรรค์สูงรายนี้ไปครอบครองเมื่อปี 1995 เขากลายเป็นฮีโร่ของแฟนบอลในถิ่นริเวอร์ไซด์ สเตเดี้ยม และยังเป็นกำลังสำคัญนำสโมสรแห่งนี้ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ ในศึกเอฟเอ คัพ กับ ลีก คัพ เมื่อปี 1997 แต่ความเป็นซูเปอร์สตาร์ของเขาก็ไม่ได้ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ได้ แม้ ดาวเตะจิ๋วแจ๋วเจาะโลก รายนี้ จะย้ายทีมไปแต่สุดท้ายก็กลับมาตายรังอีก 2 ครั้งเลยทีเดียว



คำพิพากษา : ประสบความสำเร็จตามอัตภาพ








ลูคัส เลว่า : ลิเวอร์พูล (2007-ปัจจุบัน)


                              แฟนบอล (ทีมอื่น) มอบฉายาให้กับเขาว่า (เทพลูคัส) เพราะนอกจากจะทำผลงานไม่เป็นชิ้นเป็นอันแล้ว เวลาลงสนามเมื่อไหร่ ลิเวอร์พูล ไม่แพ้ก็เสมอ แต่หากย้อนไปเมื่อช่วงแรก ลูคัส ขึ้นชื่อว่าเป็นกองกลางตัวรุกที่มีพรสวรรค์ในบราซิลอย่างมาก แต่พอย้ายมาเล่นในถิ่นแอนฟิลด์ บทบาทของเขาเปลี่ยนไปโดยทำหน้าที่เป็นมิดฟิลด์ตัวรับซะมากกว่า โดย ราฟาเอล เบนิเตซ อดีตกุนซือเป็นคนดึง ดาวเตะวัย 23 ปี มาเล่นกับ หงส์แดง เนื่องจากเห็นแล้วว่าจะไปได้สวยในถิ่นแอนฟิลด์ จะว่าไปแล้ว ลูคัส เป็นนักเตะที่สาวก เดอะ ค็อป มีความรู้สึกผสมปนเป เพราะบางส่วนก็ชื่นชอบความทุ่มเทของเขา แต่อีกส่วนก็เกลียดเข้ากระดูกดำ อย่างไรก็ตาม รอย ฮ็อดจ์สัน นายใหญ่คนใหม่ กลับเห็นแววความเป็นผู้นำ ก็เลยมอบปลอกแขนกัปตันทีมให้กับเขาในเกมยูโรป้า ลีก รอบคัดเลือก เยือน ราบ็อตนิคกี้ โดยมีเสียงบ่นว่าคิดผิดหรือเปล่า แต่ขอบอกว่า ป๋ารอย คิดถูกเนื่องจากนักเตะมีความมุ่งมั่นและพร้อมที่จะทำงานหนักเพื่อให้เจ้านายมอบความไว้วางใจรวมทั้งให้เขาอยู่ในแผนการสร้างทีมต่อไป



คำพิพากษา : ยังไม่รู้หมู่หรือจ่า








โรบินโญ่ : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (2009-ปัจจุบัน)


                           บินโญ่คือนักเตะที่มีเครื่องหมายการค้าติดอยู่กลางกบาลว่า หน้าเงิน เนื่องจากเขาตัดสินใจย้ายจาก เรอัล มาดริด มาเล่นให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ทั้งที่ในเวลานั้นมีหลายสโมสรมากมายที่เต็มไปด้วยเกียรติประวัติพร้อมจะดึงตัวไปเสริมทัพ โดยเหตุผลที่นักเตะชี้แจงแถลงไขยืนยันว่าการย้ายทีมครั้งนี้เป็นเรื่องของหัวใจนั่งมาไม่ใช่เรื่องเงินจริงจริ๊งให้ดิ้นตาย แต่ขอบอกว่าค่าตัวตอนที่ โรบินโญ่ โดน เรือใบสีฟ้า กระชากมาก็คือ 32.5 ล้านปอนด์ (ราว 1,560 ล้านบาท) เมื่อเดือนกันยายน 2008 ซึ่งตัวเลขดูเยอะแต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อฟอร์มของ บินโญ่ เนื่องจากเขาสามารถระเบิดฟอร์มเก่งในในช่วงไม่กี่เดือนแรก ด้วยการตะบันไป 12 ประตูจากการเล่น 19 แมตช์แรก แต่การที่เขาต้องโดนจับนั่งเป็นตัวสำรองบ่อยๆ ซึ่งนั่นไม่เพียงพอสำหรับกองหน้าที่เต็มไปด้วยความทรนง งานนี้เจ้าตัวก็ร้องขอย้ายทีม ก่อนจะประสบความสำเร็จกลับไปล่าตาข่ายให้กับ ซานโตส ทีมในลีกบ้านเกิด ที่สำคัญยังสามารถงัดฟอร์มเก่งกลับมาอีกครั้ง จนมีชื่อติดทีมชาติบราซิล ลุยศึกฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้



คำพิพากษา : ล้มเหลวไม่เป็นท่า







โรเก้ จูเนียร์ : ลีดส์ ยูไนเต็ด  (2002-2003)


                            โรเก้ จูเนียร์ ถูกยกย่องว่าเป็นนักเตะที่โดดเด่นมากๆ ในวงการลูกหนัง เป็นผู้เล่นที่มีทักษะสูง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกมรุก มีการเคลื่อนที่ที่สวยงาม และทรงผมที่โดนใจวัยคะนอง แต่กับคำว่ากองหลังระดับโลกนะเหรอ ไม่มีเลย เพราะนับตั้งแต่ที่ โรเก้ จูเนียร์ เก็บข้าวของย้ายมาขุดทองในย่านยอร์คเชียร์ พร้อมพาดีกรีเจ้าของเหรียญแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ เอซี มิลาน และแชมป์ฟุตบอลโลก 2002 ฉบับกิมจิจิ้มวาซาบิ เจ้าตัวไม่เคยแสดงผลงานระดับโลกตะลึงให้แฟนบอล ยุงทอง ได้ยลกันซักครั้ง และสุดท้าย กองหลังสายพันธุ์แซมบ้าก็โดนอัปเปหิออกจากทีม ก่อนจะระหกระเหินเดินย่ำต๊อกไปเรื่อยเปื่อยกับหลายสโมสรแต่ก็ทำผลงานไม่เป็นชิ้นเป็นอัน และชื่อเสียงของเขาก็ค่อยๆ หายไปจากใจสาวก ลีดส์ รวมทั้งคอลูกหนังทั่วโลกด้วย


คำพิพากษา : ล้มเหลวไม่เป็นท่า








ซิลวินโญ่ : อาร์เซน่อล  (1999 - 2001)


                          แบ็กซ้ายจอมบุกนามกระเดื่อง ซิลวินโญ่ ไม่สามารถทำผลงานระดับมาสเตอร์พีซกับ อาร์เซน่อล ได้เลยนับตั้งแต่ที่ย้ายมาเล่นกับพวกเขา โดยช่วงเวลาส่วนใหญ่ของเขาอยู่ที่ม้านั่งสำรอง เนื่องจากต้องเป็นยางอะไหล่ของ ไนเจล วินเธอร์เบิร์ก ตำนานฟูลแบ็กจอมบุก จากนั้นก็ยังมาโดน แอชลี่ย์ โคล แบ็กซ้ายดาวรุ่งในขณะนั้นก็ฟอร์มร้อนแรงและขึ้นมายึดตำแหน่งตัวจริงของ ไอ้ปืนใหญ่ ไปหน้าตาเฉย ด้วยเหตุผลเหล่านี้ทำให้เจ้าตัวอยู่กับทีมเพียงแค่ 2 ซีซั่นก็ตัดสินใจย้ายทีม เพราะไม่สามารถรับแรงกดดันจากบรรดานักเตะดาวรุ่งที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นจนเบียดแย่งตำแหน่งจากเขาไป และสุดท้ายก็ย้ายไปเล่นให้ บาร์เซโลน่า ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นสโมสรที่ถูกโฉลกกับเขาเมื่อสามารถงัดฟอร์มเก่งและคว้าแชมป์กับ เจ้าบุญทุ่มมากมาย แต่ที่เห็นโดดเด่นเป็นสง่าก็คือได้แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 สมัย และแชมป์ลีกเมืองกระทิงดุ 3 สมัย ซึ่งหนึ่งในแชมป์ถ้วยบิ๊กเอียร์ที่เขาได้เป็นการเอาชนะ อาร์เซน่อล ต้นสังกัดเก่าซะด้วย มันช่างสะใจดีแท้คุณพี่ !



คำพิพากษา : ล้มเหลว






อันแดร์สัน : แมนยู (ปัจจุบัน)

กองกลางหน้าร้องไม่สามารยิงได้ต่อเนื่องจากการเล่น2ปีสามารถยิงได้2ประตูเนื่องจากปัญหาเจ็บรบกวนรุมเร้าจึงไม่ค่อยมีโอกาศลงสนาม



คำพิพากษา : ล้มเหลว


รามิเรส : เชลซี (2010-ปัจจุบัน)


                    กองกลางรายนี้เป็นผู้เล่นที่ได้รับการยกย่องพอสมควรและทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมตลอดช่วงเวลา 20 เดือนนับตั้งแต่ที่ย้ายจาก ครูเซโร่ มาเล่นให้ เบนฟิก้า ซึ่งตอนนั้นเขามีค่าตัวเท่าไรนะเหรอ แค่ 6.2 ล้านปอนด์ (ราว 297 ล้านบาท) แต่ด้วยผลงานขั้นเทพทำให้ค่าตัวของเขาตอนที่ย้ายไปเล่นกับ เชลซี สูงลิบลิ่วถึง 18 ล้านปอนด์ (ราว 864 ล้านบาท) สำหรับการของ รามิเรส ในครั้งนี้ คงทำให้ คาร์โล อันเชลอตติ กุนซือแก้มป่องยิ้มกระดี๊กระด๊าเนื่องจากได้มิดฟิลด์สารพัดประโยชน์มาร่วมทีม โดยนักเตะวัย 23ปี ซึ่งทำผลงานได้อย่างโดนเด่นกับ บราซิล ในช่วงระหว่างศึกฟุตบอลโลก 2010 จะเข้ามาเติมเต็มแผงกองกลาง สิงโตน้ำเงินคราม ที่เพิ่งจะปล่อย มิชาเอล บัลลัค เพลย์เมกเกอร์ทีมชาติเยอรมัน ย้ายกลับไปเล่นให้ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ช่วงซัมเมอร์นี้ และในฤดูกาลนี้ เขาจะได้มีโอกาสเล่นเคียงข้าง แฟร้งค์ แลมพาร์ด และ มิชาเอล เอสเซียง ส่วนจะประสบความสำเร็จหรือไม่ อันนี้ต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ แต่ก็หวังว่าพรสวรรค์ของเขาจะช่วยให้เอาตัวรอด และฉายแสงแห่งซูเปอร์สตาร์ในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ได้



คำพิพากษา : ยังไม่รู้ต้องรอเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์






เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์