ภารกิจแหกด่าน บิ๊กโฟร์ : หรือมีแต่ เงิน เท่านั้นที่ช่วยได้ ?

สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ใช่แฟนบอลพันธุ์แท้ ต้องยอมรับว่า

พรีเมียร์ชิพทุกวันนี้คือ "บิ๊กโฟร์" อันประกอบด้วย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี, ลิเวอร์พูล และ อาร์เซนอล เท่านั้น แต่เชื่อหรือไม่ว่า การใช้จ่ายเงินซื้อผู้เล่นที่มากเป็นประวัติการณ์ในลีกสูงสุดของอังกฤษเมื่อช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา อาจจะทำให้การแข่งขันลุ้นแย่งแชมป์เปิดกว้างมากที่สุดในรอบหลายปี
 
"เดอลอตเต" บริษัทให้คำปรึกษาด้านธุรกิจชั้นนำของโลก รายงานตัวเลขว่า

ในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา ทั้ง 20 ทีมในพรีเมียร์ชิพ ใช้เงินซื้อนักเตะรวมกันถึง 531 ล้านปอนด์ หรือ 1.1 พันล้านเหรียญ หรือ 786.9 ล้านยูโร หรือ 37,400 ล้านบาท ! พรีเมียร์ลีกเพิ่งเซ็นสัญญาการถ่ายทอดสดฉบับใหม่เป็นเวลา 3 ฤดูกาล เมื่อเดือนม.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 2.7 พันล้านปอนด์ หรือราว 189,000 ล้านบาท ทำให้แต่ละทีมได้รับส่วนแบ่งกันอื้อซ่า และมีเงินไปซื้อนักเตะมาเสริมทัพกันแบบสบายมือ
 
เมื่อรวมกับรายได้พิเศษที่จะมาจากการขายนักเตะ ทำให้แม้แต่ทีมที่ได้อันดับสุดท้ายของพรีเมียร์ชิพก็ยังจะได้เงินอัดฉีดถึง 26 ล้านปอนด์ หรือราว 1,820 ล้านบาท มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่การใช้เงินในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา จะมากกว่าช่วงปิดฤดูกาล 2006 ที่ใช้ไปรวมกัน 333 ล้านปอนด์ หรือราว 23,310 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นสถิติแล้วในตอนนั้น แบบไม่เห็นฝุ่น
 
แต่ถึงแม้ทีมต่าง ๆ จะมีเงินมากขึ้น มันจะช่วยทำให้ทีมอื่น ๆ พัฒนามาตราฐานของตนเองขึ้นมาเทียบกับกลุ่มบิ๊กโฟร์ ที่เหมือนมีลีกสูงสุดของตัวเองแข่งกันอยู่เพียงแค่ 4 ทีมได้จริงหรือ ?

ศึกพรีเมียร์ชิพผ่านไป 3 สัปดาห์
 
เชลซี, ลิเวอร์พูล และ อาร์เซนอล นำเป็นจ่าฝูงของตารางร่วมกันที่ 10 คะแนน แต่ก็มี เอฟเวอร์ตัน ทีมม้ามืดอีกทีมที่มีคะแนนเท่ากัน ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี ที่ซื้อผู้เล่นใหม่ถึง 8 คน ก็ตามมาติด ๆ และมีคะแนนน้อยกว่าแต้มเดียว ความจริง เชลซี มีโอกาสทำแต้มหนีห่างไปเป็น 13 คะแนน ถ้าหากพวกเขาไม่พลาดท่าบุกไปแพ้ แอสตัน วิลลา แบบหมดสภาพถึง 0-2 เมื่อวันอาทิตย์ก่อน และภายหลังจบเกม แม้แต่กุนซือจอมโวอย่าง โฮเซ มูรินโญ ก็ยังยอมรับว่า วันเวลาที่ เชลซี ครอบครองความยิ่งใหญ่แต่เพียงผู้เดียวในพรีเมียร์ชิพได้ผ่านไปแล้ว
 
และการแข่งขันแย่งแชมป์ในฤดูกาลนี้ก็เปิดกว้างมากกว่าหลายฤดูกาลที่ผ่านมา
 
"มันจะเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้น ที่ทีมใหญ่จะแพ้ และทำแต้มหล่น เพราะว่าทีมอื่น ๆ ก็ใช้เงินเยอะเหมือนกันในการซื้อผู้เล่น และพัฒนาทีม แอสตัน วิลลา คือหนึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัด แต่คุณก็สามารถหาตัวอย่างได้มากมาย ตอนนี้ ลีกเปิดกว้างแล้ว" มูรินโญ ฟันธง
 
ส่วน แมนฯ ยูไนเต็ด แชมป์เก่า ออกตัวได้ไม่ดี

และชนะได้แค่ 2 เกม จาก 5 เกม ทั้ง ๆ ที่พวกเขาคือทีมที่ใช้เงินไปมากที่สุดในช่วงปิดฤดูกาลคือถึงกว่า 50 ล้านปอนด์ ในการซื้อผู้เล่นชื่อดังอย่าง นานี, โอเวน ฮาร์กรีฟส์ และ แอนเดอร์สัน มาร่วมทีม นอกจากนั้นยังมี คาร์ลอส เตเบซ ที่ได้มาแบบยืมตัวด้วย แต่เงินที่ทีมผีแดงใช้ไปไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของยอดรวมทั้งหมดที่บรรดาทีมในพรีเมียร์ชิพใช้ด้วยซ้ำ และมีถึง 12 สโมสร ที่ใช้เงินมากกว่า 20 ล้านปอนด์ โดย 9 สโมสรในนั้น ใช้เงินมากกว่า เมื่อปี 2006
 
สำหรับพรีเมียร์ลีกนั้น

จะขายลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดแบบเหมาหมดรวมกันทุกทีม โดยไม่อนุญาตให้แต่ละทีมไปขายลิขสิทธิกันเอง มองมุมของทีมใหญ่ ๆ นี่คือข้อกีดกันไม่ให้สโมสรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น แต่ถ้าหากมองในมุมของทีมเล็ก ถ้าไม่ทำแบบนี้ จะมีใครสนใจมาซื้อลิขสิทธิของพวกเขา
 
ข้อดีที่เห็นได้ชัดก็คือ

แม้แต่ทีมน้องใหม่อย่าง ซันเดอร์แลนด์ ยังมีเงินให้ใช้จ่ายมากมาย และทุ่มเงินซื้อผู้เล่นไปมากกว่าทีมยักษ์ใหญ่อย่าง เชลซี หรือ อาร์เซนอล ด้วยซ้ำ แต่ในทางกลับกัน ในลา ลีกา ของสเปน บาร์เซโลนา และ รีล มาดริด 2 ทีมยักษ์ใหญ่ ได้รับอนุญาตให้เจรจาเรื่องลิขสิทธิการถ่ายทอดสดได้ด้วยตัวเอง ทำให้ทั้ง 2 สโมสร มีรายได้มากกว่าทีมอื่น ๆ แบบเทียบไม่ติด และน่าคิดว่านั่นคือเหตุผลที่ทำให้สเปนมีทีมที่ยิ่งใหญ่อยู่เพียงแค่ 2 ทีมหรือไม่ ?

อลัน ชวิตเซอร์ ผู้อำนวยการของ "เดอลอตเต" เผยว่า
 
"2 ทีมยักษ์ใหญ่ในสเปน ไม่เหมือนกับพรีเมียร์ลีก พวกเขาสามารถขายลิขสิทธิการถ่ายทอดสดได้ด้วยตัวเอง ทั้ง 2 สโมสร เซ็นสัญญาฉบับใหม่ที่จะทำให้พวกเขามีรายได้ถึงประมาณ 100 ล้านปอนด์ต่อฤดูกาลนับตั้งแต่ฤดูกาล 2008-2009 เป็นต้นไป" นั่นจึงไม่ใช่เรื่องเกินเลยความคาดหมายเลยที่ มาดริด จะใช้เงินมากเหมือนเทน้ำทิ้งถึง 80 ล้านปอนด์ เพื่อซื้อนักเตะในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา ขณะที่ บาร์เซโลนา อาจจะไม่มากเท่า แต่ก็สูงถึง 50 ล้านปอนด์ ซึ่งถ้าหากอยู่ในลีกอังกฤษ ก็จะเป็นสถิติที่สูงที่สุด
 
อย่างไรก็ดี

ถึงแม้การใช้เงินจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าสามารถซื้อความสำเร็จได้จริงดังที่ บาร์เซโลนา และ รีล มาดริด ทำให้ดูมาแล้วในสเปน แต่ก็ไม่ได้รับประกันว่า ในอังกฤษ ทีมอื่น ๆ นอกจากบิ๊กโฟร์ ที่ใช้เงินไปมาก ๆ จะทำได้ดีขึ้นถึงขั้นลุ้นแชมป์แต่อย่างใด
 
อลัน แฮนเซน อดีตสุดยอดปราการหลังของลิเวอร์พูล


ที่ตอนนี้เป็นคอมเมนเตเตอร์ชื่อดังให้บีบีซี หล่นทัศนะว่า ถึงแม้ปัจจัยทุกอย่างจะอำนวยให้การแข่งขันเปิดกว้าง และ วิลลา ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วจากการเอาชนะ เชลซี แต่ในความคิดของเขา การแข่งขันระหว่างทีมอื่น ๆ กับบิ๊กโฟร์ยังห่างกันอีกมาก แฮนเซน รู้จักฟุตบอลอังกฤษเป็นอย่างดีมาตลอดชีวิต และวิเคราะห์ในมุมของฟุตบอลในสนามที่มีโอกาสเป็นจริงมากกว่าการวิเคราะห์อย่างผิวเผินโดยอาศัยเหตุผลพื้นฐานเพียงแค่การใช้เงินของทีมต่าง ๆ

เขาบอกว่า

ในความคิดของเขา ทีมเดียวที่จะสามารถฝ่ากำแพงท็อปโฟร์ได้ก็คือ ทอตแนม ฮอตสเปอร์ แต่หลังจากที่ทีมไก่เดือยทองเริ่มต้นได้อย่างย่ำแย่ ทำให้เขาคิดว่า สเปอร์ จะไม่มีทางขึ้นไปติด 4 อันดับแรกได้อย่างแน่นอนในฤดูกาลนี้ และก็ไม่มีทีมใดอีกแล้วที่จะเป็นผู้ท้าชิงที่จริงจัง
 
อดีตปราการหลังภูผาหิน ฟันธงว่า
 
วิลลา ไม่มีทางติดท็อป 4 ได้แน่ ถึงแม้ มาร์ติน โอนีล จะทำงานได้อย่างน่าประทับใจ แต่ถ้าหากจบด้วยการติด 6 อันดับแรก ทีมสิงห์ผยองก็น่าจะพอใจแล้ว
 
ส่วนทีมอื่น ๆ

ที่มีโอกาสอย่าง เอฟเวอร์ตัน, นิวคาสเซิล, ปอร์ตสมัธ หรือแม้แต่ แมนเชสเตอร์ ซิตี อีกไม่นาน ก็จะถูกเวลาพรากความแน่นอนไปเหมือน ๆ กับหลาย ๆ ฤดูกาลที่ผ่านมา
 
ไม่ใครจะคิดอย่างไร หรือ ตัวเลขการใช้เงินจะหมายถึงดรรชนีชี้วัดความสำเร็จได้หรือไม่ สิ่งหนึ่งที่แน่นอน ซึ่งเราเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ ทุกทีมมีมาตราฐานที่สูงขึ้น และเล่นกันได้สนุกมากขึ้น ทำให้แน่นอนว่า แต่ละทีมจะคว้าชัยชนะได้ยากขึ้นไปด้วย แต่มันจะเปิดกว้างจนถึงกับมีหลายทีมที่สามารถลุ้นแชมป์ได้จริงหรือไม่ คงมีแต่วันเวลาเท่านั้นที่จะสามารถให้คำตอบได้

เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์