เปเล่,มาราโดน่า ตำนานนักเตะระดับโลก

เปเล่ “ไข่มุกดำของโลก



เอ็ดสัน อารันเตส โด นาสซิเมนโต้ หรือที่ทั่วโลกรู้จักในนามของ “ไข่มุกดำ”เปเล่ อดีตนักฟุตบอลที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “โคตรบอล” ขนานแท้และยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกในทุกยุคทุกสมัย ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ด้วย

คุณสมบัติของเปเล่ ล้วนเป็นที่ถวิลหาของโค้ชทุกทีมความสามารถเป็นที่ทั้งอยาก และยากจะเลียนแบบของนักเตะในทุกยุคทุกสมัย เล่นบอลได้ดีทั้งสองเท้าเข้าข่ายพรสวรรค์ที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลกของฟุตบอล ผ่านบอลแม่นราวจับวาง เป็นตัวจบสกอร์ที่เพอร์เฟกต์ เรียกได้ว่าเป็นกองหน้าที่สมบูรณ์แบบที่สุดของโลกเลยทีเดียว

ด้านความเร็ว และความแข็งแกร่ง เปเล่ ไม่เคยเป็นสองรองใครแม้ยามครอบครองบอล ชีวิตประสบความสำเร็จจนแทบจะสำลัก 2 ประตูจากที่ตัวเองลั่นไกสังหารนั้นพา “แซมบ้า” บราซิล คว้าแชมป์โลกมาด้วย รวมแล้วเปเล่ ขึ้นรับถ้วยแชมป์ 3 สมัย แต่ เปเล่ รีไทร์ จากวงการตั้งแต่ปี 1977 หลังจากนั้นชีวิตก็มิได้ห่างหายจากวงการฟุตบอล ยังคงเป็นทูตให้กับวงการกีฬารับใช้สร้างประโยชน์ให้สังคมต่อไป

ชื่อจริงของ เปเล่ ถูกตั้งตามนักประดิษฐ์ของโลก โธมัส เอดิสัน แต่ไม่มีใครคิดจะตั้งชื่อเล่นให้ จนกระทั้งเข้าโรงเรียน เมื่อก่อน เปเล่ ไม่ค่อยจะชอบชื่อเล่นของตัวเองนัก แต่เหมือนว่ายิ่งตัวเองบ่นไม่ชอบมากแค่ใหน เพื่อนๆก็ยิ่งเรียกบ่อยมากเท่านั้น จากนั้นก็เคยชิน และขาดชื่อนี้ไม่ได้ ไม่มีใครคาดคิดว่าวันนึง “เปเล่” จะเป็นชื่อที่คนทั่วโลกรู้จัก พร้อมขนานนามว่านี่คือ “God” ของวงการฟุตบอล เหมือนเป็นชื่อที่พระเจ้าประทานมาให้คู่กันจริงๆ

เปเล่ เติบโตขึ้นมากับการเล่นฟุตบอลตามท้องถนนดินลูกรังในบ้านเกิด ไม่มีแม้กระทั่งถุงเท้าดังนั้นเรื่องรองเท้า ไม่ต้องฝันถึงกระทั่งลูกบอลที่จะใช้เตะยังมาจากกระดาดเอามาปั้นเป็นก้อนกลม หรือไม่ก็ลูกเกรฟฟรุ๊ต ลูกหนังลูกแรกที่เปเล่ ได้สัมผัสคือของขวัญวันเกิดครบ 6 ขวบจากเพื่อนร่วมทีมของคุณพ่อที่เป็นนักฟุตบอลชื่อ โซซ่า

พอวัยได้ 11 ปีเปเล่ ถูกนักเตะระดับตำนานของบราซิล อย่าง วัลเดมาร์ เดอ บริโต้ สังเกตุเห็นแววและชวนกันไปอยู่ทีมสมัครเล่นของ บริเตอร์ ต่อมาปี 1956 ผู้ดูแลได้พาไปสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่ ซานโตส ซึ่ง เดอ บริเตอร์ การันตี ไว้ตั้งแต่อายุ 15 แล้วว่า เปเล่ จะก้าวขึ้นเป็นนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในอนาคตแน่นอน

เกมลีกเกมแรก เปเล่ ยิงไป 4 ประตู และเมื่อฤดูกาลใหม่เริ่มขึ้น เปเล่ ได้เป็นนักเตะตัวจริงของทีมชนิดถาวรด้วยวัยเพียง 16 ปี เป็นดาวยิงสูงสุดของลีกด้วย หลังผ่านการเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพได้ไม่เท่าไร เปเล่ นักเตะวัยรุ่นยามนั้น ก็ถูกเรียกตัวติดทีมชาติ บราซิล ทันที

ในปี 1958 เปเล่ กลายเป็นนักฟุตบอลอายุน้อยที่สุดในโลกที่คว้าแชมป์โลก ด้วยวัยเพียง 17 ปีหลังเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่เอาชนะ สวีเดน เจ้าตัวยิง 2 ประตูในนัดชิง ให้ แซมบ้า ชนะสวีเดน 5-2 ที่กรุงสต๊อคโฮล์ม จากนั้นก็เล่นเกมฟุตบอลโลกกับ บราซิล อีก 3 สมัยในปี 1962,1966 และ 1970 ซึ่งพาบราซิลคว้าแชมป์โลกอีก 2 ครั้งคือปี 1962 และ 1970

ในทัวร์นาเมนต์ปี 1962 และ 1966 เปเล่เจ็บปวดใจมากที่ไม่สามารถช่วยทีมได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเนื่องจากมีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนหลังโดนนักเตะ เม็กซิโก เข้าบอลโหดใส่และทัวร์นาเมนต์ 1970 ที่เม็กซิโก คือทัวร์นาเมนต์สุดท้ายของเปเล่

อย่างไรก็ตาม นับว่าโชคดีที่ปี 1970 บราซิล นับว่ามีทีมที่ดีที่สุดในช่วงนั้นพอดีประกอบไปด้วยนักเตะดังๆระดับดาวอย่าง ริเวลิโน่,แจร์ซินโญ่ และ โตส์เตา ได้รับการยอมรับว่าเป็นทีมที่ดีที่สุดของบราซิล และพาแซมบ้าชนะ อิตาลี สำเร็จ 4-1 ในปีนั้น โดยเปเล่ ยิง 1 จ่าย 1 ให้กับ แจร์ซินโญ่ เป็นการคว้าแชมป์โลกที่น่าประทับใจที่สุดของบราซิล



.......................................................................

ดีเอโก้ มาราโดนา "ตำนานหัตถ์พระ



แม้จะถูกมองว่าเป็นต้นแบบของความเป็นนักเตะเจ้าปัญหา แต่ ดีเอโก้ มาราโดนา ก็ได้รับการยอมรับอย่างเต็มใจจากแฟนบอลและคนในวงการว่าเป็นหนึ่งในนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล

 มาราโดนา เกิดที่ วิลล่า ฟิออริโต้ อาจจะเป็นเพราะตัวเองเป็นลูกชายคนแรกของตระกูล อาการสปอย เอาแต่ใจนับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแม้ว่าจะมีน้องชายเล็กๆตามมาอีกสองคนก็ตามที

พรสวรรค์ของ มาราโดนา เข้าตาแมวมองตั้งแต่เจ้าตัวยังไม่พ้นวัยเด็กๆที่ 10 ขวบขณะเล่นให้กับสโมสรในบ้านเกิดอย่าง เอสเตรลล่า โรย่า จากนั้นเหมือนชีวิตพลิกผัน ได้มาเล่นให้ทีมระดับจูเนียร์ ของ อาร์เจนติโนส จูเนียร์ สโมสรดังของกรุงบัวโนส ไอเรส

กับเกมดิวิชั่น 1 อาร์เจนตินา แรกๆมาราโดนา เป็นเพียงเด็กเก็บบอลวิ่งอยู่ข้างสนาม พร้อมทั้งเอนเตอร์เทน เดาะบอลโชว์แฟนๆในช่วงพักครึ่งเกมการแข่งขัน

พออายุ 15 มาราโดนา ได้ลงเล่นทีมชุดใหญ่ของ อาร์เจนติโนส จูเนียร์เป็นครั้งแรก และค้าแข้งด้วยระหว่างปี 1976 ถึง 1981 ก่อนจะย้ายมาสู่สโมสรยักษ์ใหญ่ของประเทศอย่าง โบคาจูเนียร์ ที่กลายเป็นแบรนด์ของเจ้าต้วจนถึงทุกวันนี้ตั้งแต่ปลายฤดูกาล 1981 คว้าแชมป์กับทีมสำเร็จตั้งแต่ปีแรก

มาราโดนา ได้ติดทีมชาติ ฟ้าขาวตั้งแต่อายุ 16 นัดเจอกับ ฮังการี และได้เข้าสัมผัสบรรยากาศฟุตบอลโลกรุ่นเยาวชน เมื่ออายุ 18 ปี ซึ่งเป็นทัวร์นาเมนต์ที่สร้างชื่อให้ตัวเองดังกระฉ่อนวงการในทัวร์นาเมนต์นี้ โดยเฉพาะเกมนัดชิงที่ชนะ สหภาพโซเวียต 3-1

ปี 1982 มาราโดนา ได้ลงเตะทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลก ระดับซีเนียร์ ครั้งแรกโดยรอบแรก อาร์เจนตินา ชนะ ฮังการี และ เอล ซัลวาดอร์ ได้อย่างสบายเท้า ก่อนจะไปช็อคตกรอบในรอบ 2 หลังไม่สามารถผ่านด่านอรหันต์ บราซิล และ อิตาลี ไปได้

หลังจบทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลก มาราโดนา ย้ายสังกัดซบ “เจ้าบุญทุ่มแห่งสเปน” บาร์เซโลนา ในปี 1983 ภายใต้การทำทีมของโค้ช เซซาร์ หลุยส์ เมน็อตติ ที่พา บาร์ซ่า ซึ่งมีมาราโดนา เป็นกุญแจสำคัญขึ้นคว้าแชมป์ โคปา เดลเรย์ หลังเอาชนะคู่แค้นตลอดกาลอย่าง เรอัล มาดริด

แม้เส้นทางเหมือนว่าดูแล้วน่าจะสวยงามสำหรับนักเตะอย่าง มาราโดนา ในถิ่นคัมป์ นู แต่เจ้าตัวกลับไม่ค่อยแฮปปี้ เท่าไรนักทั้งเรื่องอาการป่วย รวมถึงสไตล์การเล่นของบอลสเปนที่ค่อนข้างหนัก แม้โดนนักเตะคู่แข่งแท็กจนเจ็บยาว เกือบต้องแขวนสตั๊ดไปเหมือนกัน

หลังจากปัญหาต่างๆประดังเข้ามาเป็นว่าเล่นทางฝ่ายจัดการของ บาร์เซโลนา ก็ชักจะไม่ค่อยแฮปปี้เท่าไรเช่นกัน เลยตัดสินใจปล่อยตัวนักเตะเจ้าปัญหารายนี้สู่ นาโปลิ ทีมในอิตาลี ที่มาราโดนา ไปเป็นผู้นำความสำเร็จสู่ทีมโดยแท้ คว้าแชมป์ลีก สองสมัย ,โคปา อิตาเลีย,ยูฟ่า คัพ และ อิตาเลียน ซูเปอร์คัพ นอกจากนี้ยังเป็นรองแชมป์ลีกอีก 2 สมัยด้วย

กับทีมชาติ มาราโดนา พาทีมฟ้าขาวคว้าแชมป์โลกสำเร็จในปี 1986 จากการชนะเยอรมันตะวันตก 3-2 หลังจากตัวเองโชว์ฟอร์มโดดเด่นมาตลอดทัวร์นาเมนต์ ก็ได้รับการยกย่องจากทุกสารทิศว่าเป็นนักเตะที่ดีที่สุดของทัวร์นาเมนต์

และก็เป็นทัวร์นาเมนต์นี้ ที่มาราโดนา สร้างตำนาน “หัตถ์พระเจ้า” เอาไว้ด้วยในเกมกับอังกฤษรอบควอเตอร์ไฟนัล ที่ชูมือปัดลูกเข้าประตูเห็นๆ แต่ผู้ตัดสินให้เป็นประตูซะอย่างงั้น นับเป็นประตูที่โด่งดังมาก น้อยคนนักที่จะลืมเลือนประตูนี้ โดยเฉพาะแฟนๆทีม “สิ งโตคำราม” ที่โดนเขี่ยตกรอบไป


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: lentee


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์