เกาะติด ยูโร 2008 อิตาลี & ฝรั่งเศส

อิตาลี : อยู่ในกลุ่มแห่งความตาย อาจจะตกรอบแรกก็เป็นได้


กลุ่ม C

โปรแกรมการแข่งขัน

9 มิ.ย. 2008 ฮอลแลนด์ - อิตาลี 01.45 น.
13 มิ.ย. 2008 อิตาลี - โรมาเนีย 23.00 น.
17 มิ.ย. 2008 อิตาลี - ฝรั่งเศส 01.45 น.

ผลงานในรอบคัดเลือกยูโร 2008
แข่ง 12, ชนะ 9, เสมอ 2, แพ้ 1, ได้ 22, เสีย 9, แต้ม 29

วัน/เดือน/ปี 2 กันยายน 2549, สถานที่ เหย้า, คู่แข่งขัน เสมอ ลิทัวเนีย, ผล 1-1
วัน/เดือน/ปี 6 กันยายน 2549, สถานที่ เยือน, คู่แข่งขัน แพ้ ฝรั่งเศส, ผล 1-3
วัน/เดือน/ปี 7 ตุลาคม 2549, สถานที่ เหย้า, คู่แข่งขัน ชนะ ยูเครน, ผล 2-0
วัน/เดือน/ปี 11 ตุลาคม 2549, สถานที่ เยือน, คู่แข่งขัน ชนะ จอร์เจีย, ผล 3-1
วัน/เดือน/ปี 28 มีนาคม 2550, สถานที่ เหย้า, คู่แข่งขัน ชนะ สกอตแลนด์, ผล 2-0
วัน/เดือน/ปี 2 มิถุนายน 2550, สถานที่ เยือน, คู่แข่งขัน ชนะ แฟโรไอส์แลนด์, ผล 2-0
วัน/เดือน/ปี 6 มิถุนายน 2550, สถานที่ เยือน, คู่แข่งขัน ชนะ ลิทัวเนีย, ผล 2-0
วัน/เดือน/ปี 8 กันยายน 2550, สถานที่ เหย้า, คู่แข่งขัน เสมอ ฝรั่งเศส, ผล 0-0
วัน/เดือน/ปี 12 กันยายน 2550, สถานที่ เยือน, คู่แข่งขัน ชนะ ยูเครน, ผล 2-1
วัน/เดือน/ปี 13 ตุลาคม 2550, สถานที่ เหย้า, คู่แข่งขัน ชนะ จอร์เจีย, ผล 2-0
วัน/เดือน/ปี 17 พฤศจิกายน 2550, สถานที่ เยือน, คู่แข่งขัน ชนะ สกอตแลนด์, ผล 2-1
วัน/เดือน/ปี 21 พฤศจิกายน 2550, สถานที่ เหย้า, คู่แข่งขัน ชนะ แฟโรไอส์แลนด์, ผล 3-1

อิตาลีภายใต้โค้ชคนใหม่ โรเบอร์โต โดนาโดนี ซึ่งมารับงานต่อจาก มาร์เซลโล ลิบปี หลังคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2006 เริ่มต้นได้อย่างน่าใจหาย ด้วยการประเดิมรอบคัดเลือกยูโร 2008 เสมอกับลิทัวเนีย 1-1 ในบ้านที่เนเปิลส์ และยังพ่ายคู่ปรับเก่าในการชิงแชมป์โลกฝรั่งเศสถึง 1-3 แต่อีก 1 เดือนต่อมาพวกเขาก็เริ่มคืนฟอร์มเก่ง เปิดบ้านชนะยูเครน 2-0 ตามด้วยชัยชนะอีก 8 นัด จาก 9 นัดที่เหลือโดยพลาด 3 คะแนน จากนัดล้างตากับฝรั่งเศสที่มิลาน ซึ่งเสมอกัน 0-0 เพียงนัดเดียว ชัยชนะสำคัญยิ่งของพวกเขาก็คือการเอาชนะสกอตแลนด์ 2-0 ในบ้านจาก 2 ประตูของ ลูกา โทนี และบุกไปเฉือนสกอตแลนด์ที่กำลังมาแรงได้ถึงกลาสโกว์ 2-1 จากประตูของ ลูกา โทนี และประตูชัยของกองหลัง คริสเตียน ปานุชชี ในช่วงทดเวลาเจ็บ
ผลงานในฟุตบอลโลก 2006

อิตาลีผ่านรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2006 ด้วยผลงานชนะ 7 เสมอ 2 แพ้ 1 มี 23 คะแนน ยิงได้ 17 และเสีย 8 เหนือเพื่อนร่วมกลุ่มอย่าง สกอตแลนด์, นอร์เวย์, สโลเวเนีย, เบลารุส และ มอลโดวา และในรอบสุดท้ายที่เยอรมนี พวกเขาก็ผ่านเข้ารอบสองด้วยการเอาชนะ กานา 2-0 เสมอสหรัฐอเมริกา 1-1 และชนะสาธารณรัฐเช็ก 2-0 ในรอบ 16 ทีม พวกเขาเฉือนชนะออสเตรเลียด้วยประตูเดียวในนาทีสุดท้าย ตามด้วยการถล่มยูเครน 3-0 ในรอบก่อนรองชนะเลิศ ในรอบรองชนะเลิศอิตาลีทำให้แฟนบอลเยอรมนีผิดหวังเมื่อถล่มเจ้าบ้านลงได้ 2-0 เข้าไปชิงชนะเลิศกับฝรั่งเศสที่เบอร์ลิน ซึ่งเกมเป็นไปอย่างเข้มข้นเร้าใจเสมอกัน 1-1 ต้องตัดสินด้วยการยิงลูกจุดโทษ ซึ่งอิตาลีคว้า แชมป์ไปครองด้วยผลการยิง 5-3
ผลงานในฟุตบอลยูโร 2004

อิตาลีเล่นรอบคัดเลือก 8 นัด ชนะ 5 เสมอ 2 แพ้ 1 ผ่านเข้ารอบสุดท้ายที่โปรตุเกส ซึ่งพวกเขาโชว์ฟอร์มได้ไม่ดีนักเสมอเดนมาร์ก 0-0 เสมอ สวีเดน 1-1 แม้ว่าจะชนะบัลแกเรียได้ในนัดสุดท้าย 2-1 แต่ก็ต้องตกรอบ ด้วยประตูได้เสียที่แย่กว่า 2 ทีมจากนอร์ดิค ซึ่งประคองตัวเล่นเสมอกันในนัดสุดท้าย มีคะแนนเท่ากับอิตาลี จูงมือกันเข้ารอบไป

อิตาลีเคยได้แชมป์ยูโร มาแล้ว 1 ครั้ง ในปี 1968 โดยพวกเขาเป็นเจ้าภาพ ได้เข้าชิงกับยูโกสลาเวียที่สนามโอลิมปิกในกรุงโรม แม้ว่าจะถูกยิงนำไปก่อนจาก ดราแกน ดายิช ในนาทีที่ 39 แต่ แองเจโล โครมงกินี ก็ตีเสมอได้ในนาทีที่ 80 ซึ่งในปีนั้นเมื่อเสมอกันในรอบชิงจะไม่มีการตัดสินด้วยการยิงลูกจุดโทษ แต่ให้แข่งใหม่อีกครั้ง ซึ่ง 2 วันต่อมาพวกเขาก็คว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จ ด้วยชัยชนะ 2-0 จากประตูของ ลุยจิ ริวา และ ปิเอโตร อนาสตาซี

นับถึงสิ้นสุดรอบคัดเลือกยูโร 2008 อิตาลีร่วมแข่งยูฟ่ายูโรมาแล้ว 12 ครั้ง เล่น 111 แมตช์ ชนะ 59 เสมอ 35 แพ้ 17 ยิงได้ 175 เสีย 77 ประตู
กลยุทธ์การเล่นของอิตาลี

หลังจบฟุตบอลโลก 2006 ด้วยตำแหน่งแชมป์ โค้ชใหม่ โรเบอร์ โต โดนาโดนี ยังคงใช้นักเตะ ชุดเดิม ยกเว้น อเลสซานโดร เนสตา ที่เลิกเล่น และ ฟรานเชสโก ตอตติ ที่บาดเจ็บ แต่ปรับปรุงรูปแบบเป็น 4-3-3 โดยมี จานลุยจิ บุฟฟอน จากยูเวนตุส เป็นมือ 1 ในตำแหน่งผู้รักษาประตู

ในแดนหลัง ฟาบิโอ คันนาโวโร และ มาร์โก มาเตรัซซี ยังได้รับความไว้วางใจให้เป็นสองตัว กลาง แบ๊กขวามีตัวเลือกระหว่าง คริสเตียน ปานุชชี กับ มัสซิโม ออดโด ทางซ้าย จานลูกา ซามบร็อตตาน่าจะได้เป็นตัวจริง เว้นแต่ ฟาบิโอ กรอสโซ ซึ่งโดดเด่นมากในฟุตบอลโลก 2006 จะคืนฟอร์มกลับมาทวงตำแหน่งทัน ซามบร็อตตา ก็อาจจะถูกเปลี่ยนไปยืนทางขวาแทน

ในแดนกลางอิตาลี มีตัวเลือกมากมาย คาดว่า มัสซิโม อัมโบร ซินี ซึ่งเป็นตัวสำรองมายาวนาน น่าจะได้ลงเป็นตัวจริงร่วมกับดารารุ่นเก๋าอย่า อันเดรีย ปีร์โล และ เจนนาโร กัตตูโซ โดยมี ดานิเอเล เด รอสซี และ ซิโมเน แปร์ร็อตตา ที่โชว์ฟอร์มโดนเด่นมากกับ โรมา เป็นตัวสอดแทรก รวมทั้งขาประจำอย่าง เมาโร คาโมราเนซี และ อัลแบร์โต อควิลานี

ในแดนหน้า ลูกา โทนี ซึ่งยิงได้สม่ำเสมอให้ บาเยิร์น มิวนิก น่าจะได้เป็นตัวยืน มี อันโตนิโอ ดิ นาตาเล เป็นตัว รุกทางซ้าย ร่วมกับดาวยิงรุ่นเก๋าที่กลับมาโชว์ฟอร์มเด่นกับ ยูเวนตุส อย่าง อเลสซานโดร เดล ปิเอโร และ อันโตนิโอ คาสซาโน กับ ฟาบิโอ กวายาเรลลา

อย่างไรก็ดี งานของอิตาลีคงไม่ง่ายนัก เมื่อต้องอยู่ในกลุ่มที่ถือเป็นกรุ๊ปออฟเดธ กับคู่ปรับเก่า “เลส เบลอส์” ฝรั่งเศส, “อัศวินสีส้ม” เนเธอร์แลนด์ และ “ผีดิบ” โรมาเนีย หากยังเครื่องร้อนช้า เหมือนที่ผ่านมา และไม่เข้าฟอร์มสุดยอดทันเวลา ก็ มีโอกาสตกรอบแรกได้เช่นกัน.

ข้อมูลจำเพาะอิตาลี

กัปตันทีม : ฟาบิโอ คันนาวาโร
อันดับโลกล่าสุด : อันดับ 1
ผลงานที่ดีที่สุดในยูโร : แชมป์ (1968)
ผลงานในฟุตบอลยูโร รอบสุดท้าย : 1960 - ไม่ได้เข้าร่วม, 1964 - ไม่ผ่านรอบคัดเลือก, 1968 - แชมป์, 1972 - ไม่ผ่านรอบคัดเลือก, 1976 - ไม่ผ่านรอบคัดเลือก, 1980 - อันดับ 4, 1984 - ไม่ผ่านรอบคัดเลือก, 1988 - รอบรองชนะเลิศ, 1992 - ไม่ผ่านรอบคัดเลือก, 1996 - รอบแรก, 2000 - รองแชมป์, 2004 - รอบแรก, 2008 - เข้ารอบสุดท้าย
 

     โค้ช : โรเบอร์โต โดนาโดนี

     อดีตกองกลางทีมชาติอิตาลี ได้รับงานคุมทีมชาติต่อจากมาร์เซลโล ลิปปี หลังจบฟุตบอลโลก 2006 ท่ามกลางความคาดหวังอันสูงยิ่งของทุกคนและแม้ว่าจะเริ่มต้นได้ไม่ดีนัก แต่เขาก็พาอิตาลีผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย ยูโร 2008 ได้สำเร็จ และตั้งความหวังว่าจะพาแชมป์โลกอิตาลี ครองแชมป์ยูโร 2008 ให้ได้อีกครั้งหนึ่ง

โดนาโดนี เริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพกับสโมสรบ้านเกิด อตาลันตา และเข้าร่วมทีมเอซี มิลาน ในปี 1986 เป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของทีมซึ่งคว้าแชมป์กัลโช เซเรีย อา 5 สมัย ในปี 1988, 1992, 1993, 1994, 1996 และแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ 3 สมัย 1989, 1990, 1994 ภายใต้การคุมทีมของยอดโค้ช อาริโก ซาคคี และ ฟาบิโอ คาเปลโล ก่อนเลิกอาชีพนักเตะเขาออกไปเล่นกับนิวยอร์ก/นิวเจอร์ซี เมโทรสตาร์ ในสหรัฐอเมริกา และอัล อิททิฮัน ในซาอุดีอาระเบีย ตามลำดับ

เขาเริ่มงานโค้ชในปี 2001 กับสโมสร เลชโช 1912 ในเซเรีย ซี และพาทีมคว้าอันดับ 9 ฤดูกาลต่อมาเขาย้ายไปคุมทีม ลิวอร์โน ในเซเรีย บี ซึ่งเขาพาทีมคว้าอันดับ 10 มาครอง ปีต่อมาเขาได้งานที่เจนัวในเซเรีย อา เข้าคุมทีมได้เพียง 3 นัด ก็ถูกปลดออกแบบสายฟ้าแลบ หลังจากหยุดงานไประยะหนึ่งเขากลับมาคุมทีมลิวอร์โน ซึ่ง มาอยู่ในเซเรีย อา แล้ว กลางฤดูกาลในเดือนมกราคม 2005 และพาทีมครองอันดับ 9 ฤดูกาลต่อมา 2005/06 เขาพาลิวอร์โนขึ้นมาครองอันดับ 6 ก่อนจะลาออกในเดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากขัดแย้งกับประธานสโมสร และว่างงานอยู่จนกระทั่งสมาคมฟุตบอลอิตาลีมอบงานคุมทีมชาติให้ด้วยความเชื่อมั่นว่า โค้ชหนุ่มที่มีประสบการณ์ทั้งการเล่นและการเป็นโค้ชจะพาทีมชาติอิตาลีให้ครองความยิ่งใหญ่ได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต.


ดาราทอง : ดิโน ซอฟฟ์


จากการสำรวจความเห็นของแฟนบอลอย่างกว้างขวางโดย ยูฟ่า ดอทคอม เพื่อค้นหานักเตะยอดเยี่ยมของยุโรปในรอบ 50 ปี ดิโน ซอฟฟ์ ได้คะแนนมาเป็นอันดับ 5 ตามหลังเพียงแค่ ซีเนอดีน ซีดาน, ฟรานช์ เบ็คเคนบาวร์เออร์, โยฮัน ครอยฟ์ และ มาร์โก แวน บาสเทน ดังนั้นจึงไม่ผิดความคาดหมายที่สมาคมฟุตบอลอิตาลีเลือกเขาเป็นดาราทองของประเทศ

เขาเกิดเมื่อกุมภาพันธ์ 1942 ที่ มาริอาโน เดล ฟริอูลี ใกล้เมืองอูดิเนเซ และได้รับการยกย่องให้เป็นตำนานที่มีชีวิตของวงการฟุตบอลอิตาลีด้วยการสร้างสถิติต่าง ๆ ไว้อย่างมากมายตลอด 22 ปีของการเป็นนักเตะอาชีพ 1961-83 เขาลงเล่นในเซเรีย อา 570 แมตช์ กับ อูดิเนเซ, มานโตวา, นาโปลี และยูเวนตุส โดยสร้างสถิติอันเหลือเชื่อกับทีมยูเว่ด้วยการลงเล่นติดต่อกัน 332 แมตช์ ไม่เคยพลาดแชมป์ใดเลยนาน 11 ปีเศษ และไม่เสียประตูเลยนาน 903 นาที ส่วนในระดับชาติเขา เล่นให้ทีมชาติอิตาลี 112 นัด โดยทำหน้าที่กัปตันทีม 59 แมตช์ เล่นในฟุตบอลโลก 4 ครั้ง และไม่แพ้ทีมใดนาน 1,143 นาที

เขาเริ่มเป็นที่รู้จักและได้รับการยกย่องตั้งแต่เข้าร่วมทีมนาโปลีเมื่อปี 1967 ด้วยวัย 25 ปี และอยู่ที่เนเปิลส์นาน 5 ปี ก่อนจะย้ายมาอยู่กับยูเวนตุส ในปี 1972 ด้วยวัย 30 ปี ซึ่งดูเหมือนจะใกล้ปลายทางของอาชีพนักเตะแล้ว แต่ด้วยความประพฤติส่วนตัวที่ดี รู้จักดูแลตนเอง มีความสุขุมเยือกเย็น ทำให้เขาเล่นให้ยูเว่ได้นานถึง 11 ปี เป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของทีมซึ่งประสบความสำเร็จสูงสุด ร่วมกับยอดนักเตะอย่าง เคลาดิโอ เจนติเล, อันโตนิโอ คาบรินี, เกตาโน สคิเรีย, มาร์โค ทาร์ เดลลี, ฟรังโก คูซิโอ, เปาโล รอซซี และ โรเบอร์โต เบตเตกา ภายใต้การคุมทีมของยอดโค้ช จิโอวานนี ตราปัตโตนี

ใน 11 ปีนี้ยูเว่คว้าแชมป์เซเรีย อา ได้ 6 ครั้ง แชมป์ถ้วยโคปปา อิตาเลีย 2 ครั้ง และเข้าชิง ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก 2 ครั้ง แต่แพ้ให้ อาแจกซ์ อัม สเตอร์ดัม ในปี 1973 และแพ้ฮัมบวร์กในปี 1983

เขาผ่านเกมฟุตบอลโลก 4 ครั้ง โดยเป็นประตูสำรองให้ เอนริโอ อัลเบอร์โตชี ในปี 1970 ตกรอบแรกในปี 1974 และคว้าอันดับ 4 ที่อาร์เจนตินาปี 1978 โดยเขาเสียไปเพียง 4 ประตู และมาประสบ ความสำเร็จสูงสุดเมื่อคว้าแชมป์โลก 1982 มาครอง.
รายชื่อ 23 นักเตะอิตาลีที่ติดทีมไปแข่งขันฟุตบอลยูโร 2008

ผู้รักษาประตู


เบอร์ 1, ชื่อ จานลุยจิ บุฟฟอน, สโมสร ยูเวนตุส
เบอร์ 14, ชื่อ มาร์โก อเมเลีย, สโมสร ลิวอร์โน
เบอร์ 17, ชื่อ มอร์แกน เด ซานซ์ติส, สโมสร อูดิเนเซ

กองหลัง

เบอร์ 2, ชื่อ คริสเตียน ปานุชชี, สโมสร โรมา
เบอร์ 3, ชื่อ ฟาบิโอ กรอสโซ, สโมสร โอลิมปิก ลียง
เบอร์ 5, ชื่อ ฟาบิโอ คันนาวาโร, สโมสร รีล มาดริด
เบอร์ 23, ชื่อ มาร์โก มาเตรัซซี, สโมสร อินเตอร์ มิลาน
เบอร์ 19, ชื่อ จานลูกา ซามบร็อตตา, สโมสร บาร์เซโลนา
เบอร์ 6, ชื่อ อันเดรีย บาร์ซายี, สโมสร ปาแลร์โม
เบอร์ 4, ชื่อ จอร์โจ คิเอลลินี, สโมสร ยูเวนตุส

กองกลาง

เบอร์ 8, ชื่อ เจนนาโร กัตตูโซ, สโมสร เอซี มิลาน
เบอร์ 21, ชื่อ อันเดรีย ปิร์โล, สโมสร เอซี มิลาน
เบอร์ 13, ชื่อ มัสซิโม อัมโบรซินี, สโมสร เอซี มิลาน
เบอร์ 10, ชื่อ ดานิเอเล เด รอสซี, สโมสร โรมา
เบอร์ 20, ชื่อ ซิโมเน แปร์ร็อตตา, สโมสร โรมา
เบอร์ 16, ชื่อ เมาโร คาโมราเนซี, สโมสร ยูเวนตุส
เบอร์ 22, ชื่อ อัลแบร์โต อควิลานี, สโมสร โรมา

กองหน้า

เบอร์ 9, ชื่อ ลูกา โทนี, สโมสร บาเยิร์น มิวนิก
เบอร์ 11, ชื่อ อันโตนิโอ ดิ นาตาเล, สโมสร อูดิเนเซ
เบอร์ 15, ชื่อ ฟาบิโอ กวายาเรลลา, สโมสร อูดิเนเซ
เบอร์ 7, ชื่อ อเลสซานโดร เดล ปิเอโร, สโมสร ยูเวนตุส
เบอร์ 12, ชื่อ มาร์โก บอร์ริเอลโล, สโมสร เจนัว
เบอร์ 18, ชื่อ อันโตนิโอ คาสซาโน, สโมสร ซามพ์โดเรีย
ฝรั่งเศส : จะผ่านรอบแรกได้ก็ต้อง 'ท็อปฟอร์ม' ทุกนัด
กลุ่ม C

โปรแกรมการแข่งขัน

9 มิ.ย. 2008 โรมาเนีย - ฝรั่งเศส 23.00 น.
13 มิ.ย. 2008 ฮอลแลนด์ - ฝรั่งเศส 01.45 น.
17 มิ.ย. 2008 อิตาลี - ฝรั่งเศส 01.45 น.

ผลงานในรอบคัดเลือกยูโร 2008
แข่ง 12, ชนะ 8, เสมอ 2, แพ้ 2, ได้ 25, เสีย 5, แต้ม 26

วัน/เดือน/ปี 2 กันยายน 2549, สถานที่ เยือน, คู่แข่งขัน ชนะ จอร์เจีย, ผล 3-0
วัน/เดือน/ปี 6 กันยายน 2549, สถานที่ เหย้า, คู่แข่งขัน ชนะ อิตาลี, ผล 3-0
วัน/เดือน/ปี 7 ตุลาคม 2549, สถานที่ เยือน, คู่แข่งขัน แพ้ สกอตแลนด์, ผล 0-1
วัน/เดือน/ปี 11 ตุลาคม 2549, สถานที่ เหย้า, คู่แข่งขัน ชนะ ฟาโรไอส์แลนด์, ผล 5-0
วัน/เดือน/ปี 24 มีนาคม 2550, สถานที่ เยือน, คู่แข่งขัน ชนะ ลิทัวเนีย, ผล 1-0
วัน/เดือน/ปี 2 มิถุนายน 2550, สถานที่ เหย้า, คู่แข่งขัน ชนะ ยูเครน, ผล 2-0
วัน/เดือน/ปี 6 มิถุนายน 2550, สถานที่ เหย้า, คู่แข่งขัน ชนะ จอร์เจีย, ผล 1-0
วัน/เดือน/ปี 8 กันยายน 2550, สถานที่ เยือน, คู่แข่งขัน เสมอ อิตาลี, ผล 0-0
วัน/เดือน/ปี 12 กันยายน 2550, สถานที่ เหย้า, คู่แข่งขัน แพ้ สกอตแลนด์, ผล 0-1
วัน/เดือน/ปี 13 ตุลาคม 2550, สถานที่ เยือน, คู่แข่งขัน ชนะ ฟาโรไอส์แลนด์, ผล 6-0
วัน/เดือน/ปี 17 ตุลาคม 2550, สถานที่ เหย้า, คู่แข่งขัน ชนะ ลิทัวเนีย, ผล 2-0
วัน/เดือน/ปี 21 พฤศจิกายน 2550, สถานที่ เยือน, คู่แข่งขัน เสมอ ยูเครน, ผล 2-2

ในรอบคัดเลือกกลุ่ม B ฝรั่งเศสต้องเบียดกับคู่แข่งอย่างอิตาลี และสกอตแลนด์อย่างตื่นเต้นจนถึงโค้งสุดท้าย หลังจากเริ่มต้นได้ดีด้วยการออกไปชนะจอร์เจียถึง 3-0 ตามด้วยการปิดบ้านที่สตาด เดอ ฟรองซ์ พิชิตอิตาลี ล้างแค้นความพ่ายแพ้ในรอบชิงฟุตบอลโลก 2006 สด ๆ ร้อน ๆ ได้ 3-1 ด้วย 2 ประตูของ ซิดนีย์ โกวู และ 1 ประตูของ เธียร์รี อองรี แต่กลับพลาดท่าออกไปพ่ายสกอตแลนด์ 0-1 ที่กลาสโกว์ โชคดีที่หลังจากนั้นเอาชนะได้ 4 นัดรวด ตามด้วยการออกไปเสมออิตาลี 0-0 ที่ มิลาน แต่กลับทำให้แฟนบอลใจหายในนัดต่อมาเมื่อเล่นในปารีสพ่ายสกอตแลนด์อีกครั้งจากประตูโทนของ เจมส์ แม็คฟาดเดน 2 นัดต่อมาพวกเขาเจอทีมต่ำชั้น และเอาชนะได้ทั้ง แฟโรไอส์แลนด์ และลิทัวเนีย โดย เธียร์รี อองรี สามารถ ทำลายสถิติยิงให้ทีมชาติ 41 ประตูของ มิเชล พลาตินี ลงได้ในนัดที่ชนะลิทัวเนีย 2-0 ฝรั่งเศสโชคดีที่อิตาลีบุกไปเอาชนะสกอตแลนด์ได้ 2-1 ทำให้นัดสุดท้าย กับยูเครน พวกเขาเล่นอย่างสบายและเสมอ 2-2 ผ่านเข้ารอบเป็นที่ 2 รองจากอิตาลี และเฉือนสกอตแลนด์ไป 2
คะแนน

ผลงานในฟุตบอลโลก 2006

ในรอบคัดเลือกฝรั่งเศสทำได้ไม่ดีนัก แม้

ว่าจะลงเล่น 10 นัด พวกเขาจะไม่แพ้ทีมใดเลย แต่เอาชนะได้เพียง 5 นัด และเสมอถึง 5 นัด เข้าเป็นที่ 1 ของกลุ่ม มีคะแนนห่างอันดับ 2 สวิต เซอร์แลนด์ และอันดับ 3 อิสราเอลเพียง 2 คะแนน

ในรอบสุดท้ายที่เยอรมนี ฝรั่งเศสเริ่มต้นได้อย่างไม่น่าประทับใจด้วยการเสมอสวิตเซอร์แลนด์ 0-0 และเสมอเกาหลีใต้ 1-1 แต่นัดสุดท้ายเอาชนะโตโกได้ 2-0 ผ่านเข้ารอบสอง เอาชนะ สเปนได้ถึง 3-1 ด้วยฟอร์มที่ดีขึ้น รอบก่อนรองชนะเลิศพวกเขาปราบแชมป์โลกบราซิลลงได้ 1-0 และเฉือนโปรตุเกส 1-0 ในรอบรองชนะเลิศ ในรอบชิงกับอิตาลี แม้ว่ากัปตันทีม ซีเนอดีน ซีดาน จะถูกใบแดงไล่ออกจากการใช้หัวโขก มาร์โก มาเตรัซซี พวกเขาก็ยังยันเสมอได้ 1-1 ต้องตัดสินหาแชมป์ด้วยการยิงลูกจุดโทษ และพ่ายไปในที่สุด 3-5 ได้แค่ตำแหน่ง รองแชมป์โลก

ผลงานในยูโร 2004

ฝรั่งเศสผ่านรอบคัดเลือกได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยชนะหมดทั้ง 8 นัดยิงได้ 29 เสียเพียง 2 ประตู และยังมีผลงานที่ดีต่อเนื่อง ถึงรอบสุดท้ายที่โปรตุเกส โดยรอบแรกแบบแบ่งกลุ่ม เอาชนะอังกฤษ 2-1 เสมอโครเอเชีย 2-2 และชนะสวิตเซอร์แลนด์ 3-1 แต่ต้องตกรอบก่อนรองชนะเลิศอย่างพลิก ความคาดหมาย โดยพ่ายกรีซ 0-1 จากประตูของ อันเกลอส ชาริสเตอัส ในนาทีที่ 65 ทำให้ไม่สามารถสร้างสถิติเป็นทีมแรกที่ป้องกันแชมป์ยูโรได้ อย่างไรก็ดี ยกเว้นเยอรมนี ที่ครองแชมป์ยูโรได้ 3 ครั้งแล้ว มีฝรั่งเศสอีกเพียงทีมเดียวที่ได้ครองแชมป์ 2 ครั้ง โดยทำได้ในปี 1984 และ 2000

ในปี 1984 ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพ และคว้าแชมป์ยูโรครั้งแรกด้วยการชนะสเปน 2-0 ที่สนามปาร์ค เดส์ แฟรงซ์ ในปารีส ส่วนในยูโร 2000 ซึ่งเนเธอร์แลนด์ และเบลเยียมเป็นเจ้าภาพร่วม ฝรั่งเศสปราบอิตาลีได้ในรอบชิงชนะเลิศ โดยอิตาลียิงนำไปก่อนจาก มาร์โก เดล เวคคิโอ ในนาทีที่ 55 และ ซิลแวง วิลตอร์ ตีเสมอให้ฝรั่งเศส ในนาทีสุดท้ายต้องต่อเวลา 30 นาที และเดวิด เทรเซเกต์ ยิงประตูชัยได้ในนาที 103

กลยุทธ์การเล่นของฝรั่งเศส

แม้ว่ากัปตันทีม ซีเนอดีน ซีดาน จะอำลาทีมชาติไปแล้ว แต่ฝรั่งเศสก็ยังมีตัวหลักชุดรองแชมป์ฟุตบอลโลก 2006 อยู่อย่างครบครัน ในตำแหน่งผู้รักษาประตู เกรกอรี คูเปต์ วัย 35 ปี ได้โอกาสขึ้นมาเป็นมือ 1 แทน ฟาเบียง บาร์กเตซ ที่เลิกเล่นไปด้วยผลงานที่โดดเด่นกับแชมป์ลีก ฝรั่งเศส 6 สมัย โอลิมปิก ลียง โดยมีแบ๊กโฟร์ที่แข็งแกร่งและประสบการณ์สูงอย่าง วิลลี ซาญอล, ลิลิยง ตูราม, วิลเลียม กัลลาส และ เอริค อบิดาล เสริมด้วยตัวเลือก อย่าง ปาทริก เอฟรา, เซบาสเตียน สกิลลาชี, ฟรองซัวส์ แกลร์ก และ ฌอง อแลง บูมซง

ในแดนกลางฝรั่งเศสมีกองกลางตัวรับที่แข็งแกร่งอย่าง ปาทริค วิเอรา และ โคลด มาเกเลเล โดยให้ ฟรองค์ ริเบอรี จากบาเยิร์น มิวนิก กับ ฟลอรองต์ มาลูดา ของเชลซี เล่นในตำแหน่งปีกขวา และซ้าย ส่วนกองหน้าถ้า โดเมเน็ค ใช้ระบบ 4-4-2 ก็จะมี เธียร์รี อองรี เป็นศูนย์หน้าตัวหลัก คู่กับ นิโกลาส์ อเนลกา จากเชลซี หรือดาวรุ่งวัย 20 ปี คาริม เบนเซมา จากโอลิมปิก ลียง แต่ถ้าใช้ระบบ 4-2-3-1 ก็จะเป็นโอกาสของ ซาเมียร์ นาสรี ของโอลิมปิก มาร์กเซย์ ซึ่งจะเป็นกองหน้าต่ำแบบที่ ซีเนอดีน ซีดาน เคยเล่น และมีตัวเลือกอย่าง บาเฟแต็งบี โกมิส และดาวยิง ซิดนีย์ โกวู

แม้ว่าฝรั่งเศสจะมีทีมที่แข็งแกร่ง และดูว่าน่าจะเป็นทีมเต็งทีมหนึ่งแต่การอยู่ร่วมกลุ่มกับ แชมป์โลก อิตาลี, “อัศวินสีส้ม” เนเธอร์แลนด์ และทีม “ผีดิบ” โรมาเนีย ฐานะของพวกเขาคงจะหนักหนาสาหัส เป็นอย่างยิ่ง และจะผ่านเข้ารอบไปได้ก็ต้องเล่นท็อป ฟอร์มทุกนัดเท่านั้น.

ข้อมูลจำเพาะฝรั่งเศส

กัปตันทีม : ปาทริค วิเอรา
อันดับโลกล่าสุด : อันดับ 7
ผลงานที่ดีที่สุดในยูโร : แชมป์ (1984, 2000)
ผลงานในการแข่งขันฟุตบอลยูโร รอบสุดท้าย : 1960 - อันดับ 4, 1964 - ไม่ผ่านรอบคัดเลือก, 1968 - ไม่ผ่านรอบคัดเลือก, 1972 - ไม่ผ่านรอบคัดเลือก, 1976 - ไม่ผ่านรอบคัดเลือก, 1980 - ไม่ผ่านรอบคัดเลือก, 1984 - แชมป์, 1988 - ไม่ผ่านรอบคัดเลือก, 1992 - รอบแรก, 1996 - รอบรองชนะเลิศ, 2000 - แชมป์, 2004 - รอบก่อนรองชนะเลิศ, 2008 - เข้ารอบสุดท้าย

    โค้ช : เรย์มงด์ โดเมเน็ค

    เรย์มงด์ โดเมเน็ค เป็นอีกผู้หนึ่งที่ประสบความสำเร็จทั้งในฐานะนักเตะและโค้ช โดยสมัยเป็นนักเตะลงเล่นในตำแหน่งฟูลแบ๊ก ติดทีมชาติฝรั่งเศส 8 ครั้ง คว้าถ้วย เฟรนช์คัพ กับทีมบ้านเกิด โอลิมปิก ลียง ในปี 1972/73 คว้าแชมป์ลีกฝรั่งเศสกับ สตราสบูร์ก ในปี 1978/79 และกับ บอร์โดซ์ในปี 1983/84

    โดเมเน็ค เริ่มงานโค้ชกับทีม มุล เฮาส์ และไปคว้าแชมป์ลีก 2 กับ ลียง ในปี 1988/89 และเข้ารับงานโค้ชทีมชาติฝรั่งเศสอายุต่ำกว่า 21 ปี ในเวลาต่อมา 10 ปีเศษ ที่เขาคุมทีมอายุต่ำกว่า 21 ปี สามารถ พาทีมคว้าตำแหน่งรองแชมป์ยูโร ชุดอายุต่ำกว่า 21 ปี ได้ในปี 2002

เขาได้รับเลือกเป็นโค้ชทีมชาติชุดใหญ่เมื่อ 12 กรกฎาคม 2004 เฉือนคู่แข่งอย่าง โลรองต์ บล็องค์ และ ฌอง ติกานา หลังจบยูโร 2004 โดยงานแรกคือการพาทีมลงแข่งรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2006 ซึ่งเริ่มต้นได้ไม่ค่อยน่าพอใจนัก จน ต้องไปดึง ลิลิยง ตูราม, โคลด มาเกเลเล และ ซีเนอดีน ซีดาน ซึ่งประกาศเลิกเล่นทีมชาติไปแล้ว กลับมาช่วยทีมใหม่ทำให้เขาพาทีมผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายที่เยอรมนี ได้ และยังสร้างผลงานสุดยอด ด้วยการพาฝรั่งเศสเข้าชิงแชมป์ฟุตบอลโลกกับอิตาลีได้อย่างเกินความคาดหวังของแฟนบอล แม้จะพ่ายในการดวลจุดโทษ แต่ก็ยังได้รับความชื่นชมจากทุกฝ่าย ทำให้เขาได้รับการต่อสัญญาคุมทีมจนจบฟุตบอลยูโร 2008 ซึ่งเขาก็ไม่ทำให้ชาวฝรั่งเศสผิดหวัง ด้วยการพาทีมผ่านรอบคัดเลือกมาได้สำเร็จ และเชื่อว่าน่าจะพาทีมฝรั่งเศสลงรอบสุดท้ายในฐานะทีมเต็งแชมป์อีกครั้งหนึ่ง.

ดาราทองของฝรั่งเศส : จัสต์ ฟองแตง

แม้ว่าปัจจุบันเขาจะอายุถึง 74 ปีแล้ว แต่แฟนบอลทั่วโลกก็ยังจดจำชื่อของเขาได้ดี เพราะเขาคือผู้ครองสถิติยิงประตูสูงสุดในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ด้วย 13 ประตู จาก 6 นัด ในฟุตบอลโลก 1958 ที่สวีเดน

ตอนเข้าค่ายฝึกซ้อมก่อนฟุตบอลโลกที่ออร์ลี ในเดือนพฤษภาคม 1958 ฟองแตง เพิ่งฉลองดับเบิ้ลแชมป์กับทีม สตาด เดอ ไรม์ส แชมเปญ และตื่นขึ้นมาตอนเช้าพบว่าสตั๊ดฟุตบอลของเขาชำรุดเสียหาย ซึ่งในช่วงนั้นนักบอลจะมีสตั๊ดเพียงคนละ 2 คู่ และไม่มีสปอนเซอร์จากบริษัทรองเท้า เพื่อนร่วมทีม สเตฟาน บรูเอ ซึ่งใช้รองเท้าเบอร์เดียวกันได้ให้ฟองแตงยืมรองเท้าของเขามาใช้ หลังจากยิงได้ถึง 13 ประตู ฟองแตง กล่าวติดตลกว่าที่เขาทำประตูสูงสุดได้ เพราะรองเท้าคู่นี้ มีจิตวิญญาณของสองนักเตะอยู่ภายใน

เมื่อเดินทางไปสวีเดนนั้น ฝรั่งเศสเป็นทีมแรกที่ไปถึง จนสื่อมวลชนฝรั่งเศสแซวว่า พวกเขารีบไปสวีเดนเพราะจะเป็นทีมแรกที่ได้กลับบ้าน แต่เมื่อลงแข่งขันพวกเขากลับทำผลงานได้ ดี โดยชนะปารากวัย 7-3 ชนะ สกอตแลนด์ 2-1และแพ้ยูโกสลาเวียได้ผ่านเข้ารอบสอง ในรอบก่อน รองชนะเลิศ ฝรั่งเศสพิชิตไอร์แลนด์เหนือถึง 5-0 เข้ารอบรองชนะเลิศไปพบกับบราซิลที่มีทั้ง วาว่า, การินช่า และหนุ่มน้อยเปเล่ ฟองแตงยังตีเสมอให้ฝรั่งเศสได้หลังจากถูก วาว่ายิงให้บราซิลนำไปก่อน แต่พอเริ่มครึ่งหลังกัปตันทีมฝรั่งเศส โรเบิร์ต จอนเกต์ บาดเจ็บ ซึ่งตามกฎขณะนั้นไม่สามารถเปลี่ยนตัวผู้เล่นแทนได้ ทำให้ฝรั่งเศส พ่ายไปในที่สุด 2-5

ถึงตอนนี้ ฟองแตง ยิงไปแล้ว 9 ประตู จาก 5 นัด ยังน้อยกว่าสถิติที่ ซานดอร์ คอคซิส ของฮังการี ทำไว้เมื่อ 4 ปีก่อน ที่สวิตเซอร์แลนด์ 2 ประตู นัดสุดท้ายเป็นการชิงที่ 3 กับเยอรมันตะวันตก ซึ่งฟองแตงทำได้อีก 4 ประตู ในชัยชนะ 6-3 แต่ 2 ปีต่อมาหลังจากยิงประตูที่ 29 และ 30 ให้ ทีมชาติฝรั่งเศสได้ในเกมกับชิลี เพียง 2 วัน ในวันที่ 20 มีนาคม 1960 เขาได้รับบาดเจ็บขาหักในนัดลีกฝรั่งเศสกับ โซโชซ์ จนต้องเลิกเล่นฟุตบอลด้วยวัยเพียง 27 ปี.

รายชื่อ 23 นักเตะฝรั่งเศสชุดลุยโร 2008 ที่ออสเตรีย-สวิตเซอร์แลนด์

 ผู้รักษาประตู

เบอร์ 23, ชื่อ เกรกอรี กูเปต์, สโมสร โอลิมปิก ลียง
เบอร์ 16, ชื่อ เซบาสเตียน เฟรย์, สโมสร ฟิออเรนตินา
เบอร์ 1, ชื่อ สตีฟ ม็องด็องดา, สโมสร โอลิมปิก มาร์กเซย

กองหลัง

เบอร์ 3, ชื่อ เอริค อบิดาล, สโมสร บาร์เซโลนา
เบอร์ 2, ชื่อ ฌอง อแลง บูมซง, สโมสร โอลิมปิก ลียง
เบอร์ 14, ชื่อ ฟรองซัวส์ แกลร์ก, สโมสร โอลิมปิก ลียง
เบอร์ 4, ชื่อ ปาทริก เอฟรา, สโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เบอร์ 5, ชื่อ วิลเลียม กัลลาส, สโมสร อาร์เซนอล
เบอร์ 19, ชื่อ วิลลี ซาญอล, สโมสร บาเยิร์น มิวนิก
เบอร์ 15, ชื่อ ลิลิยง ตูราม, สโมสร บาร์เซโลนา
เบอร์ 17, ชื่อ เซบาสเตียน สกิลลาชี, สโมสร โอลิมปิก ลียง

กองกลาง

เบอร์ 21, ชื่อ ลาสซานา ดิยาร์รา, สโมสร ปอร์ตสมัธ
เบอร์ 6, ชื่อ โคลด มาเกเลเล, สโมสร เชลซี
เบอร์ 20, ชื่อ เฌเรมี ตูลาล็อง, สโมสร โอลิมปิก ลียง
เบอร์ 4, ชื่อ ปาทริค วิเอรา, สโมสร อินเตอร์ มิลาน

กองหน้า

เบอร์ 8, ชื่อ นิโกลาส์ อเนลกา, สโมสร เชลซี
เบอร์ 9, ชื่อ คาริม เบนเซมา, สโมสร โอลิมปิก ลียง
เบอร์ 18, ชื่อ บาเฟแต็งบี โกมิส, สโมสร แซงต์-เอเตียน
เบอร์ 12, ชื่อ เธียร์รี อองรี, สโมสร บาร์เซโลนา
เบอร์ 7, ชื่อ ฟลอรองต์ มาลูดา, สโมสร เชลซี
เบอร์ 10, ชื่อ ซิดนีย์ โกวู, สโมสร โอลิมปิก ลียง
เบอร์ 22, ชื่อ ฟรองค์ ริเบรี, สโมสร บาเยิร์น มิวนิก
เบอร์ 11, ชื่อ ซาเมียร์ นาสรี, สโมสร โอลิมปิก มาร์กเซย

เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์