ประวัติการแข่งขันฟุตบอล ยูโรเปี้ยนคัพ / ยูฟ่า แชมป์เปี้ยน ลีก

จากมติที่ประชุมของยูฟ่า หน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นเพื่อบริหารการแข่งขันฟุตบอลในทวีปยุโรป โดยที่การประชุมระดมความเห็นดังกล่าวนั้น เริ่มต้นในเดือน มีนาคม 1955 ที่ ออสเตรีย กรุงเวียนนา


คณะกรรมการได้ลงมติดว่าน่าจะให้มีการแข่งขันในรูปแบบเดียวกับ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ฟุตบอลยูโรนั่นเอง อย่างไรก็ตามแนวคิดได้กล่าวได้มีการปรับเปลี่ยนเป็นการแข่งขันในระดับสโมสรยุโรปแทน โดยที่มีนิตยสาร เล กิ๊ฟ ของฝรั่งเศส บรรณาธิการของนิตยสารดังกล่าว การเบียล ฮาโน ได้เสนอแนวคิดดังกล่าวให้กับยูฟ่า แนวคิดดังกล่าวได้รับการตอบรับ ทำด้วยรูปแบบการแข่งขัน น็อค เอ้าท์ แพ้คัดออก อีกทั้งกำหนดวันในการแข่งขัน คือ วันพุธ ช่วงค่ำของแต่ละสัปดาห์

อย่างไรก็ตามบรรดาทีมที่เข้าร่วมแข่งขันในช่วงแรกนั้น ไม่ใช่ทีมแชมป์ รองแชมป์ เหมือนรูปแบบในปัจจุบัน เพียงแต่คัดเลือกทีมที่คิดว่ามีแฟนบอลมากที่สุด หรือ ให้ความนิยมมากที่สุดจำนวน 16 ทีมมาประชุมกันเพื่อหาข้อสรุปสำหรับการแข่งขันฟุตบอลรายการดังกล่าว ด้วยข้อสรุปที่ยังไม่ชัดเจนเสียทีเดียว แต่คณะกรรมการก็เหมารวมเอาว่า เป็นมติและประกาศว่า ได้ถือว่าการแข่งขันฟุตบอลยูโรเปี้ยนคัพถือกำเนิดอย่างเป็นทางการ อาจกล่าวได้ว่าฟุตบอลรายการดังกล่าวนั้น ยึดรูปแบบการแข่งขันแบบ น็อคเอ้าท์ มายาวนานเกือบ 40 ปี


รูปแบบการแข่งขันได้มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ในที่สุด ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของฟุตบอลรายการดังกล่าวก็ว่าได้ ในปี 1993 ยูฟ่าได้ยกเลิกระบบ น็อค เอ้าท์ โดยให้มีการแข่งขันแบบแบ่งกลุ่มแทน อีกทั้งได้มีการเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดสำหรับคัดเลือกทีมที่จะเข้าร่วมแข่งขันในทัว
ร์นาเม้นท์ ดังกล่าว ซึ่งแบ่งเป็นการแข่งขันในรอบคัดเลือก มาสู่ระบบแบ่งกลุ่ม กำหนดให้แต่ละทีมในกลุ่มเล่นแบบ เหย้า-เยือน และหาที่ 1 , 2 แต่ละกลุ่มเข้ารอบ หลังจากนั้นก็จะแข่งแบบ น็อค เอ้าท์ ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงรอบชิงชนะเลิศ

ข้อดีของระบบดังกล่าวคือ ทีมตลอดจนฝ่ายการจัดการแข่งขันได้ ผลประโยชน์เพิ่มมากขึ้น ตลอดจนลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันนั้นมีมูลค่าที่สูงมาก แต่ทว่าข้อเสียก็มีเช่นกัน กล่าวคือ นักเตะ จะต้องลงสนามถี่ขึ้น เหนื่อยล้า อีกทั้งต้องเดินทางเกือบจะตลอดทั้งฤดูกาล ตลอดจนบางสัปดาห์ที่ไม่มีการแข่งขัน ก็อาจจะมีเกมทีมชาติเข้ามาแทนที่อีกด้วย (เตะกันจนกรอบๆๆ) การแข่งขันในนัดชิงชนะเลิศนั้น จะจัดขึ้นที่สนามเป็นกลาง ในแต่ละปีโดยธรรมเนียมปฏิบัติจะได้มีการกำหนดสนามแข่งขันนัดชิงชนะเลิศไว้ก่อนการแข่
งขันฟุตบอลรายการดังกล่าวได้เริ่มขึ้นคณะกรรมการจัดการแข่งขัน จะเป็นผู้กำหนดค่า สัมประสิทธิ์สโมสรของชาติต่างๆในทวีปยุโรป โดยค่าสัมประสิทธิ์ดังกล่าวจะส่งผลต่อจำนวนทีมที่จะมีโอกาสเข้าร่วมแข่งขันในฟุตบอลร
ายการดังกล่าว เช่น ในปี 2005 ที่ลิเวอร์พูล สามารถทำผลงานได้ดีในเวทียุโรป คว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ ทำให้ในปี 2006 เป็นต้นไป สโมสรจากประเทศอังกฤษได้โควตาทีมที่จะสามารถลงเล่นฟุตบอลถ้วยนี้ได้เพิ่มเติมปรับจาก 3 ทีม เป็น 4 ทีม

ลักษณะเฉพาะของถ้วยรางวัล
THE BIG EARS



ถ้วยรางวัลที่เราเห็นในการแข่งขันนั้น ได้มีการเปลี่ยนแปลง 2 ครั้ง กล่าวคือ ครั้งที่หนึ่งถ้วยรางวัลต้นแบบนั้นเป็นของสโมสร รีล มาดริด ซึ่งเป็นทีมที่เป็นแชมป์มากที่สุด โดยมอบให้ทีมดังกล่าวไปเก็บรักษาอย่างถาวรในปี 1965

อย่างไรก็ตามทางยูฟ่าได้ทำการประกอบสร้างขึ้นมาใหม่เป็นครั้งที่สอง โดยช่างประดิษฐ์อัญมณี ชาว สวิตเซอร์แลนด์ ฮาร์น สเต็ดแมน ซึ่งใช้โลหะเงินในการผลิตด้วยระยะเวลาที่ยาวนานกว่า 340 ชั่วโมง ความสูง 62 เซนติเมตร น้ำหนัก 7.5 กิโลกรัม มูลค่าถ้วยรางวัลประมาณ 8,000 เหรียญดอลล่าสหรัฐ โดยได้มีการสลักชื่อ ปี ทีมแชมป์ลงในถ้วยรางวัลดังกล่าวอีกด้วย

ยูฟ่าก็ได้มีการตั้งกฏกติกา สำหรับทีมที่มีสิทธิ์ได้ถ้วยรางวัลเป็นการถาวร โดยมีข้อกำหนดว่า ทีมที่ได้แชมป์ 3 ปีติดต่อกัน รวมถึง ทีมที่ได้แชมป์ตั้งแต่ 5 สมัยขึ้นไป จะมีสิทธิ์ในการครอบครองถ้วยรางวัลเป็นการถวร ได้แก่ ทีมรีล มาดริด ทีมอาแจ๊กซ์ (1971-1973) , ทีมบาร์เยิร์น มิวนิค (1974-1976 ) และสโมสรที่สี่คือ เอซี มิลาน สุดท้ายก็คือ ลิเวอร์พูล นั่นเอง ถ้วยรางวัลที่ได้ให้กับทีมแชมป์นั้นจะจำลองมาจากถ้วยในปี 1967 โดยมีชื่อของทีมแชมป์สลักรอบถ้วยรางวัลอีกทั้งมีคำว่า ชัยชนะ ซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศส ( Vainqueurs ) ผู้ที่สลักชื่อนั้นคือ เฟร็ด แบบนิงเกอร์ ทีมที่ได้แชมป์นั้นสามารถที่จะครอบครองถ้วยได้เป็นระยะเวลา 10 เดือน ก่อนเกมนัดชิงชนะเลิศจะเริ่ม่ขึ้น โดยจะต้องนำไปคืน ยูฟ่า โดยที่ยูฟ่าเองจะนำถ้วยรางวัลจำลองซึ่งมี่ขนาดเล็กกว่าถ้วยจริงเล็กน้อยให้กับสโมสรด
ังกล่าว

ทำเนียบแชมป์ ยูโรเปี้ยนคัพ / ยูฟ่า แชมป์เปี้ยน ลีก

ปี ค.ศ.ทีมแชมป์ รองแชมป์
1956 รีลมาดริด - เรมส
1957 รีลมาดริด - ฟิออเรนตินา
1958 รีลมาดริด - เอซี มิลาน
1959 รีลมาดริด - เรมส์
1960 รีลมาดริด - ไอทรัค แฟรงค์เฟิรส์
1961 เบนฟิกา - บาร์เซโลนา
1962 เบนฟิกา - รีลมาดริด
1963 เอซี มิลาน - เบนฟิกา
1964 อินเตอร์ มิลาน - รีลมาดริด
1965 อินเตอร์มิลาน - เบนฟิกา
1966 รีล มาดริด - พาธิสาน เบลเกรต
1967 กลาสโกว์ เซลติก - อินเตอร์มิลาน
1968 แมนฯยูฯ - เบนฟิกา
1969 เอซี มิลาน - อาแจ๊กซ์
1970 เฟเยร์นูรด์ - กลาสโกว์ เซลติก
1971 อาแจ็กซ์ - พานาธิไนกอซ
1972 อาแจ็กซ์ - อินเตอร์ มิลาน
1973 อาแจ็กซ์ - ยูเวนตุส
1974 บาเยิร์น มิวนิค - แอตแลนติโก มาดริด
1975 บาเยิร์น มิวนิค - ลีดส์ ยูไนเต็ด
1976 บาเยิร์น มิวนิค - แซงค์ เอเตียน
1977 ลิเวอร์พูล - โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค
1978 ลิเวอร์พูล - บรู๊คส์
1979 น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ - มาโมล
1980 น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ - ฮัมบูร์ก
1981 ลิเวอร์พูล - รีลมาดริด
1982 แอสตันวิลล่า - บาเยิร์น
1983 ฮัมบูรก์ - ยูเวนตุส
1984 ลิเวอร์พูล - โรม่า
1985 ยูเวนตุส - ลิเวอร์พูล
1986 สเตอัว บูคาเรสต์ - บาร์เซโลนา
1987 ปอร์โต้ - บาเยิร์น มิวนิค
1988 พีเอสวี ไอน์โฮเฟน - เบนฟิก้า
1989 เอซี มิลาน - สเตอัว บูคาเรสต์
1990 เอซี มิลาน - เบนฟิก้า
1991 เร้ดสตาร์ เบลเกรด - โอลิมปิค มาร์กเซย์
1992 บาร์เซโลนา - ซามโดเรีย
1993 โอลิมปิค มาร์กเซย์ - เอซี มิลาน
1994 เอซี มิลาน - บาร์เซโลนา
1995 อาแจ็กซ์ - เอซี มิลาน
1996 ยูเวนตุส - อาแจ็กซ์
1997 ดอร์ทมุนต์ - ยูเวนตุส
1998 รีลมาดริด - ยูเวนตุส
1999 แมนฯยูฯ - บาเยิร์น มิวนิค
2000 รีลมาดริด - บาเลนเซีย
2001 บาร์เยิร์น มิวนิค - บาเลนเซีย
2002 รีล มาดริด - ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน
2003 เอซี มิลาน - ยูเวนตุส
2004 เอฟ ซี ปอร์โต - โมนาโก
2005 ลิเวอร์พูล - เอซี มิลาน
2006 บาร์เซโลนา - อาร์เซนอล
2007 เอซี มิลาน - ลิเวอร์พูล
2008 แมนฯยู -เชลซี
2009 Road To Rome Again!!!

สัญลักษณ์เพิ่มเติมหลังจากได้แชมป์


หลังจากที่ทีมได้แชมป์สมัยที่ 5 ลิเวอร์พูล ได้รับเกียรติให้ติดเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ
บริเวณแขนเสื้อนักเตะเมื่อลงสนามทำการแข่งขันฟุตบอลรายการนี้
ซึ่งสัญลักษณ์ดังกล่าวจะมีพื้นสีน้ำเงิน โดยมีรูปโทรฟี่ รวมถึงสัญลักษณ์ ดาว 5 ดวง
มีข้อกำหนดว่าทีมที่สามารถติดสัญลักษณ์ดังกล่าวได้นั้น จะต้องเป็นทีมที่ได้แชมป์ฟุตบอลรายการดังกล่าว 5 ครั้งขึ้นไป อันได้แก่ ทีมรีล มาดริด , ทีมเอซี มิลาน
อย่างไรก็ตามข้อกำหนดดังกล่าวได้มีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกียรติกับทีมที่ได้แชมป์ติด
ต่อกัน 3 สมัย ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก ซึ่งทีมที่สามารถได้รับเกียรติดังกล่าว คือ ทีมบาร์เยิร์น มิวนิค (แชมป์ในปี 1974 / 1975 / 1976 และปี 2001 ) ทีมอาแจ๊กซ์ (แชมป์ในปี 1971 / 1972 / 1973 และปี 1995 )
สัญลักษณ์ดังกล่าวจะติดกับเสื้อทีมสโมสรได้เพียง 5 สโมสรเท่านั้น !!


เหตุการณ์สำคัญในศึกยูโรเปี้ยนคัพ / ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก
- ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่ได้แชมป์ ยูโรเปี้ยนคัพ มากที่สุดในเกาะอังกฤษ 5
- ลิเวอร์พูล เป็นทีมพิเศษที่ยูฟ่า ต้องเปลี่ยนกฏสำหรับทีมแชมป์เก่า หลังจากที่ทีมได้แชมป์ (แต่ผลงานในลีก ไม่ดีอยู่อันดับ 5 ) ทำให้ทางยูฟ่าต้องสร้างกฏออกมาใหม่ โดยกำหนดให้ ทีมแชมป์เก่าแม้ผลงานในลีกไม่ถึงอันดับที่กำหนด แต่สามารถลงทำการแข่งขันได้ โดยต้องเล่นรอบคัดเลือก
- ในขณะที่ เอฟเวอร์ตัน ที่อยากไปเล่นฟุตบอลรายการนี้จังเลย ตกรอบคัดเลือก แย่จัง!!
*ในปี 1977* ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยนคัพ ได้เป็นสมัยแรก ตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร
*ในปี 1988*ลิเวอร์พูล เป็นทีมแรกในเกาะอังกฤษ ที่สามารถคว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยนคัพ ติดต่อกัน 2 สมัยได้ ( ภายใต้ ผู้จัดการทีม คนเดียวกัน บ๊อบ เพรสลี่ย์ )
*ในปี 1981* ลิเวอร์พูลสามารถปราบ ยักษ์ใหญ่แห่งยุโรปได้ ที่ ปารีส 1-0
*ในปี 1984 * ลิเวอร์พูล สามารถบุกไปกระชาก แชมป์จาก โรม่า ในกรุงโรม( ภายใต้กุนซือ โจ แฟแกน ) ปีนี้เอง ที่เกิดปรากฏการณ์ใหม่ คือ ลิเวอร์พูล เป็นทีมแรกในเกาะอังกฤษที่สามารถคว้าแชมป์ ได้ 3 แชมป์ ในฤดูกาลเดียว ยูโรเปี้ยนคัพ , ดิวิชั่น 1 , ลีกคัพ

เหตุการณ์รุนแรงในนัดดังกล่าว *ในปี 1985 * เกิดเหตุการ์ณ์ เฮย์เซย์ สเตเดี้ยม ซึ่ง THE KOP ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อเหตุ เป็นผลให้ ลิเวอร์พูล และทีมจากประเทศอังกฤษ ถูกแบนจากการแข่งขันฟุตบอลยุโรป 5 ปีเต็มๆ แบบไม่ต้องอุทรณ์เลย
* สนาม เฮย์เซย์ สเตเดี้ยม ปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็น คิง โบ ควง สเตเดี้ยม
* ฟิล นีล เป็นนักเตะลิเวอร์พูลคนเดียวในประวัติศาสตร์ ที่สามารถได้แชมป์กับทีมถึง 4 สมัยด้วยกัน



ความสำเร็จของลิเวอร์พูลในสมัยแรก



แชมป์สมัยที่สองของลิเวอร์พูล ทีมแรกในเกาะอังกฤษ ที่สามารถคว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยนคัพ ติดต่อกัน 2 สมัยได้
( ภายใต้ ผู้จัดการทีม คนเดียวกัน บ๊อบ เพรสลี่ย์ )




แชมป์สมัยที่สาม โดยหัวหน้าทีม ฟิล ธอมป์สัน ปราบ ยักษ์ใหญ่แห่งยุโรปได้ ที่ ปารีส 1-0



แชมป์สมัยที่สี่ กับ ผู้จัดการทีมคนที่สอง โจ แฟแกน ชัยชนะที่โรม



แชมป์สมัยที่ห้า โดยหัวหน้าทีม สตีเวน เจอร์ราร์ด ปราบยอดทีมจากอิตาลีที่ ISTANBUL

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับ ยูโรเปี้ยนคัพ / ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก
- ฟรานซ์ เบคเคนบาวเออร์ เป็นหัวหน้าทีมบาร์เยิร์น มิวนิค เป็นหัวหน้าที่สามารถชูถ้วยรางวัลดังกล่าวถึง 3 ครั้ง
- คาร์เรน ซีดอร์ฟ เป็นนักเตะเพียงคนเดียวที่สามารถคว้าแชมป์รายการดังกล่าวได้ 3 ครั้งซึ่งต่างกันถึง 3 สโมสร อาร์แจกซ์ , รีล มาดริด , เอซี มิลาน
- หลังจากที่ได้แชมป์กับทีมรีลมาดริด สตีฟ แม็คมานามาน เขากล่าวว่าถ้วยรางวัลดังกล่าวสวยงามราวกับ Holy Grail (จอกน้ำศักดิ์สิทธิ์ของ พระเยซูคริสต์ ) - ในขณะที่ชาว ฝรั่งเศส , ฮอลแลนด์ และอิตาลี เรียกมันว่า Big Ears

ข้อมูลโดย น้าฐา
ข้อมูลภาพ นิตยสารหงส์แดง , Liverpool Extra สยามกีฬา
Press Conference Uefa Champions Leauge 2007
The Official Liverpool FC Illustrated History (Second Ed.)



เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์