ขุนศึกตระกูลหยางเวอร์ชั่นลูกหนัง


 มนุษย์เรานั้นเกิดมา ต่างก็มีความฝันที่วาดวิมานกันเอาไว้กันตั้งแต่เด็กๆกันทุกคน พอเติบโตขึ้นมา บางส่วนก็ทำตามฝันเอาไว้ได้ แต่อีกบางกลุ่มก็ไม่สามารถทำได้ แต่คนที่ทำได้ใช่ว่าจะได้พบกับความสุขที่ตนเองนั้นวาดฝันกันเอาไว้ จากการเจอกับความจริงอันโหดร้ายของโลกใบนี้



บางคนก็กัดฟันสู้ทนจนหยดสุดท้ายไว้ได้ แต่บางคนก็ทนไม่ไหว ซึ่งมันก็เหมือนกับอาชีพนักฟุตบอลเหมือนกันนั่นล่ะ ซึ่งมีส่วนน้อยนิดกระจิดริ้ด ที่จะสามารถค้าแข้งได้จวบจนวาระสุดท้าย กับสโมสรอันเป็นที่รักของตนเอง
 

แต่! มันก็มีเหมือนกันนะ ที่ไม่ว่าจะมีสโมสรที่ใหญ่กว่าซักแค่ไหนมาเชิญชวน หรือจะเอาเงินฟาดหัวซักเท่าไหร่ ก็ยืนยันนอนยันว่า จะขออยู่ทู่ซี้กับทีมต่อไป แน่นอนว่า หลายๆคนจะต้องนึกถึงนักเตะกลุ่มนี้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็น พอล สโคลส์, ไรอัน กิ๊กส์ หรือ แกรี่ เนวิลล์ 3 ลูกหม้อของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ขึ้นชื่อลือชาในความภักดี รวมถึง อเล็กซานโดร เดล ปิเอโร่ และ ฟรานเชสโก ต๊อตติ 2 สตาร์ค้างฟ้าเลือดอิตาเลียน ที่ไม่มีวันหักหลังทีมรักของตนอย่างแน่นอน
 

แต่วันนี้ผมขอพูดถึง ตระกูลของนักเตะรายหนึ่ง ซึ่งนักเตะระดับรุ่นปู่ยันหลาน ต่างก็มีความจงรักภักดีต่อทีมที่ขึ้นหิ้งไว้ในใจจนหยดสุดท้าย เหมือนกับหนังจีนเรื่อง ขุนศึกตระกูลหยาง ยังไงยังงั้น ซึ่งนั่นก็คือ ตระกูล มัลดินี่ แห่งสโมสร เอซี มิลาน ยอดทีมแห่งแดนพาสต้านั่นเอง
 

รุ่นแรกในตระกูลนี้ ที่ทำหน้าที่ในสีเสื้อของ “รอสโซเนรี่” ก็คือ เชซาเร่ มัลดินี่ อดีตกุนซือทีมชาติอิตาลี และ เอซี มิลาน ซึ่งทำหน้าที่บุกเบิกการเป็นปราการหลังคอยสกัดกั้นการบุกของข้าศึกให้แก่ ขุนพล “ปีศาจแดง-ดำ” ตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 50 ถึง ปลาย 60
 

ถึงแม้ว่าจะเริ่มต้นค้าแข้งให้แก่ทีม ตริเอสติน่า ในปี 1952 แต่ก็ย้ายมาภักดีต่อยอดทีมแห่งเมืองมิลานในปีถัดมา  ซึ่งใช้รับใช้อยู่ถึง 11 ซีซั่น ก่อนย้ายปิดฉากชีวิตค้าแข้งกับ โตริโน่ ในซีซั่น 1966-1967 โดยในระหว่างที่วาดลวดลายในรั้ว ซาน ซิโร สามารถคว้าแชมป์สคูเด็ตโต้ได้ถึง 4 สมัย และยังครองปลอกแขนกัปตันทีมในการคว้าถ้วยยูโรเปี้ยน คัพ ในปี 1963 อีกต่างหาก
 

ส่วนรุ่นต่อมา คอบอลเซเรีย อา คงรู้จักมักจี่ เปาโล มัลดินี่ ปราการหลังกัปตันทีมระดับตำนานของทั้งทัพ “อัซซูรี่” และ มิลาน เป็นอย่างแน่แท้ คำว่าลูกไม้หล่นไม่ไกล ยังไม่เพียงพอกับคนๆนี้เลย เขาสามารถทำได้เหนือกว่ารุ่นพ่อของตนเองด้วยซ้ำไป โดยเป็นขวัญใจสาวก มิลานิสต้า อยู่ถึง 24 ฤดูกาลเลยทีเดียว ซึ่งวันประเดิมวันแรกของ “อิล กาปิตาโน่” ก็คือวันที่ 20 มกราคม ปี 1984 (ผมเองยังไม่เกิดเลย ฮา) ในการเจอกับ อูดิเนเซ่ ซึ่งตอนนั้นมีอายุได้เพียง 16 ปี เท่านั้น
 

เปาโล ต้องรอถึง 1 ซีซั่นเต็มๆ กว่าจะได้ลงสนามอย่างต่อเนื่อง และนั่นเป็นจุดกำเนิดตำนานรุ่นที่ 2 ตลอด 24 ฤดูกาลที่ผ่านร้อนผ่านฝนกับทีมรักของตน เขาไม่เคยลงสนามต่ำกว่า 19 เกมต่อซีซั่นเลยทีเดียว ก่อนที่จะรูดม่านชีวิตนักฟุตบอลอย่างยิ่งใหญ่ ในวัย 40 ปี เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ปี2008 โดยทางเอซี มิลาน ก็ได้จัดการยกเลิกเสื้อเบอร์ 3 ไว้เป็นสิริอนุสรณ์ เฉกเช่นเดียวกับ เบอร์ 6 ของฟรังโก้ บาเรซี่ สวีปเปอร์ระดับเทพเจ้าอีกองค์ของวงการลูกหนังแดนพาสต้า
 

อดีตเซนเตอร์ฮาล์ฟซึ่งปัจจุบันอายุ 42 ปี นั้นได้รับเกียรติยศมามากมาย ไม่ว่าแชมป์เซเรียอา 7 สมัย แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ และแชมเปี้ยนส์ ลีก รวมกัน 5 สมัย ยังไม่รวมถึงรางวัลส่วนตัวที่ได้มาอย่างนับไม่ถ้วน
 

ส่วนสถิตินั้นไม่ต้องพูดถึงกันเลย เปาโล นั้นถูกจารึกเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์สโมสร ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นที่ลงสนามให้แก่ทีมมากที่สุด(902 นัด), ผู้เล่นที่ลงสนามมากที่สุดในเซเรีย อา (647 เกม), ผู้เล่นที่ลงสนามมากที่สุดในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ( 168 แมตช์) รวมทั้งครองสถิติผู้เล่นที่ติดทีมชาติอิตาลีมากที่สุดเป็นอันดับ 2 (126 นัด) รองจาก ฟาบิโอ คันนาวาโร่ ซึ่งติดธงไป 136 เกม
 

ตอนนี้สาวก “รอสโซเนรี่” ก็ยังต้องรอคอย มัลดินี่ เดอะ เทิร์ด กันต่อไป แต่เชื่อเถอะอีกไม่นานเกินรอจะได้ยลโฉมกันอย่างแน่นอน กับการที่ คริสเตียน มัลดินี่ ลูกชายคนโตของ “อิล กาปิตาโน่” นั้นกำลังเจริญรอยตามธรรมเนียมของตระกูล หลังจากที่กำลังขัดเกลาฝีเท้าในตำแหน่ง กองหลัง เหมือนคุณปู่และคุณพ่อเด๊ะๆ ในชุดเยาวชนรุ่นยู-14 ในสีเสื้อแดง-ดำ นี่แล่ะ!!! ต้องรอดูกันอีกยาวๆ ว่าจะทำได้ดีเท่ากับมรดกที่ทั้งคุณปู่ และคุณพ่อทำเอาไว้หรือไม่ สำหรับว่าที่เบอร์ 3 คนต่อไป แห่งกองทัพปีศาจแดง-ดำ
 

หวังว่าสุภาษิต ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น จะยังไม่เลือนหายไปจากตระกูลนี้
 
                                                                                         Nine-Fac

 

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์