ลิเวอร์พูล กับ แชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 18 (ครึ่ง)

ปัจจุบันผมเชื่อว่ารายการฟุตบอลบาร์เคลย์พรีเมียร์ลีก (Barclay Premier League) เป็นรายการฟุตบอลที่มีแฟนบอลติดตามชมมากที่สุดในโลกก็ว่าได้นะครับ ผลพวงจากการเฟื่องฟูของฟุตบอลรายการนี้ทำให้สร้าง “วัฒนธรรมการเชียร์บอล” ขึ้นมาในหมู่ผู้คนที่หลงใหลในเกมส์ลูกหนังอังกฤษ

สำหรับผมแล้ว ผมติดตามเชียร์ทีมลิเวอร์พูล (Liverpool F.C.) มาตั้งแต่ชั้นประถมห้าครับซึ่งนั่นก็เป็นเวลาเกินกว่ายี่สิบปีมาแล้ว แน่นอนที่สุดครับคำถามยอดฮิตในหมู่แฟนบอลด้วยกัน คือ ทำไมถึงชอบเชียร์ทีมนั้น?

เหตุผลการเชียร์บอลของคนส่วนใหญ่อาจจะเริ่มมาจากความประทับใจในความสำเร็จ เกรียงไกรของทีมต่างๆในช่วงเวลานั้น นอกจากนี้เราอาจจะชื่นชอบนักบอลคนโปรดจนทำให้ไม่อาจแบ่งใจไปเชียร์ทีมอื่นได้ เหมือนที่ใครชอบ “เดอะตุ๊ก” ปิยะพงษ์ ผิวอ่อนแล้ว ก็ต้องรักทีมลูกทัพฟ้าทหารอากาศเป็นธรรมดา

“ลิเวอร์พูล” คือ ทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในเกาะอังกฤษ นั่นได้กลายเป็นความภูมิใจของกองเชียร์หงส์แดง (The Reds) ที่มักเรียกขานตัวเองว่า เดอะค็อป (The Kop) ไงล่ะครับ

แฟนพันธุ์แท้ทีมเครื่องจักรสีแดง (Red Machine) ส่วนใหญ่รู้ดีว่าลิเวอร์พูลนั้นครองแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดีทั้งหมด 18 ครั้ง โดยครั้งสุดท้ายที่ลิเวอร์พูลสัมผัสถ้วยแชมป์ดิวิชั่นหนึ่ง คือ ฤดูกาล 1989-1990 ภายใต้การทำทีมของ “คิงเคนนี่” เคนนี่ ดัลกลิช (Kenny Dalglish)

อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ดัลกลิชวางมือจากการคุมทีมหงส์แดงไปอย่างกระทันหัน การเข้ามาสานต่อการทำทีมของ “แกรม ซูเนสส์” (Graeme Souness) กลับไม่สามารถทำให้หงส์แดงครองถ้วยลีกสูงสุดสมัยที่ 19 ได้

“ซูอี้” พาหงส์แดงของเขาบินได้ไกลที่สุดในอันดับที่ 2 ของตารางในฤดูกาล 1990-1991 ขณะที่ผู้ท้าชิงหน้าใหม่ในตอนต้นทศวรรษที่ 90 ได้กลายเป็น ปืนโต อาร์เซน่อล (Arsenal), ยูงทอง ลีดส์ ยูไนเต็ด (Leeds United) และ ปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (Manchester United)

แม้ว่าความสำเร็จส่วนใหญ่ในฟุตบอลลีกสูงสุดเมืองผู้ดีมักจะตกอยู่กับทีมสีแดง แต่ทีมที่ได้สร้างความเกรียงไกรตลอดช่วงทศวรรษที่ 90 และ เริ่มต้นศตวรรษใหม่กลับกลายเป็นทีมสีแดงที่อยู่ในเมืองแมนเชสเตอร์ครับ

“แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ของ อเล็ก เฟอร์กูสัน (Alex Ferguson) ค่อยๆสร้างพลพรรคอสูรแดงให้เติบใหญ่จนกลายเป็นที่น่าเกรงขามทั่วทั้งแผ่นดินยุโรป อย่างไรก็ตามสิ่งที่เฟอร์กูสันทำนั้นไม่ได้เนรมิตได้ภายในวันเดียว หรือ ฤดูกาลเดียว หากแต่เขาต้องใช้เวลาปลุกปั้น “แมนยู” ของเขาร่วมห้าปีเลยทีเดียว

“เฟอร์กี้” เข้ามากุมบังเหียน “ทีมปีศาจแดง” ในฤดูกาล 1986-1987 ซึ่งผู้จัดการทีมเลือด สก๊อตคนนี้พาผีแดงเข้าป้ายอันดับที่ 11 ในฤดูกาลแรกบนเกาะอังกฤษของเขา ขณะที่ฤดูกาลต่อมา (1987-1988) เฟอร์กี้สร้างเซอร์ไพร์สเข้าป้ายเป็นอันดับ 2 โดยตามทีมแชมป์อย่างลิเวอร์พูลอยู่ห่างๆ 9 แต้ม

ฤดูกาล 1988-1989 แมนยูหล่นลงไปอันดับที่ 11 เหมือนเดิม โดยคราวนี้ลิเวอร์พูลต้องช่วงชิงตำแหน่งแชมป์ลีกกับทีม “ปืนโต” ของจอร์จ เกรแฮม (George Graham) ซึ่งท้ายที่สุดพลพรรคเดอะกันเนอร์สามารถฉลองถ้วยแชมป์ได้ในถิ่นแอนฟิล์ดเมื่อ “ไมเคิล โทมัส” (Michael Thomas) ยิงประตูให้อาร์เซนอลแซงกลับมาชนะลิเวอร์พูลได้ในช่วงนาทีสุดท้าย

สำหรับเฟอร์กี้แล้ว “การรอคอยอย่างอดทน” เป็นหัวใจสำคัญในการสร้างทีมชุดใหม่ของเขาขึ้นมา ในฤดูกาล 1989-1990 เฟอร์กี้พาแมนยูร่วงไปอยู่ที่ 13 ของตารางขณะที่ “หงส์แดง”ประกาศศักดาคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเป็นสมัยที่ 18

ฤดูกาล 1990-1991 เฟอร์กี้ดึงแมนยูให้กลับเข้าสู่ท๊อปเท็นได้อีกครั้งโดยคราวนี้แมนยูอยู่ลำดับที่ 6 ของตาราง และฤดูกาลสุดท้ายที่ฟุตบอลลีกอังกฤษใช้ชื่อว่า “ดิวิชั่นหนึ่ง” (1991-1992) แมนยูของเฟอร์กี้ขยับขึ้นไปอยู่อันดับสองโดยเป็นรองลีดส์ ยูไนเต็ด ของฮาวเวิร์ด วิลกินสัน (Howard Wilkinson) ที่คว้าถ้วยแชมป์ดิวชั่นหนึ่งครั้งสุดท้ายไปครอง

อย่างไรก็ตาม “การรอคอยอันแสนยาวนาน” ถึง 26 ปี ก็สิ้นสุดลงในฤดูกาล 1992-1993 เมื่อฟุตบอลพรีเมียร์ลีก สถาปนาขึ้นแทนฟุตบอลดิวิชั่นหนึ่งเดิม และนับตั้งแต่นั้นมา “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” คือทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเกาะอังกฤษครับ

“เฟอร์กี้” รอคอยจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายของเขาที่ชื่อ “อิริค คันโตน่า” (Eric Cantona) การมาของ “ก๊องโต้” ทำให้เสื้อเบอร์ 7 ของแมนยูกลายเป็นตำนานอีกครั้งหนึ่ง และคันโตน่าคือจุดเปลี่ยนที่สำคัญจุดหนึ่งของยูไนเต็ด เขาได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับเหล่า “เฟอร์กี้เบบส์” อย่าง ไรอัน กิกส์ พี่น้องเนวิลล์ เดวิด เบ๊คแฮม พอล สโคล์ล ในเรื่องกระหายความสำเร็จกับทีมอสูรแดง

นับแต่นั้นเป็นต้นมา “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ของ เซอร์อเล็ก เฟอร์กูสัน ก็สร้างความเกรียงไกรเทียบเคียงทีมสีแดงจากเมืองลิเวอร์พูล เฟอร์กี้ทำให้แมนยูของเขากลายเป็นทีมที่ดีที่สุดทีมหนึ่งของโลกในช่วงกลางทศวรรษที่ 90 จนถึงศตวรรษใหม่

เฟอร์กี้ประสบความสำเร็จกับยูไนเต็ดในฐานะแชมป์ลีกสูงสุดของเมืองผู้ดีถึง 11 ครั้ง ในฤดูกาล 1992-1993, 1993-1994, 1995-1996, 1996-1997,1998-1999, 2000-2001, 2002-2003, 2006-2007 และ 2007-2008

ตลอดเวลาสิบห้าปีที่ผ่านมาเฟอร์กี้เจอคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกับเขามาโดยตลอด ตั้งแต่ “คิงเคนนี่”ที่หันกลับมาคุมแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส และเอาชนะทีมของเฟอร์กี้ได้ในฤดูกาล 1994-1995 “อาร์แซน เวงเกอร์” ที่ทำให้อาร์เซน่อลกลายเป็นคู่ตุนาหงันที่แท้จริงของแมนยูในช่วงหลายปีที่มา หรือแม้แต่ “เดอะสเปเชี่ยล วัน” อย่าง “โจเซ่ มูรินโญ่” ที่อาศัยเม็ดเงินของเสี่ยหมีอับราโมวิชสร้าง “เชลซี” ขึ้นมาทาบรัศมีของแมนยูในช่วงไม่กี่ปีมานี้

ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นเป็น “คู่ต่อกร” ที่สมน้ำสมเนื้อกับเฟอร์กี้มากที่สุดครับ ซึ่งท่านผู้อ่านอย่าแปลกใจนะครับว่า ทำไมถึงไม่มีผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลเลยสักคน

สำหรับลิเวอร์พูลแล้ว ทีมที่จ่อมเจ้าอยู่กับความสำเร็จในอดีตทำให้แฟนบอลคาดหวังต่อผลงานทีมรักอย่างช่วยไม่ได้ บ่อยครั้งที่เราฉุนฉียวกับผลงานของนักเตะและผู้จัดการทีม ลองนับดูมั๊ยครับว่าเราเบื่อและเซ็งกับใครมาแล้วบ้าง

เช่น เรามักบ่นในความนุ่มนิ่มของ “รอย อีแวนส์” ที่ไม่สามารถทำให้หงส์แดงชุดสไปซ์บอยบินไปไกลได้ เราเบื่อกับความไร้กึ๋นในการซื้อตัวผู้เล่นของ “เชราด์ล อุลลิเยร์” ที่มักจะสรรหานักเตะประเภท “นิวเนม” แต่ “โนฟอร์ม” อยู่เสมอๆ

และล่าสุด เรากำลังเบื่อกับการทำทีมแบบ “แปลกๆ” ของ “ราฟาเอล เบเนเตซ” บุรุษผู้เชื่อมั่นในระบบเข้ากะออกกะ (Rotation) ในการใช้งานนักเตะหงส์แดง

สิ่งต่างๆที่เราบ่นเบื่อนี้ส่วนหนึ่งมาจากความไม่คงเส้นคงวาของทีมรัก การไม่สามารถเก็บแต้มง่ายๆจากทีมที่สมควรจะเก็บแต้มได้

ผมเชื่อมั่นว่าปีนี้จะเป็นอีกปีที่ลิเวอร์พูลทีมรักของผมไม่ประสบผลสำเร็จอะไรเลยในฟุตบอลรายการใดๆ (แม้ว่าในใจอยากให้ตัวเองคิดผิด) เพราะเท่าที่ผ่านมาผมประหลาดใจกับการสร้างทีมของ “ราฟา” พอๆกับการที่ตะแกเคี่ยวเข็นนักเตะอย่าง “ลูคัส เลว่า”, อังเดรีย ดอสเซน่า หรือแม้แต่อาเบลโล่ อาเบลัวร์ ลงอยู่อย่างสม่ำเสมอทั้งๆที่รู้ว่านักเตะที่เอ่ยนามมานี้ไม่สามารถเป็นที่พึ่งของทีมได้ในยามที่ทีมกำลังเข้าสู่สถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน

สำหรับข้ออ้างหรือเหตุผลของการไม่ได้แชมป์ลีกสูงสุดในปีนี้ไม่ใช่ว่า “เราแพ้บิ๊กโฟร์” นะครับ หากแต่เป็น “เราไม่ชนะทีมลิตเติ้ลโฟร์” ต่างหาก เพระทีมอย่าง สโตค ซิตี้, ฮัลล์ ซิตี้, วีแกนฯ หรือแม้แต่เวสต์แฮมฯคือ ทีมที่หงส์แดงพร้อมจะไม่ชนะในฤดูกาลนี้เนื่องจาก “ราฟา” ยังนิยมใช้งานระบบเข้ากะออกกะในการทำทีมอยู่

อย่างไรก็ตามมาถึงวันนี้เดอะค็อปอย่างเราๆก็น่าจะ “เฮ” ได้บ้างนะครับเพราะว่าลิเวอร์พูลทีมรักของพวกเราสามารถครองแชมป์พรีเมียร์ชิพได้ในครึ่งฤดูกาลแรก (สิ้นสุดเมื่อวันที่ 28 ธันวาคมปีที่แล้ว) นั่นหมายถึง หงส์แดงได้แชมป์สมัยที่สิบแปดครึ่งไปแล้ว…แต่พอสิ้นสุดฤดูกาล 2008-2009 ถ้วยเต็ม ดันไปโผล่อยุ่ที่ โอลแทรฟฟอร์ด หน่ะสิคับ


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์