ตำนานนักเตะ ประจำวันที่16 - ส.ค.- 52

โรแบร์โต้ บัจโจ้ “ตำนานเปียทองคำ”


 


โรแบร์โต้ บัจโจ้ “ตำนานเปียทองคำ”


โรแบร์โต้ บัจโจ้ เป็นอดีตนักฟุตบอลชื่อดังชาวอิตาเลี่ยน และ เจ้าของตำนาน บุรุษเปียทองคำอันป็นเอกลักษณ์ เกิดเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 1967 ที่เมือง คัลด็อกโน่ ประเทศอิตาลี โดย บัจโจ้ ถูกยกให้เป็นหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดยุค 90 และเมื่อปี 2003 เขาก็ได้รับรางวัลทั้งนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรป และของโลก ซึ่งเป็นเครื่องการันตีคุณสมบัติได้เป็นอย่างดี ในฐานะตำนานยอดดาวยิงของขุนพล “อัซซูรี่”


เส้นทางนักฟุตบอลอาชีพ


บัจโจ้ เริ่มต้นอาชีพค้าแข้งกับ วิเชนซ่า ซึ่งขณะนั้นเป็นทีมในเซเรีย ซี1 เมื่อปี 1981 ถัดมาปี 1985 เมื่อฟอร์มเริ่มเข้าที่เข้าทางและมีวี่แววว่าจะก้าวขึ้นมาโด่งดังได้แน่ทีมระดับใหญ่ขึ้นอย่าง ฟิออเรนตินา ก็มาฉกตัวไปร่วมทีม ซึ่งชีวิต “โรบี้” ที่ฟิเรนเซ่ นับว่าประสบความสำเร็จและเป็นที่รักต่อแฟนๆและเพื่อนร่วมทีม


และในปี 1990 แฟนๆฟิเรนเซ่ ก็ต้องหลั่งน้ำตาจนแทบจะกลายเป็นสายเลือด เมื่อบุรุษของทีมถูกขายให้ยักษ์ใหญ่แห่งตูรินอย่าง ยูเวนตุส ด้วยราคาอันเป็นสถิติโลกขณะนั้น 19 ล้านปอนด์ หลังจากได้รับตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีซึ่งปีนั้นเป็นปีแรกที่ โรบี้ ได้สัมผัสบรรยากาศฟุตบอลโลกและฉายแววความสามารถที่ไม่ธรรมดาให้หลายคนอยากจะติดตามมากขึ้น ถัดมาปี 1993 โรบี้ ได้แชมป์ระดับยุโรปเป็นครั้งแรกหลังพา “ม้าลาย” คว้าแชมป์ ยูฟ่า คัพ



บัจโจ้ คว้า สคูเด็ตโต้ แรกกับ ยูเวนตุส ในปี 1995 และหลังจากนั้นก็ถูกขายให้กับ “ปิศาจแดงดำ” เอซี มิลาน สโมสรซึ่งเป็นที่มาของแชมป์ กัลโช่ เซเรีย อา ใบที่สองของ โรบี้ ซึ่งที่ มิลาน โรบี้ นับว่าอยู่ได้เพราะฝีเท้าดีล้วนๆเนื่องจากประธานสโมสรขณะนั้นอย่าง ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ ที่บอกว่าไม่เคยชื่นชอบเลยกับแฟชั่นหางเปียของ โรบี้ แต่ตราบใดที่เจ้าตัวยังยิงประตูได้แบบนี้ ก็ไม่ป็นไร


ในปี 1977 เมื่อเจ้าตัวเริ่มคิดว่าตัวเองเริ่มเข้าสู่ช่วงดาวน์ของชีวิตค้าแข้ง ก็ย้ายไปอยู่กับ โบโลญญ่า และเหมือนเป็นการชุบชีวิตใหม่อีกครั้งเมื่อยิงไปคนเดียว 22 ประตูเป็นสถิติของตัวเองในปีนั้นก่อนได้รับเรียกกลับไปติดทีมชาติอีกครั้งในการลุยฟุตบอลโลกปี 1998 ที่ฝรั่งเศส แทนที่ของกองหน้าที่ฟอร์มกำลังฮอตคราวนั้นอย่าง จิอันฟรังโก้ โซล่า จากการเรียกของโค้ช เชซาเร่ มัลดินี่ ซึ่งเหมือนว่าเป็นการขัดใจแฟนๆเล็กน้อยด้วย


หลังจบเวิลด์ คัพ 1998 ก็เข้าสู่บั้นปลายชีวิตของ บัจโจ้ เต็มตัว แต่ก็ยังได้เซ็นสัญญากับทีมยักษ์ใหญ่อย่าง อินเตอร์ มิลาน แต่นับเป็นการย้ายทีมที่โชคร้ายที่สุดในชีวิตหลังจากโค้ช มาเซลโล่ ลิปปี้ ไม่ค่อยชอบที่จะใช้งาน โรบี้ นักเรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้ลงสนามเลย


แต่ก็ช่วยไม่ได้เมื่อตอนนั้น “โล้นทองคำ”โรนัลโด้ นักเตะบราซิลเลียน กำลังฮอตขึ้นหม้อส่งผลให้ โรแบร์โต้ เสียตำแหน่งตัวจริงเป็นการถาวร เช่นเดียวกับทีมชาติอิตาลี


หลังจากทนอยู่กับ “งูใหญ่”ได้สองปี ก็ได้ย้ายไปอยู่กับ เบรสชา ทีมที่ไม่โด่งดังอะไรมากนัก ก่อนประกาศรีไทร์ในปี 2004 ยุติสถิติยิง 205 ประตูใน เซเรีย อา,สูงสุดเป็นอันดับ 5 ของสถิติตลอดกาล,ติดทีมชาติ 56 นัด ยิง 27 ประตู สูงสุดเป็นอันดับ 4 ของสถิติตลอดกาล


ทีมชาติอิตาลี


บัจโจ้ เป็นกำลังหลักให้ทีมชาติอิตาลี ระหว่างลุยเวิลด์ คัพ ปี 1994 จะเรียกว่าเป็นฮีโร่ก็ไม่ผิดนักพาทีมผ่านเข้าชิงชนะเลิศสำเร็จ ยิง 5 ประตูในทัวร์นาเมนต์รอบสุดท้าย สองประตูจากรอบ 16 ทีม ชนะไนจีเรีย,ประตูชัยท้ายเกมในรอบควอเตอร์ ไฟนัล หักเขา “กระทิงดุ” สเปน,สองประตู ชนะ บัลแกเรีย ในรอบตัดเลือก


ทว่าความผิดพลาดครั้งเดียวของ “โรบี้” แทบทำให้ตัวเองกลายเป็นปิศาจไปเลยในนัดชิงชนะเลิศกับ บราซิล บุรุษเปียทองคำพลาดจุดโทษลูกสุดท้าย (ขณะที่ บราซิลยังเหลือตัวยิง) ส่งผลให้บราซิล คว้าแชมป์โลกหลังเสมอกันในเวลา 0-0


แม้ว่าก่อนหน้าที่ โรบี้ จะพลาด สองนักเตะอิตาเลียน จะพลาดมาก่อนแล้วทั้ง ฟรังโก้ บาเรซี่ และ แดเนีล มาสซาโร่ แต่ความผิดพลาดของเพื่อนร่วมทีมสองคนเหมือนไม่มีใครมองเห็น สปอตไลต์ มาตกที่ โรบี้ คนเดียวเนื่องจากถ้า โรบี้ ยิงเข้า บราซิล ก็ยังคงต้องเสี่ยงยิงต่อ เพื่อจะได้แชมป์โลก


โรบี้ ถูกเรียกกลับไปติดทีมชาติอีกครั้งในการลุยฟุตบอลโลกปี 1998 ที่ฝรั่งเศส แทนที่ของกองหน้าที่ฟอร์มกำลังฮอตคราวนั้นอย่าง จิอันฟรังโก้ โซล่า จากการเรียกของโค้ช เชซาเร่ มัลดินี่ ซึ่งเหมือนว่าเป็นการขัดใจแฟนๆเล็กน้อยด้วย โดยเขาจัดการยิงสองประตูในทัวร์นาเมนต์ คือจุดโทษเกมกับ ชิลี ซึ่งเป็นจุดโทษที่ทำให้แฟนๆมะกะโลนี ยกโทษให้โรบี้ จากความผิดพลาดเมื่อปี 1994 นอกจากนี้ยังเป็นคนยิงประตูชัยในเกมเจอ ออสเตรีย ส่งอิตาลีเป็นแชมป์กลุ่ม


จุดโทษอีกลูกที่โรบี้ จัดการได้คือแมตช์ที่ อิตาลี เจอเจ้าภาพ และแชมป์ในปีนั้น ฝรั้งเศส ซึ่งผลการแข่งขันออกมาเป็นทีมแพ้ ตกรอบหลังจบทัวร์นาเมนต์ อิตาลี โดนวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในด้านสไตล์การเล่นที่เน้นอุด และน่าเบื่อสำหรับแฟนๆ จนได้รับการขนานนามว่าเป็นต้นตำหรับของ “Boring Football”


การลงเล่นฟุตบอลโลก 3 สมัย โรบี้ ยิงไป 9 ประตู เท่ากับ คริสเตียน วิเอรี่ และ เปาโล รอสซี่ ในฐานะนักเตะอิตาเลียนที่ยิงประตูสูงสุดในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย

แมตช์สุดท้ายของโรบี้ จริงๆเลยคือการลงเตะแมตช์การกุศล ให้กับโครงการช่วยเหลือเหยื่อผู้เคราห์ร้ายจากคลื่นยักษ์ สึนามิ Football for Hope ที่ คัมป์ นู เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2005


ลับเฉพาะกับ โรแบร์โต้ บัจโจ้


บัจโจ้ นับถือศาสนาคริสต์ นิกาย โรมัน แคทอริก ผสมผสานกับ การนับถือศาสนาพุทธ นิกาย นิชิเรน นอกจากนี้ เขายังเป็นสมาชิกในองค์ชาวพุทธที่มีชื่อว่า Soka Gakkai International อีกด้วย
 
************************************


เปาโล รอสซี่ เพชรฆาตอัซซูรี่



 


เปาโล รอสซี่ เพชรฆาตอัซซูรี่


เปาโล รอสซี่ ถูกยกให้เป็นนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของ“อัซซูรี่” และเป็นนักฟุตบอลที่เรียกได้ว่าเกิดมาเพื่อยิงประตูเท่านั้น
       รอสซี่ เป็นนักเตะที่ผมเลือกใช้คำว่าล้มแล้วต้องลุกให้ได้ ...เพราะเคยถูกห้ามลงสนามเพราะเจอข้อหาล้มบอล


       เปาโล รอสซี่ เกิดเมื่อวันที่ 23 กันยายน 1956 และเริ่มต้นเป็นนักเตะกับยอดทีมแห่งเมืองตูริน คือม้าลาย ยูเวนตุส โดยร่วมทีมตั้งแต่ทีมระดับจูเนียร์ แต่เนื่องจากมีปัญหาอาการเจ็บหัวเข่ามาโดยตลอด ยูเวนตุสจึงปล่อยตัวรอสซี่ให้ โคโม่ ยืมตัวไปหาประสบการณ์ 



ในชุดวิเซนซ่า



       รอสซี่เล่นโคโม่ไม่นาน แมวมองของทีมในเซเรีย บี คือ วิเชนซ่า ก็ซื้อตัวหลังมองเห็นสัญชาติญาณเพชรฆาต จึงจับรอสซี่ จากผู้เล่นมิดฟิลด์ริมเส้น ไปเป็นกองหน้า ซึ่งถือว่าเป็นการมองถูกทาง เพราะรอสซี่ยิงถึง 21 ประตูให้ทีมเลื่อนชั้นขึ้นไปเล่นในกัลโช่ซีรี อาร์ และวิเชนซ่าก็ยื่นเรื่องขอซื้อตัวเป็นการถาวรจาก ยูเวนตุส ที่ยอมขายด้วยราคาถูกเพียง 1,500 ปอนด์ ในปี 1975
       เล่นลีกสูงสุดเพียงปีเดียว นาโปลี ติดจ่อขอซื้อตัวไปร่วมทีมด้วยราคาเพิ่มเท่าตัวเป็น 3 พันปอนด์ แต่รอสซี่ไม่อยากไปอยู่เมืองมาเฟีย จึงตัดสินใจไปร่วมทีมเปรูจา แบบยืมตัวแทน


       ช่วงนั้นเองที่มาเฟียลูกหนังเริ่มแผลงฤทธิ์ และมีการล้มบอลเกิดขึ้น
       ไม่ต่างจากยุคนี้ ซึ่งเมื่อปีก่อน ซึ่งยูเวนตุส ก็เจอข้อหาเดียวกันและถูกริบตำแหน่งแชมป์ พร้อมถูกปรับตกชั้นไปเตะในกัลโช่ ซีรีส์ บี ขณะที่เอซี มิลาน ถูกตัดแต้มและปรับเงินมหาศาล


       เปาโล รอสซี่ เป็นหนึ่งในนักเตะที่เจอข้อหาล้มบอลในช่วงนั้น เขาจึงถูกสมาคมฟุตบอลอิตาลีห้ามเล่นฟุตบอล 3 ปี แต่สโมสรอุทธรณ์ จึงถูกห้ามลงสนามจาก 3 ปีเหลือแค่ 2 ปี คือฤดูกาล 1980-1982 โดยโทษห้ามลงสนาม สิ้นสุดลงในวันที่ 29 เมษายน 1982



ในชุดยูเวนตุส


       6 ปีผ่านไป ในปี 1981 ยูเวนตุส ตัดสินใจซื้อรอสซี่คืนมาในราคาเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวคือ 5 แสนปอนด์...และยังเป็นการซื้อในช่วงที่เจ้าตัวยังอยู่ในช่วงห้ามลงสนาม
       แต่รอสซี่ก็ซ้อม ซ้อม และซ้อม...ด้วยความหวังเล็กๆว่าจะติดทีมชาติไปฟุตบอลโลก 1982 ที่สเปน
       ไม่มีใครในอิตาลีเชื่อว่าจะมีชื่อเปาโล รอสซี่ ติดทีมชาติไปด้วย ยกเว้น เอ็นโซ เบียร์ซ็อต กุนซือทีมชาติที่ติดตามฝีเท้ารอสซี่มาตลอด และตัดสินใจใส่ชื่อ เปาโล รอสซี่ เป็นหนึ่งใน 24 ขุนพลลุยฟุตบอลโลก 1982
       และเมื่อจบฟุตบอลโลกปี 1982 ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเอ็นโซ่ เบียร์ซ็อต คิดถูก!!!


       อิตาลี ไปสเปนโดยไม่ได้ถูกคาดหวังสูงจากกองเชียร์ และโชว์ฟอร์มรอบแรกแบบห่วยแตก เพราะทั้งๆที่อยู่ร่วมสายกับทีมที่ไม่ได้จัดว่าน่ากลัว คือโปแลนด์ แคเมรูน และเปรู แต่อิตาลีก็หวิดตกรอบแรก
       3 นัดในรอบแรก 3 นัด อิตาลียิงได้เพียง 2 ประตูโดยไม่รู้จักคำว่าชนะ แต่ก็ผ่านเข้ารอบด้วยประตูได้เสียเหนือกว่า แคเมอรูน ที่ตกรอบโดยไม่มีคำว่าแพ้ เพราะทั้ง 2 ทีมต่างเสมอรวด แต่อิตาลีโชคดีที่มีประตูได้เสียดีกว่า คือยิง 2 ประตู จึงเข้ารอบแบบหมอผีต้องน้ำตาตก


       เมื่อผ่านเข้ารอบ 2 เนื่องจากฟุตบอลโลกปี 82 เป็นครั้งแรกที่มีการเพิ่มจำนวนทีมรอบสุดท้ายจาก 16 เป็น 24 ทีม จึงมีการแบ่งสายรอบ 2 เป็น 4 กลุ่มเพื่อเอาที่ 1 แต่ละกลุ่มเข้ารอบรองชนะเลิศ
       ไม่น่าแปลกใจที่อิตาลี จะถูกมองว่าสิ้นสุดเส้นทางในฟุตบอลโลก 82 แค่นี้ เพราะทีมร่วมสายของอิตาลี คือแชมป์เก่า อาร์เจนตินา ที่มี2 นักเตะแชมป์โลก 4 ปีก่อน คือมาริโอ เคมเปส และ ดาเนี่ยล พาสซาเรลล่า เป็นตัวชูโรง และมีนักเตะหน้าใหม่คือดีเอโก้ มาราโดน่า
       อีกทีมคือเต็งหนึ่ง บราซิล ที่มีนักเตะก้องโลกล้นทีม นำทีมโดยเปเล่ขาว ซิโก้ ฟัลเกา ฯลฯ....
       ใครๆก็มองว่านักเตะอัซซุรี่ ต้องกลับไปกินมะกะโรนีที่บ้านหลังจบรอบนี้


       แต่แค่นัดแรกของรอบ 2 อิตาลี ก็ทำให้ทุกคนหันกลับมามอง เมื่อพลิกล็อคชนะอาร์เจนตินา 2-1
       อิตาลียิงได้ 4 ประตูใน 4 เกม โดยศูนย์หน้า ยังไม่มีสกอร์ ทำให้เบียร์ซ็อตถูกสื่ออิตาลีตำหนิถึงการเลือกเปาโล รอสซี่ ที่ไม่ได้ลงสนามมา 2 ปีร่วมทีมไปด้วย
       เบียร์ซ็อตก็รู้ดี พร้อมประกาศให้โอกาสรอสซี่ เป็นครั้งสุดท้าย เพื่อพิสูจน์ตัวเอง
       น่าสงสารรอสซี่ เพราะทีมที่เขาต้องลงสนามเพื่อพิสูจน์ตัวเอง คือแซมบ้า บราซิล เต็งหนึ่งฟุตบอลโลก 1982



นัดลงถล่มบราซิล 3-2



       ก่อนที่จะเจอกัน นักเตะบราซิล ต้องการผลแค่ไม่แพ้ก็จะผ่านเข้ารอบตัดเชือก
       แต่ดูเหมือนบราซิลลืมนึกไปว่า อิตาลีมีนักเตะชื่อ เปาโล รอสซี่ ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในอิตาลีถึงฟอร์มการเล่น แต่เมื่อพบกับบราซิล รอสซี่ก็ทำให้โลกรู้จัก ด้วยการแฮททริคพาอิตาลีเฉือนบราซิล 3-2 และผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ
       ทีมที่อิตาลีเจอในรอบรองชนะเลิศ คือ โปแลนด์ ที่เสมอกันมาในรอบแรก 0-0
       แต่คราวนี้ไม่เหมือนคราวนั้น เพราะเปาโล รอสซี่ จัดการคนเดียว 2 ประตูให้อิตาลีชนะโปแลนด์ไป 2-0 ผ่านเข้าสู่เกมนัดชิงชนะเลิศ


       2 เกม 5 ประตู ..โลกรู้จักเปาโล รอสซี่ แล้ว



ประตูที่ยิงเยอรมนี


       ทีมที่เข้าชิงชนะเลิศกับอิตาลี คือเยอรมันตะวันตก(ในตอนนั้น)
       เกมนัดชิงชนะเลิศ เป็นการดวลกันของ 2 ชาติยุโรปที่เล่นกันคนละสไตล์ นั่นคือ อิตาลี ที่มีเกมรับสุดเหนียวตามรูปแบบการเล่นของทีม และเยอรมนี ทีมที่มีระบบการเล่นที่ไหลลื่นจากกองหลังผ่านกองกลางจนถึงกองหน้า
       ในเกมนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 82 กองหลังของอิตาลีสามารถจับตายกองหน้าของเยอรมันจนกระดิกตัวไม่ออก และฉวยโอกาสโต้กลับเร็ว จนสามารถทำประตูนำห่างถึง 3-0 ก่อนจะชนะไป 3-1 คว้าแชมป์โลกมาครองได้แบบพลิกประวิตศาสตร์
       เกมนัดชิง เปาโล รอสซี่ มีชื่อเป็นหนึ่งในผู้ทำประตูกับเขาด้วย


อิตาลี ...ทีมที่ผ่านรอบแรกมาโดยไม่ชนะใคร
อิตาลี ...ทีมที่ผ่านรอบสองมาด้วยชนะทั้งเต็งหนึ่งและเต็ง 2 
อิตาลี ...ทีมที่คว้าแชมป์โดยมีดาวซัลโว คือเปาโล รอสซี่ ที่ยิงเพิ่งอีกประตูในนัดชิง


       กรุงโรงไม่ได้สร้างวันเดียว...และเปาโล รอสซี่ ก็ไม่ได้แจ้งเกิดในนัดเดียว..
       แต่ในทางกลับกัน รอสซี่ ใช้เวลาเพียง 3 นัดก็ทำให้โลกรู้จัก และอิตาลีบันทึกประวัติศาสตร์ว่า ทารกเพศชายที่เกิดในคืนนั้นค่อนประเทศ ถูกตั้งชื่อเหมือนกันหมดว่าเปาโล


       จากคนที่แพ้ในข้อหาล้มบอล สุดท้าย เปาโล รอสซี่ ก็เป็นผู้ชนะ....
       และเป็นเส้นทางที่สอนให้ทุกคนจำไว้ว่า เมื่อล้มก็ต้องลุกและเดินเชิดหน้า....ให้ได้ !!!


*************************************


ฮัศวินเมืองผู้ดี บ็อบบี้ ชาร์ลตัน


  ถ้าจะเอ่ย ถึงยอดนักเตะของผู้ดีซักคน หลายๆคนคงนึกถึง บ็อบบี้ มัวร์, เจฟฟ์ เฮิร์ทส์,กอร์ดอน แบงค์ ฯลฯ ซึ่งนักเตะเหล่านี้ล้วนเป็นยอดนักเตะในตำนานของทีมชาติอังกฤษ แต่ยังมีอีกคนหนึ่ง ที่ถือว่าเป็นต้นแบบของวงการลูกหนังอังกฤษในยุคสุดยอด นั่นก็คือ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ยอดนักเตะ ของทีมปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และทีมชาติอังกฤษ รวมอยู่ด้วย


        บ็อบบี้ ชาร์ลตัน เกิดเมื่อวันที่ 11  ต.ค. 1937  ที่แอชิงตัน   ซึ่งช่วงนั้นฟุตบอลกำลังบูมอย่างมากในอังกฤษ และ ชาร์ลตันที่หลงใหลในกลิ่นสาบลูกหนังก็หมั่นฝึกฝน และได้เข้าฝึกฝนทักษะด้านลูกหนังที่โรงเรียน อีสต์ นอร์ธัมเบอร์แลนด์  ที่นี่เองที่ชาร์ลตัน สามารถฝึกปรือเชิงลูกหนังได้อย่างเต็มที่ ด้วยความสามารถที่เกินวัย ชาร์ลตัน ก็สามารถได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนไปแข่งขันฟุตบอลรายการต่างๆ และลีลาความสามารถที่สูงตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาเป็นที่ต้องตา ของ กุนซือคนเก่งของแมนฯยูไนเต็ด อย่าง แมตต์ บัสบี้ 


        หลังจากนั้น ชาร์ลตัน ก็ได้เซ็นสัญญาเป็นนักเตะฝึกหัดของทีมปิศาจแดง ด้วยวัยเพียง 15 ปี ซึ่งตอนนั้นแมตต์ บัสบี้ กำลังสร้างรากฐานจากเยาวชนเพื่อครองความยิ่งใหญ่ โดยใช้สโลแกนในตอนนั้นว่า บัสบี้ เบ็บส์   หรือ เด็กๆของบัสบี้  หลังจากนั้นเพียง 3 ปี เขาก็ได้กลายขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ของทีมแมนฯยูไนเต็ด และได้ลงสนามนัดแรกก็เอาชนะใจของแมตต์ บัสบี้ได้สำเร็จ ด้วยการยิง 2 ประตูชนะ ชาร์ลตัน ไป 4-2  และปีนั้นชื่อของชาร์ลตันเริ่มเป็นที่จับตามองมากขึ้น หลังจากช่วยพาทีมครองแชมป์ดิวิชั่นหนึ่งของอังกฤษ ได้สำเร็จ


       ปีต่อมาเขาได้ลงเล่นถ้วยใบใหญ่สุดของยุโรป อย่าง ยูโรเปี้ยนส์ คัพ ซึ่งเขาก็สามารถพาทีมผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ ซึ่งตอนนั้นนัดชิงจัดขึ้นที่สนามเวมบลีย์   แต่ก็เกิดเหตุการณ์อันสลดขึ้น เมื่อทีมต้องไปแข่งขันรอบตัดเชือกที่    มิวนิค ตอนขากลับเครื่องบินเกิดเหตุขัดข้อง จนเกิดอุบัติเหตุ ทำให้นักเตะทีมแมนฯยูไนเต็ด ต้องเสียชีวิต ถึง 23 คน แต่    ชาร์ลตันถือว่าดวงแข็งมาก กลับรอดชีวิตมาอย่างปาฎิหาริย์ แบบไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆเลย  เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดเมื่อวันที่ 6  ก.พ. 1958 เวลา 15.04 น.


              หลังจากนั้น ชาร์ลตันก็ยังอยู่กับยูไนเต็ด ภายใต้การนำทีมของแมตต์ บัสบี้  แต่ฟอร์มการเล่นของชาร์ลตันก็ยังโดดเด่น จนทีมชาติอังกฤษ เรียกเข้าสู่ทีมเมื่อปี 1958 ภายใต้การทำทีมของ วอลเตอร์ วินเตอร์บอททอม  ชาร์ลตันเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ   และปีนั้นอังกฤษได้ไปฟุตบอลโลกที่สวีเดน  แต่แล้วอังกฤษก็ไม่ประสบความสำเร็จ ตกรอบแรกอย่างรวดเร็ว และชาร์ลตันเองก็ไม่มีส่วนร่วมในการแข่งขันครั้งนั้นเลย ซึ่งหลังจากนั้น วอลเตอร์ ออกมายอมรับว่าเขาเสียดายที่ไม่ให้ โอกาสชาร์ลตันลงสนาม    4 ปีต่อมา ชาร์ลตันยังเป็นกำลังสำคัญของทีมชาติอังกฤษ ลุยฟุตบอลโลก แต่ทีมของเขาก็จบแค่รอบ 8 ทีมสุดท้าย


             ต่อจากนั้นชาร์ลตันกลับมาประสบความสำเร็จกับปิศาจแดงต่อ ด้วยการกวาดแชมป์ดิวิชั่นหนึ่ง ในปี 1965.1967 และแชมป์เอฟเอคัพ ปี 1963 หลังจากที่บัสบี้ ได้สร้างทีมใหม่ขึ้นมา โดยการนำของชาร์ลตัน  เดนิส ลอว์ และ จอร์จ เบสต์ ทำให้ทีมปีศาจแดง กลายเป็นทีมเล่นได้สุดยอดในยุคนั้น และความสำเร็จของสโมสรนี่เองทำให้ ชาร์ลตัน ลงทำศึกฟุตบอลโลกปี 1966 ที่อังกฤษเป็นเจ้าภาพ ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม และมีขุนพลเอกจากสโมสรชั้นนำทำให้ปีนั้น อังกฤษประสบความสำเร็จสูงสุด ด้วยการคว้าแชมป์โลกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์  ด้วยการชนะเยอรมันตะวันตกไป 4-2   ซึ่งผลงานการเล่นของชาร์ลตันโดดเด่นมากในปีนั้น และปี 1968 เขาก็สามารถนำทีมปิศาจแดง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนส์ คัพ เป็นครั้งแรกและเป็นทีมแรกจากอังกฤษอีกด้วยที่ได้แชมป์ใบโตของยุโรป


             จากนั้น ชาร์ลตันก็ยังวนเวียนกลับการเล่นฟุตบอล จนกระทั่งในปี 1974 เขาตัดสินใจแขวนสตั๊ด และหันไปทำธุรกิจโรงเรียนสอนฟุตอล   ต่อมาเมื่อปี 1984 ทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ได้เชิญ เขาเข้ามาเป็นผู้อำนวยการสโมสรและได้รับเกียรติให้เป็นบอร์ดของฟีฟ่า อีกทั้งอังกฤษ ยังแต่งตั้งให้ชาร์ลตันเป็นทูตกีฬาเดินทางไปทั่วโลกเพื่อเผยแพร่เกมลูกหนัง


             ความภาคภูมิใจอีกอย่างหนึ่งของชาร์ลตัน ก็คือ การได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ เป็น เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน  จากพระราชวังบักกิ้งแฮม  หลังจากสร้าชื่อเสียงให้กับสโมสรและประเทศชาติมายาวนาน นับว่าชาร์ลตันคือนักเตะแม่แบบของนักเตะอังกฤษขนานแท้เลยก็ว่าได้


            แม้ว่าการเวลาจะผ่านมานานแค่ไหน คนทั่วโลกก็ยังจดจำการเล่นอันยอดเยี่ยมของ ยอดนักเตะเมืองผู้ดีอย่าง บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ตลอดไปอย่างแน่นอน 


 










เกียรติประวัติของบ็อบบี้ ชาร์ลตัน

ระดับชาติ


 


ระดับสโมสร


 


 


ติดทีมชาติ 106 ครั้ง ยิง 49 ประตู


แชมป์ฟุตบอลโลก 1966


แชมป์ลีกสูงสุด กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปี 1957,1965,1967


แชมป์เอฟเอ คัพ ปี 1963


แชมป์ยูโรเปี้ยนส์ คัพ ปี 1968



ขอบคุณข้อมูลจาก sport-idolดอทคอมและหนังสือสุดยอดตำนานฟุตบอลโลก


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์