พรีเมียร์ยอดช็อปลด10เปอร์เซ็นต์

ตลาดซื้อ-ขายนักเตะของวงการฟุตบอลยุโรปช่วงฤดูร้อน ปิดฉากลงอย่างเป็นทางการแล้ว เมื่อวันที่ 1 กันยายน สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า
 
ปีนี้สโมสรพรีเมียร์ลีกใช้เงินช็อปนักเตะไปรวมทั้งสิ้น 450 ล้านปอนด์ (25,200 ล้านบาท) ลดลงจากเมื่อปีที่แล้วซึ่งใช้เงินสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 500 ล้านปอนด์ ราว 10 เปอร์เซ็นต์ สำหรับทีมที่ทุ่มงบประมาณซื้อนักเตะมากที่สุดคือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งใช้เงินไปประมาณ 120 ล้านปอนด์ (6,720 ล้านเบาท) หรือ 27 เปอร์เซ็นต์ ของทั้งลีก และเมื่อเทียบกับทีมอื่นๆ เป็นรายสโมสรแล้ว แมนฯซิตี้ใช้เงินมากกว่าแต่ละทีมเกือบ 4 เท่าทีเดียว

ขณะที่เดอะ การ์เดี้ยน อ้างข้อมูลของบริษัทบัญชี เคพีเอ็มจี ว่า

4 สโมสรใหญ่ของพรีเมียร์ ได้แก่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ลิเวอร์พูล เชลซี และอาร์เซน่อล ต่างทำกำไรกันได้ถ้วนหน้า โดยยอดรวมการซื้อขายของ "บิ๊กโฟร์" ในปีนี้ มีรายรับมากกว่ารายจ่าย 75.3 ล้านปอนด์ (4,216.8 ล้านบาท) ผิดกับช่วงเดียวกันเมื่อปีที่แล้วซึ่งมีรายจ่ายมากกว่ารายรับ 45.2 ล้านปอนด์ นักวิเคราะห์มองว่า ตัวเลขรายรับรายจ่ายของ 4 ทีมใหญ่ น่าจะได้รับผลกระทบจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ รวมทั้งการกว้านซื้อนักเตะของรีล มาดริด ทีมดังแห่งสเปน
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มองว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของการ "รัดเข็มขัด" เพราะสาเหตุสำคัญที่สุดคือนักเตะดังๆ หลายคนไม่อยากไปค้าแข้งที่อังกฤษเนื่องจากมีอัตราภาษีค่อนข้างสูงนั่นเอง

ทั้งนี้ ช่วงเส้นตายปิดตลาดซื้อ-ขายแทบไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ยกเว้นการย้ายทีมของจอห์นนี่ ไฮติงก้า กองหลังทีมชาติเนเธอร์แลนด์ จากแอตเลติโก้ มาดริด สู่เอฟเวอร์ตัน ด้วยสัญญา 5 ปี ค่าตัว 6 ล้านปอนด์ (336 ล้านบาท)

ด้านปิเอโตร โล โมนาโก ผู้จัดการทั่วไปของคาตาเนีย ทีมในกัลโช่ เซเรียอา อิตาลี เปิดเผยว่า

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ให้ความสนใจทากายูกิ โมริโมโตะ ศูนย์หน้าทีมชาติญี่ปุ่นวัย 20 ปีของคาตาเนีย และมีแผนจะดึงไปร่วมมาร่วมทีมหลังจบฤดูกาลนี้ ส่วนบาเยิร์น มิวนิก ชี้แจงว่าไม่ได้ทำสัญญาใจกับรีล มาดริด ให้ฟร้องก์ ริเบรี่ ย้ายไปในปีหน้า

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์