เธียรี่ อองรี - รุด ฟาน นิสเตลรอย


เมื่อ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1977 กลางเมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส  มีเด็กชายคนหนึ่งกำเนิดขึ้น  เขามีชื่อว่า Thierry Daniel Henry อ่านให้ถูกต้องว่า ตีเยรี ดานีล อองรี   ชื่อเล่นของเขาคือ  ตีตี้   หรือที่เรารู้จักเค้าในนาม เธียร์รี อองรี เด็กชายผิวสี ชาวปารีเซียงโดยกำเนิด  เชื้อสายกัวเดอลูป-มาร์ตินิค  

เขาเป็นเด็กที่เริ่มเล่นบอลริมถนนมาก่อนที่จะมีโอกาสได้เป็นนักเรียนลูกหนังของสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศส ที่ แกร์ฟ็องแตง (นักฟุตบอลทีมชาติฝรั่งเศสหลายคนเริ่มต้นจากที่นี่) โดยสมัยเด็กเขาเล่นให้ทีมเยาวชนมาหลายทีม [ เลส์ ยูลิส (1983-1989) ,ปาไลโซ (1989-1990) ,วิรี-ชาติยอง (1990-1992) ,อาฟเซ แวร์เซย์เยส (1992-1993 ) ]  ก่อนที่จะมาเป็นนักเตะฝึกหัดของโมนาโก  ยอดทีมแห่งเมืองน้ำหอม  โดยมีโอกาสลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของโมนาโกตั้งแต่ในปี  1994  ด้วยอายุเพียง 17 ปี  ซึ่งในขณะนั้นยอดทีมแห่งฝรั่งเศสมีผู้จัดการทีมที่ชื่อว่า อาร์แซน เวนเกอร์
ด้วยฝีเท้าที่เหนือกว่าเด็กในวัยเดียวกัน  บวกพรสวรรค์ที่ทำให้ฝีเท้าพัฒนาอย่างรวดเร็วทำให้ อองรี สามารถยึดตำแหน่งตัวจริงของโมนาโกได้ไม่ยากนัก  เขาติดทีมชาติฝรั่งเศสชุดอายุ 21 ปีโดยสร้างผลงานอันน่าประทับใจในเดือนมกราคม 1997 อองรีพาทีมชาติฝรั่งคว้าแชมป์ฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์โลก  ซึ่งเป็นแชมป์ระดับชาติใบแรกในชีวิตเค้า  และอีกเพียง 4 เดือนต่อมาในเดือนพฤษภาคม ปี 1997 อองรีวัย 20 ปีก็ถูกสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศสเรียกตัวให้ติดทีมชาติฝรั่งเศสชุดใหญ่  นัดที่พบกับแอฟริกาใต้

ปีถัดมา  ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพในการจัดฟุตบอลโลก 1998 อองรีถูเรียกตัวติดทีมชาติ พร้อมเพื่อคูหูในแดนหน้าจากโมนาโกเช่นกันคือ ดาวิด เทรเซเก้ต์  พวกเขาก็ช่วยกันพาทีมชาติฝรั่งเศส คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก มาครองได้เป็นครั้งแรก ด้วยการเอาชนะ บราซิล ในรอบชิงชนะเลิศ โดยที่ อองรี  ยิงได้ถึง 3 ประตู ในการแข่งขันครั้งนั้น

หลังจากเห็นฟอร์มที่ยอดเยี่ยมในฟุตบอลโลก 1998 ของอองรี ยูเวนตุส ยักฆ์ใหญ่จากลีคมักโรนีไม่รอช้าที่จะคว้าตัวอองรีมาสู่อิตาลี ในเดือนมกราคม ปี 1999 โดยค่าตัวในการย้ายทีมครั้งแรกของอองรีคือ 14 ล้านปอนด์ (บางข่าวว่า 10.7 ล้านปอนด์)  แต่เมื่อมาถึงที่นี่  อองรีกลับได้รับมอบหมายให้เล่นในตำแหน่งปีก   ซึ่งไม่ใช่ตำแหน่งเดิมที่เขาเคยเล่น   ทำให้ อองรี ไม่สามารถโชว์ฟอร์มที่เคยมีได้  โดยมีโอกาสลงสนามเป็นตัวจริงเพียง 16 นัด (ในลีค 12 นัด) และทำได้แค่ 3 ประตู เท่านั้น
หลังจากต้องนั่งมองเพื่อนร่วมทีมลงสนามให้กับเจ้าม้าลายอยู่นานถึง 6 เดือน  ชีวิตค้าแข้งในอิตาลีอันน่าผิดหวังก็ได้จบลง  เมื่อโอกาสใหม่มาถึงเค้า เพราะอาร์เซน่อล ที่มี อาแซนเวนเกอร์ อดีตเจ้านายเก่าของเขาที่โมนาโก เป็นกุนซืออยู่ ตัดสินใจทุ่มเงิน 10.5 ล้านปอนด์ กระชากตัว อองรี มาสู่ทีม “ปืนใหญ่” เพื่อทดแทนการจากไปของ  กองหน้าฝีเท้าดี ที่ไร้หัวใจอย่าง  นิโคล่า อเนลก้า เพื่อเก่าของเขาในเดือนสิงหาคม ปี 1999
ซึ่งครั้งนี้ อองรี ได้กลับมาเป็นกองหน้าตัวเป้าอย่างที่เขาถนัด และนั่นก็ทำให้เขากลับมาเล่นได้ดีอีกครั้ง


ในปี 2000 อองรี ก็วาดรวดลายฝีเท้าให้ประจักรแก่สายตา  ด้วยการพาทีมชาติฝรั่งเศส ไปคว้าแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ที่ ฮฮลแลนด์ กับ เบลเยี่ยม รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพร่วม  ด้วยการเอาชนะ อิตาลี ถิ่นเก่าที่เค้าเคยไปนั่งม้านั่งสำรองในรอบชิงชนะเลิศ


ถัดมาในฤดูกาล 2001/2002 อองรีทำให้พรีเมียร์ลีครู้จักความโหดเหี้ยมของฆาตรกรสังหารประตูอย่างเขา ด้วยการระเบิดฟอร์มพา อาร์เซน่อล คว้าดับเบิ้ลแชมป์ ทั้งครองแชมป์พรีเมียร์ลีก และเอฟเอ คัพ อย่างยิ่งใหญ่



ในปี 2003 อองรี ได้แชมป์เอฟเอ คัพ กับ อาร์เซน่อล อีกครั้ง ก่อนที่จะมาพาทีม “ตราไก่” คว้าแชมป์ฟุตบอลคอนเฟดเดอเรชั่นส์ คัพ ปี 2003 โดยที่เขาเป็นดาวซัลโวสูงสุด  และรับตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมของการแข่งขันครั้งนั้นอีกด้วย

ในฤดูกาล 2003/2004 อองรี พา ปืนใหญ่ กลับมาเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก อีกครั้ง
จากนั้นเขาก็ได้รับหน้าที่เป็นกัปตันทีมในช่วงฤดูร้อนปี 2005 หลังจากที่ ปาทริค วิเอร่า กัปตันทีมเพื่อนร่วมชาติคนเดิม ย้ายไปดับกับ ยูเวนตุส  เหมือนที่อองรีเคยเป็นมา

และในปี 2005 นี่เองหลังจากที่ยิง 2 ประตู ในนัดที่ อาร์เซน่อล เอาชนะ สปาร์ต้า ปราก ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ปี 2005  อองรี กลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของสโมสรด้วยการทำลายสถิติเดิม ของ เอียน ไรท์ ที่ทำประตูไว้กับทีม185 ประตู   เขากลายเป็นนักเตะที่ยิงประตูให้กับอาร์เซน่อล ได้มากที่สุดจนถึงปัจจุบัน

วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2006 เป็นอีก 1 วัน  อองรีสร้างประวัติศาสตร์ของตัวเองและสโมสรใหม่อีกครั้ง เมื่อเขายิงประตู เวสต์แฮม ได้ ในศึกพรีเมียร์ลีก ทำให้กลายเป็นสถิติยิงประตูในลีก ให้กับ อาร์เซน่อล ได้มากที่สุด 151 ประตู ทำลายสถิติเดิมของ คลิฟฟ์ บาสติน ลงได้

แต่สุดท้ายแล้ว  ปลายเดือน 5 มิถุนายน 2007  อองรีวัย 29 ปีก็ตัดสินย้ายไปเล่นให้ยอดทีมแห่งแคว้นคาตาลัน  บาร์เซโลน่า  ด้วยค่าตัว 16.1 ล้านปอนด์ โดยบาร์ซ่าได้เตรียมเสื้อหมายเลข 14 ซึ่งเป็นหมายเลขเดิมของเขากับทีมปืนใหญ่   จากเหตุผลในการย้ายทีม  มันเป็นความฝันของนักเตะทุกคนที่ต้องการชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก และผมมั่นใจว่านี่เป็นเป้าหมายที่ บาร์เซโลน่า ต้องการชนะเลิศอีกครั้งในฤดูกาลหน้า นี่เป็นถ้วยใบเดียวที่ผมยังไม่เคยได้สัมผัส แต่สิ่งสำคัญคือ บาร์เซโลน่า ต้องประสบความสำเร็จ และเราจะชูถ้วยใบนี้ร่วมกัน
นอกจากจะยิงประตูได้ยอดเยี่ยมแล้ว อองรี ยังมีส่วนร่วมกับทีมอย่างมากมาย  ผ่านบอลได้แม่นยำ และเฉียบคมซึ่งในฤดูกาล 2002/2003 อองรี จ่ายบอลให้เพื่อนทำประตูได้ 23 ครั้ง และนี่เป็นสถิติสูงสุดของพรีเมียร์ลีก
ในฤดูกาล 2005/2006 แม้อาร์เซน่อล อาจจะทำผลงานในพรีเมียร์ลีก ได้ตกต่ำลงไป  หลังจากที่ตัวหลักหลายคนย้ายไปอยู่กับทีมใหม่ โดยทำได้เพียงอันดับ 4 ของพรีเมียร์ลีค  แต่ คิงอองรี ก็สามารถพา “ปืนใหญ่” เข้าชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เป็นครั้งแรก ก่อนจะพ่าย บาร์เซโลน่า ไปแบบน่าไม่น่าแพ้ ท่ามกลางกระแสข่าวลือที่ว่าเขาจะย้ายไปร่วมทีม บาร์เซโลน่า แต่เขากลับดำเนินการเล่นด้วยฟอร์มอันน่าประทับใจ  และทำให้บาร์เซโลน่ารู้ว่าใจเขายังอยู่กับปืนใหญ่ด้วยการตกลงต่อสัญญาฉบับใหม่เพื่ออยู่ช่วย อาร์เซน่อล ต่อไป อีก 4 ปี ซึ่งครั้งนั้น เดวิด ดีน ประธานสโมสร “ปืนใหญ่” ในขณะนั้น เผยว่ามีสโมสรใหญ่ทีมหนึ่งในยุโรป เสนอเงินถึง 50 ล้านปอนด์ เพื่อขอซื้อตัว อองรี วัย 28 ปี ไปจาก อาร์เซน่อล  โดยที่การซื้ขายนั้นอาจจะทำให้ อองรี กลายเป็นนักเตะที่ค่าตัวแพงที่สุดในโลก

แต่สุดท้ายแล้ว  ปลายเดือน 5 มิถุนายน 2007  อองรีวัย 29 ปีก็ตัดสินย้ายไปเล่นให้ยอดทีมแห่งแคว้นคาตาลัน  บาร์เซโลน่า  ด้วยค่าตัว 16.1 ล้านปอนด์ โดยบาร์ซ่าได้เตรียมเสื้อหมายเลข 14 ซึ่งเป็นหมายเลขเดิมของเขากับทีมปืนใหญ่   จากเหตุผลในการย้ายทีม  มันเป็นความฝันของนักเตะทุกคนที่ต้องการชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก และผมมั่นใจว่านี่เป็นเป้าหมายที่ บาร์เซโลน่า ต้องการชนะเลิศอีกครั้งในฤดูกาลหน้า นี่เป็นถ้วยใบเดียวที่ผมยังไม่เคยได้สัมผัส แต่สิ่งสำคัญคือ บาร์เซโลน่า ต้องประสบความสำเร็จ และเราจะชูถ้วยใบนี้ร่วมกัน

เกียรติยศ
- แชมป์ฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์โลก  1997
- แชมป์ฟุตบอลโลก 1998
- แชมป์ฟุตบอลยูโร 2000
- แชมป์เอฟเอคัพ 2002, 2003
- แชมป์พรีเมียร์ลีก 2002, 2004
- รางวัลรองเท้าทองคำ ของพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ฤดูกาล 2001-2002 (23 ประตู) , 2003-2004 (30 ประตู) , 2004 – 2005  ในปี 2002 – 2003 ยิงได้ 24 ประตู เป็นรองดาวซันโว คือรุสฟานนิสเตอรอยเพียง 1 ประตู
- นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ ค.ศ. 2003 และ 2004
- นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ ค.ศ. 2003, 2004 และ 2006
- ได้รับเลือกให้อยู่ใน FIFA 100 ใน ค.ศ. 2004 (ถูกเลือกโดยเปเล่)





src=http://video.mthai.com/Flash_player/player.swf?idMovie=2M1166271686M0
type=application/x-shockwave-flash width=407.6
height=335>




รุด ฟาน นิสเตลรอย เกิดที่เมือง ออส ในช่วงภาคกลางตอนใต้ของ เนเธอร์แลนด์ส โดยเขาเริ่มสนใจที่จะเล่นกีฬาตั้งแต่ยังเด็ก และด้วยความที่มีพรสวรรค์ทำให้เขาเล่นทั้งฟุตบอล เทนนิสและยิมนาสติก ด้วย เมื่อเขายังเด็ก เขาได้เล่นฟุตบอลในทีมของหมู่บ้าน โดยขณะนั้นเขาเล่นในตำแหน่ง เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ และได้เริ่มอาชีพในวงการฟุตบอลเมื่อปี 1993 หลังจากนั้นเขาได้ย้ายไปเล่นให้กับ เอฟซี เดน บอสช์ ที่นี่เขาได้พัฒนาทักษะการเล่นมากขึ้น และเขาได้ลงเล่นในตำแหน่งศูนย์หน้าตัวต่ำ หลังจาก 4 ปีที่เขามีประสบการณ์กับที่นี่ รุด ก็พัฒนาฝีเท้าขึ้นเรื่อยๆ และมีโอกาสไปเล่นให้กับทีมในดิวิชั่น 1 ฮอลแลนด์ นั่นคือทีม เอสซี ฮีเรนฟีน ซึ่งเป็นที่ๆ เขาได้เล่นในตำแหน่ง ศูนย์หน้า อย่างจริงจัง

โค้ชคนใหม่ของเขาบอกกับเขาว่า เขาต้องพัฒนาการเล่นให้ได้มากกว่านี้ และเพื่อให้เขาพัฒนาได้นั้นเขาจึงต้องไปดูฟอร์มการเล่นของ เดนนิส เบิร์กแคมป์ ซึ่งต้องขับรถกว่า 200 กิโลเมตร เพื่อไปดูและเรียนรู้การเล่นของ เบิร์กแคมป์ ถึงรายละเอียดต่างๆ ทุกการเคลื่อนไหว ทุกการจับบอล และทุกๆ ฝีก้าวของเขา และเมื่อ รุด กลับมาเล่นให้กับทีมก็สามารถเล่นได้ดีขึ้นและยิงประตูให้กับทีมได้สำเร็จ

13 ประตูในการลงเล่น 30 นัด ในวันเกิดครบรอบ 22 ปี ของเขา รุด ฟาน นิสเตลรอย ได้จรดปากกาเซ็นสัญญากับ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ด้วยค่าตัว 4.2 ล้านปอนด์ ถือเป็นสถิติสูงสุดของฮอลแลนด์ ในขณะนั้น และเขาก็สร้างความประทับใจโดยการทำประตูได้ในนัดแรกที่ลงสนามในกับทีมในนัดที่พบกับทีมเก่าของเขา เอสซี ฮีเรนฟีน ในเดือนสิงหาคม และเมื่อถึงช่วงปลายเดือนตุลาคม เขาก็เป็นที่กล่าวขวัญถึงเมื่อสามารถทำแฮตทริกได้ในนัดที่พบ สปาร์ต้า ในช่วงนั้นเขามีฟอร์มการเล่นที่ดีมาก และในวันที่ 18 พฤศจิกายน ปี 1998 รุด ก็ลงเล่นให้ทีมชาติฮอลแลนด์ นัดแรกในนัดที่เสมอกับเยอรมัน 1 – 1

ในช่วงท้ายฤดูกาลแรกของเขาในเดือนพฤษภาคม ปี 1999 เขาได้กลายเป็นนักฟุตบอลที่ทำประตูได้สูงสุดในลีกฮอลแลนด์ ด้วยจำนวน 31 ประตู และเขายังได้รับการโหวตจากเพื่อนร่วมอาชีพในฮอลแลนด์ ให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของฮอลแลนด์ อีกด้วย รุด มีสถิติการทำประตูให้กับทีม พีเอสวี ได้มากทีเดียว โดยเขาทำได้ 60 ประตูในช่วง 2 ฤดูกาลที่อยู่กับทีม และในฤดูกาล 1999/2000 เขาก็ทำแฮตทริกได้กับทีมถึง 2 ครั้งด้วยกัน

กับสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในตอนแรกดูเหมือนว่าทีมจะได้เซ็นสัญญากับเขาตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2000 แต่จากผลการตรวจร่างกายพบว่าอาการที่เข่าขวาของเขายังไม่สู้ดีนัก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จึงเสนอให้เขาเข้ารับการรักษา แต่เขาปฏิเสธเพราะกลัวว่าจะต้องพลาดการลงสนามในศึกยูโร 2000 แต่ 2 วันต่อมา เขาก็ต้องล้มลงเนื่องจากความเจ็บปวดในขณะที่ฝึกซ้อมอยู่กับ พีเอสวี และพบว่าที่เข่าขวาของเขามีอาการบวมอย่างหนักบริเวณเส้นเอ็น และด้วยเหตุนี้เองเขาจึงต้องเข้ารับการรักษาที่คลินิคใน เวล, โคโลราโด้ และทำให้เขาทำได้เพียงดูศึกยูโร 2000 ทางทีวีเท่านั้น

ด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักชาติ เขาเชียร์ฮอลแลนด์ เหมือนกับเด็กอายุ 8 ขวบ และเมื่อทีมได้ประตูเขาก็ยกไม้ค้ำยันขึ้นสูงด้วยอาการดีใจ ในตอนนั้นเขาได้รับกำลังใจมากมายจากเพื่อนร่วมอาชีพอย่าง โรนัลโด้ ซึ่งเป็นอดีตนักเตะ พีเอสวี และ มาร์ค โฮเวอร์มาร์ส อีกทั้ง การได้พบปะพูดคุยกับ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เมื่อครั้งที่เขาเดินทางไปเยี่ยม ซึ่งท่านเซอร์ให้กำลังใจเขาด้วยการเล่าเรื่องราวอาการบาดเจ็บของ รอย คีน และ โลธาร์ แม็ตธาอัส ที่เหมือนๆ กับอาการบาดเจ็บของ รุด ฟาน นิสเตลรอย และสามารถกลับมาเล่นได้ดีเหมือนเดิมอีกครั้ง

การติดต่อกันระหว่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และ รุด ฟาน นิสเตลรอย เป็นไปอย่างแน่นแฟ้น ตลอดเวลาที่เขาพักรักษาตัว และการให้ฝึกซ้อมกับโค้ชส่วนตัวทำให้เขาพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งการสร้างความแข็งแกร่งในสระว่ายน้ำหลายชั่วโมง ตามด้วยอีกหลายชั่วโมงในสนามฝึกซ้อมเพื่อเรียกความฟิตและฝึกทักษะ จนถึงเดือนมีนาคม ปี 2001 เขาก็กลับมาเล่นให้กับ พีเอสวี ได้อีกครั้ง และก็กลับมาทำประตูได้อีก

วันที่ 23 เมษายน ปี 2001 หลังจากเขาปฏิเสธการย้ายไปเล่นให้กับ เรียล มาดริด เขาก็ได้ทำตามความฝันของตัวเองเสียทีด้วยการย้ายมาเล่นให้กับสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว 19 ล้านปอนด์ เขาสามารถยิงประตูได้ในนัดแรกที่ลงสนามให้กับทีมในศึก แชร์ริตี้ ชิลด์ แต่ทีมก็ต้องพ่ายต่อลิเวอร์พูล

รุด ฟาน นิสเตลรอย ปิดฤดูกาลด้วย 36 ประตู ซึ่งถือว่ายอดเยี่ยมทีเดียว แต่ดูเหมือนว่าประตูที่เขาทำทั้งหมดจะไม่มีความหมายเลย เพราะในฤดูกาลนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่สามารถคว้าถ้วยแชมป์ใดๆ ได้เลย

ในฤดูกาล 2002/03 เขาก็พิสูจน์ให้คนที่ยังลังเลใจในตัวเขาได้มั่นใจมากขึ้นด้วยจำนวนประตูในลีกทั้งฤดูกาลอยู่ที่ 44 ประตู ซึ่งก็ถึงขั้นที่จะพูดได้ว่าหาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไม่มีเขาก็คงไม่ได้แชมป์ พรีเมียร์ชิพ ปี 2002/03 เป็นแน่

รุด เริ่มต้นฤดูกาล 2003/04 ด้วยการทำได้ 2 ประตูใน 2 นัดแรกที่เขาลงเล่น และเขาก็ทำประตูที่ 100 และ 101 ของเขากับสโมสรได้ ซึ่งเป็นนัดที่ทีมเอาชนะ เอฟเวอร์ตัน ที่ กูดิสัน พาร์ค ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2004 ไปด้วยสกอร์ 4 – 3

ปัจจุบัน รุด ฟาน นิสเตลรอย ยังคงเป็นหัวใจหลักสำคัญในการนำพาทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไล่ล่าถ้วยแชมป์ ถึงแม้บางช่วงฟอร์มการเล่นของเขาจะออกทะเลอยู่บ้าง แต่เราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าเขายังคงเป็นศูนย์หน้าที่อันตรายที่หาตัวจับยากและพร้อมที่จะทะลวงตาข่ายคู่ต่อสู้ และนำพาทีมขึ้นเถลิงบัลลังค์แชมป์มาครองให้พวกเราพลพรรค เรด อาร์มี่ ได้ชื่นชม

Ruud Van Nistelrooy - Click here for this week’s top video clips

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์