คาเตนัชโช่ โชว์ ที่เอมิเรสต์ สเตเดี้ยม

แล้วดาร์บี้ที่มีเบิ้ลให้ได้ชมกันถึงสองแมตช์จากสองเมืองในช่วงหัวค่ำของคืนวันอาทิตย์ลากยาวไปจนถึงเช้าวันจันทร์
ก็กลายเป็นความหฤหรรษ์ มันส์ในอารมณ์อยู่ข้างเดียวของอาคันตุกะจากเมอร์ซี่ย์ไซด์ และลอนดอนตามลำดับไหล่

ลิเวอร์พูลยกกองทัพนกไลเวอร์ เบิร์ดบินไปจิกทอฟฟี่รสหวาน ท่ามกลางความระทึกของเดอะ ค็อปทุกหมู่เหล่าจากผลงานในระยะหลังที่ไว้วางใจไม่ค่อยได้เหมือนนักการเมืองประเทศไทย ก่อนจะจบลงด้วยชัยชนะแบบนิ่มๆจากปลายสตั๊ดของโยโบ และเดิร์ค เค้าท์
พร้อมๆกับบรรจงผลักไสไล่ส่งทีมร่วมเมืองให้ลงไปคลุกฝุ่นบริเวณด้านล่างของตารางพรีเมียร์ลีกแบบปวดตับสาวกทอฟฟี่เมนเป็นที่สุด

สิ่งที่เดอะ ค็อปขวมดคิ้วหลังชัยชนะอันแสนหวานจากนัดนี้มีอยู่สองเรื่องใหญ่ๆเท่านั้น
หนึ่งคือ ลิเวอร์พูลของเฮีย (ไม่มีไม้โท) หนวดราฟา จะกลับไปทำตัวขึ้นๆลงๆ เหมือนฟอร์มก่อนหน้านี้รึเปล่า? เพราะหลักฐานจากชัยชนะที่มีต่อแมนยูฯ แล้วไปสะดุดหัวทิ่มให้กับทีมอย่างฟูแล่ม, ซันเดอร์แลนด์ ในเกมหลังจากนั้น ยังคงตามมาหลอกหลอนเหล่าสาวกผู้มีนกไลเวอร์ เบิร์ดในหัวใจอยู่ตลอดเวลา

สองคือ เมื่อไหร่ เจ้าชายน้อย ทีมีค่าตัวร่วมๆ 20 ล้านปอนด์อย่างอาควิลานี่ จะได้ลงสนามเพื่อเคาะสนิมมากกว่าที่เป็นอยู่ซักที

ธรรมชาติของนักเตะที่บาดเจ็บไปนานๆ หลังจากบอกเลิกศาลากับนางพยาบาลที่โรงหมอแล้ว จำเป็นเหลือเกินที่จะต้องได้ลงสนามเพื่อเรียกใบหญ้าที่คุ้นเคยให้กับมาสนิทสนมกับปลายสตั๊ดอีกครั้ง
ภาษาฟุตบอลเรียกว่า แมตช์ ฟิตเนส น่ะครับ

แต่เท่าที่เห็นและตามดูลิเวอร์พูลมาตลอด (เพราะชอบอาควิลานี่) ยังไม่เห็นเฮียหนวดคนเก่ง ปล่อยให้เจ้าชายน้อยได้ลงสนามเพื่อเรียกแมตช์ ฟิตเนสอย่างที่ว่ามากกว่าที่เป็นอยู่เลยนะครับ
เมื่อเทียบกับโจ โคลของเชลซีแล้ว ขานั้นเจ็บไปนานกว่ามาก (ร่วมๆครึ่งปี) อันเชลอตติยังกล้าๆส่งลงไปทำความคุ้นเคยกับเกมบ่อยกว่าเลยด้วยซ้ำ
ผลก็คือตอนนี้โคลหล่อ พร้อมแล้วกับการเป็นส่วนหนึ่งของทีมในการลงเล่นแบบหวุนเวียนเพื่อไล่ล่าแชมป์ทุกรายการที่ขวางหน้า

คำตอบของคำถามที่ว่าคงอยู่ที่ปากของเอล บอสคนเดียวเท่านั้นแหละครับ

ขณะที่เชลซีก็ลงเล่นเกมลอนดอน ดาร์บี้ ด้วยความกดดันนิดๆ หลังจากวันเสาร์แชมป์เก่าเค้าจัดการบอมบ์ทีมที่ไม่มีกะจิตกะใจจะเล่นแล้วอย่างปอร์ทสมัธไปสบายเท้าถึง 4-1
หายใจรดต้นคอเชลซีจนขนลุกเกรียวเหลือแค่ 2 แต้มก่อนแข่งเท่านั้น

แต่ดูเหมือนว่าชัยชนะที่ถล่มทลายของยูไนเต็ด จะไม่ทำให้ผู้ท้าชิงจากลอนดอนหวาดวิตกเท่าไหร่นะครับ (มีแต่ผมมั้งที่กริ่งเกรงไปคนเดียว)
ตรงกันข้ามเหล่าคนเสื้อน้ำเงินกลับลงเล่นด้วยความนิ่ง และตอบสนองแท็คติคที่ผู้เป็นโค้ชวางมาให้เป็นอย่างดีเสียด้วยซ้ำ
แบบนี้ดูท่าการเบียดของเชลซี กับยูไนเต็ดน่าจะสนุกและได้ลุ้นยาวๆเลยทีเดียว

คาร์โล อันเชลอตติ ที่วันนี้มาในมาดที่ละม้ายคล้าย Eminem ฮิพฮอพตัวพ่อ (กรุณาดูภาพประกอบ) ยืนสวมหมวกทำตัวอ้วนกลมน่ารักน่าหยิกอยู่ที่ข้างสนามฮ่าฮ่าฮ่า จัดการวางหมากโดยใช้แผงกองกลางไดมอนด์ที่คุ้นตา แต่ใส่สิ่งที่ไม่คุ้นเคยลงไปในแท็คติคด้วย

นั่นก็คือ การเพรสซิ่งเร็ว

เชลซีเวอร์ชั่นไร้ปีกของคาร์เล็ตโต้ มีจุดเด่นนอกจากคู่กองหน้าที่เข้าขั้นมหันตภัยแก่กองหลังฝั่งตรงข้ามแล้ว การเพรสซิ่งเร็วและบี้ถึงตัวของพวกเขา ก็เป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับที่ทำให้เชลซีเป็นทีมที่ดุดันและน่าสะพรึงกลัวไม่น้อยไปกว่าทีมระดับท็อปของยุโรปทีมอื่นๆ

ทั้งๆที่ปกติแล้วธรรมชาติของการเล่นเพรสซิ่งนั้น น่าจะเป็นขนมหวานสำหรับอาร์เซน่อลเลยด้วยซ้ำ
จากการสังเกตุฟอร์มหลายๆนัดของอาร์เซน่อลในปีนี้ จะเห็นได้ว่าหลายๆทีมใช้การเล่นแบบเพรสซิ่งเข้าบี้เร็วใส่อาร์เซน่อล โดยหวังจะใช้ความหนักและการเข้าถึงตัวเร็วๆ หยุดเกมวันทัชของอาร์เซน่อลให้ได้

แต่กลับกลายเป็นว่าเกรดบอลของยังกันส์นั้นเหนือกว่าทีมอย่างเอฟเวอร์ตัน, ปอร์ทสมัธ, วูลฟส์ฯลฯ ไปหลายกระบวนท่า
พอพวกนี้เพรสซิ่งปุ๊บนักเตะของอาร์เซน่อลยิ้มที่มุมปากพลางล็อคข้อเท้าม้วนหนีปั๊บ, ยิ่งในสถานการณ์หนึ่งต่อหนึ่ง หรือหนึ่งต่อสองนั้น อาร์เซน่อลพลิกและม้วนหนีนักเตะเหล่านั้นไปได้ง่ายๆเหมือนปอกกล้วยเข้าปากยังไงยังงั้นเลย

แต่กับเชลซีมันไม่ง่ายอย่างนั้นน่ะซิครับ

ลองหลับตาแล้วสมมุติตัวเองเป็นอเล็กซ์ ซง หรืออาร์มงด์ ตราโอเร่ดูนะครับ
เวลาได้บอลทีไร เงยหน้าขึ้นมาแล้วเจอนักเตะอย่างเอสเซียงเข้ามาบี้ จะหันหลังกลับก็เจอดร็อกบายืนแสยะยิ้มคอยที่จะฉกบอลอยู่ตลอดเวลา ไอ้ครั้นจะลุยไปเองก็เห็นมิเคลรอเสียบอยู่ไม่ไกล
คิดดูซิครับว่ามันน่าอึดอัดระคนกับความสะพรึงแค่ไหน

เกมนี้อาร์ชาวินเองก็พยายามจะสลัดให้หลุดจากนักเตะเชลซีอยู่ตลอดเวลานะครับ เดี๋ยวโผล่ไปทางซ้าย เดี๋ยวย้ายมาทางขวา ซักพักหุบมาพักบอลตรงกลาง
แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นเชลซีที่คุมอาร์ชาวินได้อยู่หมัด โดยไม่ต้องเปลืองแรงให้คนใดคนหนึ่งตามติดเลยด้วยซ้ำ
แต่ใช้การเพรสซิ่งเข้ามาทดแทน

นักเตะของเชลซีในเกมรับทั้งมิดฟิลด์และกองหลังทุกคน ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีมากๆ อาจจะมีบ้างที่ปล่อยให้ยังกันส์ทำชิ่งทะลุเข้าเขตโทษได้ แต่จังหวะสุดท้ายเทอร์รี่ กับ คาร์วัลโญ่ก็เก็บกินเรียบวุธ

รูปเกมก่อนที่จะเสียประตู อาร์เซน่อลครองบอลบุกได้มากกว่าเยอะเลยทีเดียว
เป็นเชลซีเองที่ต้องวิ่งไล่บอลจากอาร์เซน่อลกันจนลิ้นห้อย แต่เวลาที่สิงห์บลูส์ตัดบอลแล้วรุกขึ้นมาทีไร ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับหลังบ้านของอาร์เซน่อลนั้นเข้าขั้นหายนะเกือบทุกลูกเลยนะครับ

ไม่ว่าจะเป็นลูกที่อเนลก้าโดนบาการี่ ซาญ่าเหนี่ยวจนเสียหลัก, การให้บอลของโคลที่ดร็อกบาโดนปรักปรำว่าล้ำหน้า (ทั้งที่จริงไม่ล้ำนะ), จังหวะใช้อกแตะบอลเปลี่ยนทางของแลมพส์ หรือลูกที่โดนอเนลก้าลากขึ้นมาจากกลางสนามก่อนยิงบดไปเอง
แต่ละลูกล้วนสะท้อนให้เห็นว่าหลังบ้านของอาร์เซน่อลนั้น หลวมและเปิดพื้นที่ให้ฝั่งตรงข้ามมากเหลือเกิน

กลับกัน ทางฝั่งเชลซีถึงจะใช้วิงแบ็คขึ้นบอลแทนปีก แต่สังเกตุดีๆเวลาที่เสียบอล กองกลางไดมอนด์ที่ทำงานด้านกว้างจะคอยลงมาดีเลย์เกมรุกของอาร์เซน่อลแทนแบ็คเป็นด่านแรก ก่อนที่กองหลังตัวในจะเข้ามารองเพื่อรอให้แบ็ควิ่งลงมาประจำการ แล้วคอยซัพพอร์ตอีกทอดนึง
เรียกว่าถ้าจะผ่านไปได้ ก็ต้องมีความสามารถระดับน้องๆเมสซี่เลยล่ะครับ

จุดที่น่าตำหนิสำหรับเชลซีในเกมดาร์บี้เมื่อคืน ดูจะเป็นการต่อบอลในเกมรุกที่บางครั้งเสียง่ายเกินไป โดยเฉพาะในช่วงต้นครึ่งหลัง
ช่วงนั้นเชลซีเหมือนเดินอยู่บนปุยเมฆก็ว่าได้ โจ โคล กับ อเนลก้าในบางครั้งเลยหวงบอลจนเกินไป อีกทั้งตำแหน่งการยืนของมิเกลยังผิดหลักฮวงจุ้ยของกองกลางในหลายๆครั้ง เดือดร้อนถึงเอสเซียงต้องคอยมาเป็นพี่เลี้ยงอยู่บ่อยๆ
หนำซ้ำจังหวะออกบอลของห้องเครื่องไนจีเรียยังช้ากว่าเพื่อนๆไปครึ่งจังหวะอีกต่างหาก


ขณะที่ Judas ของแฟนๆอาร์เซน่อลอย่าง แอชลี่ย์ โคล คนนี้ ไม่พูดถึงคงไม่ได้ซินะครับ
สามีของคุณนายเชอรีลอาจออกลูกเหวอๆให้เห็นในช่วง 10-15 นาทีแรก อยู่หลายลูก แต่ผลงานการแอสซิสต์ที่เป็นรูปธรรมในช่วงปลายครึ่งแรกทั้งสองลูกนั้น นับว่ามีค่ามากพอที่จะช่วยหยุดเสียง บู....... ของกูนเนอรส์ได้เยอะทีเดียว
ชอตคลาสสิคของแอชลี่ย์ โคล คงหนีไม่พ้นตอนที่เข้าไปกอดกับอันเชลอตติหลังจากได้ประตูขึ้นนำลูกนั้น เห็นแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้เลยนะครับ (น่ารักน่าชังเหมือนหลินปิงกอดกับช่วงช่วงเลยทีเดียว)

ส่วนไฮไลท์ประจำเกมลอนดอน ดาร์บี้ คงหนีไม่พ้นการเป็นจอมยิงอาร์เซน่อลของเดอะ ดร็อกอย่างแน่นอน
นอกจากจะถูกโฉลกราวกับเกิดมาเพื่อยิงปืนใหญ่อย่างเดียวแล้ว ทุกๆจังหวะที่ดร็อกบาได้บอลยังสามารถสร้างความสั่นสะเทือนระดับแผ่นดินไหว 9.5 ริกเตอร์ให้เอมิเรสต์ สเตเดี้ยมได้ตลอดเวลาอีกต่างหาก
ไม่ขึ้นโหม่ง ก็ลากเข้าไปเรียกฟาวล์ เรียกว่าทำเอาน้องใหม่อย่างแฟร์มาเล่น หัวหมุนจนไม่อยากแวะมาเล่นกับเชลซีอีกเลย

ยิ่งลูกฟรีคิกปลิดวิญญาณ ที่จัดการปิดประตูคัมแบ็คของอาร์เซน่อลช่วงท้ายเกมลูกนั้น ทำเอาใครหลายคนคิดถึง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ต้นฉบับไม่น้อยเลยนะครับ
แต่ในความเหมือนของฟรีคิกลูกนั้น มีความต่างกันอยู่หลายจุดทีเดียว สำหรับดร็อกบา กับ โรนัลโด้

รอนนี่มักจะเลือกยิงด้วยหลังเท้าแทบทุกลูก แต่กับเดอะ ดร็อกนั้น เขาเลือกใช้ตามแต่กำแพงที่ตั้งจะเอื้ออำนวย
พลแม่นปืนจากโกต ดิวัวร์ มีลูกพลิกแพลงในการยิงฟรีคิกตั้งแต่ปั่นด้วยข้างเท้าด้านในแบบหวังติดไซด์, เต็มข้อด้วยหลังเท้าด้านนอก หรือล่าสุดก็คือแปเข้าไปด้วยความเร็วและแรง
ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องโทษการตั้งกำแพงของอาร์เซน่อลด้วยนะครับ ที่เปิดช่องด้านข้างให้ดร็อกบามากเกินไป

ขณะที่การยืนและการสืบเท้าเข้าไปยิงของทั้งคู่ ก็ต่างกันมากพอสมควร
โรนัลโด้จะยืนกางขา, ถอนหายใจแรงๆหนึ่งปื้ด แล้ววิ่งเข้าไปอัดแบบลืมติ๋ม ส่วนผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับผู้รักษาประตูและกำแพงว่ายืนตำแหน่งและป้องกันได้ดีแค่ไหน
ที่สำคัญคือ โรนัลโด้ต้องหมุนลูกเพื่อหาจุกลมให้เข้าตัวเองก่อนเสมอ!!!

ส่วนดร็อกบาไม่ได้มีเอกลักษณ์ขนาดนั้น แต่เรื่องความแม่นยำและความใกล้เคียงในการได้ประตู
ค่อนข้างเฉือนเอาชนะรอนนี่ไปได้แบบฉิวเฉียด

สุดท้ายคนที่ต้องชมก็คือ คาร์โล อันเชลอตติ ครับ
พี่แจ้ภาคอิตาเลียน เข้ามาเติมไฟและวางรากฐานการเล่นให้กับทีมได้แบบเนียนๆไม่ใช่น้อยเลย การที่เขาค่อยๆเปลี่ยนหมากการเล่น,
ต่อสัญญากับสตาร์หลายๆคนเพื่อให้เห็นว่าทุกคนมีความสำคัญกับทีมเท่ากันหมด หรือแม้แต่การจับกองหน้าเกรดเออย่างดร็อกบา กับอเนลก้ามาเล่นด้วยกัน
ทั้งหมดล้วนมีส่วนสำคัญที่ทำให้เชลซีแล่นฉิวติดลมบนอยู่ในเวลานี้เป็นอย่างมาก

หมาก รับแล้วโต้ ของอันเชลอตติช่วยให้เชลซีเก็บสามคะแนนอันมีค่าได้อีกหนึ่งนัด (โดยเฉพาะเกมกับบิ๊กโฟร์)
อีกทั้งยังรักษาช่องว่างห้าคะแนนที่มีต่อยูไนเต็ดให้ได้ตามกันต่อไปอีกอย่างน้อยๆก็หนึ่งสัปดาห์
สำหรับผมที่เชียร์อันเชลอตติมาตั้งแต่ต้นแล้ว มีเพียงคำถามเดียวที่อยากถามแฟนๆเชลซีในเวลานี้ว่า

เริ่มชอบอันเชลอตติกันบ้างรึยังครับ เหล่าเชลสกี้ส์ที่รัก?


               ขอบคุณบทความที่มีคุณภาพจาก Pantip.com


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์