Review Premier league: ทำเป็นเล่นนิวระวังตกชั้น!! / หงส์เหงื่อตกเยือนเชลซี

Review Premier league: ทำเป็นเล่นนิวระวังตกชั้น!! / หงส์เหงื่อตกเยือนเชลซี

Review Premier league: ทำเป็นเล่นนิวระวังตกชั้น!! / หงส์เหงื่อตกเยือนเชลซี


รักเมียให้ผูกรักลูกให้ตี เอ้ยไม่ใช่...ติดนิสัยคอลัมน์ของคนอื่นขึ้นต้นคติสอนใจมาได้ไงเนี่ย ฮา ผมขอเริ่มลุยเกมที่แฟร็ตตัน พาร์คกันก่อนเลยนะครับเพราะเป็นเกมสุดยอดเอนเตอร์เทนที่มีแต่บุก บุก บุกแล้วก็บุก มีโอกาสยิงรวมกัน 44 ครั้งและเซฟอุตสาห์นับ 10 ครั้ง!!

การที่ลูกทีมอาฟรัม แกรนต์ไม่แพ้ครั้งแรกในรอบ 8 นัดถือว่าโชคดีอย่างที่สุดเพราะปอร์ทสมัธของแฮร์รี่ เร้ดแนปป์เล่นดุและมีโอกาสจะแจ้งแรงปลาย

ปอมปีย์เล่นแบบบอลได้ใจไม่มีกลัวแต่ประตูแรกที่เสียต้องบอกว่าตอนแรกยังอยู่หน้าประตูเชลซีอยู่ด้วยซ้ำครับแต่ต้องยกนิ้วการขึ้นเกมเพียงแค่ 3 จังหวะก็เป็นประตูทันทีแบะต้องใช้เซนส์บอลของผู้เล่นนะครับถึงจะทำประตูได้ ถ้าให้พวกที่มีแต่แรงวิ่งดะอย่างเดียวบอกได้คำเดียวว่าไม่มีทาง!!

จังหวะที่ว่าเป็นลูกเปิดจากด้านข้างยาวของมาลูด้าก่อนที่โจ โคลจะเบิ้ลบอลจังหวะเดียวโดยไม่ต้องจบที่เสาสองจนนิโกลาส์ อเนลก้าวอลเลย์ตามน้ำพรวดเดียวตุงตาข่ายเข้าไปเลย

นี่แหละครับเล่นแบบจิตนาการโดยไม่ต้องวางแผนซับซ้อนไม่ต้องพูดว่าเราครองบอลมากกว่าเรามีโอกาสมากกว่าให้เสียเวลา

เดโฟทำผลงานdream debutที่นักเตะใหม่ต้องการเสมอเมื่อต้องย้ายทีมด้วยการยิงประตูแรกหลังย้ายมาจากสเปอร์ส 9 ล้านปอนด์ และถ้าซาไกกับบารอสจบสกอร์เน้นๆกว่านี้หน่อยปอร์ทสมัธน่ามีเฮด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตามผมยังมองว่าเร้ดแนปป์อาจต้องติวสองคู่หน้าให้เฮี้ยบๆหากต้องการประสิทธิภาพมากกว่านี้เนื่องจากอย่าลืมว่าทั้งบารอสและเดโฟเป็นนักเตะประเภทสปีชี่พ่อเลี้ยง ถ้าวันไหนรูปเกมเปิดแลกมีพื้นที่เยอะสองคนนี้น่ากลัวสุดๆแต่ถ้าเจอทีมรับเหนียวๆบีบพื้นที่วันนั้นปอมปีย์อาจเป็นแมวเชื่องๆได้เลยนะครับ ลองถ้าไม่จวนตัวไม่มีส่งให้ใครแน่

แต่ตัวปิดทองหลังพระที่แท้จริงเป็นแมนออฟเดอะแมทช์อย่างลาสซาน่า ดิยาร์ร่ามิดฟิลด์จอมอาภัพที่ตอนนี้ไม่อาภัพแล้ว คือโดดเด่นทั้งรุกและรับสมกับที่เจ้าตัวเคยงอแงขอโอกาสจากเชลซีและอาร์เซนอล

เหลือเชื่อนะครับเพราะพลิกดูสถิติปรากฏว่า 12 นัดในบ้านของปอมปีย์เพิ่งชนะแค่ 3 และเสมอถึง 7 แต่ดูแนวโน้มนับจากนี้แล้วผมว่าปอมปีย์จะค่อยๆแย่นอกบ้านและกลับมาแจ่มนอกบ้านตามสไตล์เร้ดแนปป์อีกครั้ง

สำหรับเชลซีของแกรนต์เสมอนัดนี้ก็มาตั้งหลักสู้กันใหม่โดยงานช้างคือสามนัดต่อไปนี่แหละครับที่ต้องเล่นกับลิเวอร์พูลในสแตมฟอร์ด บริดจ์ก่อนออกไปเยือนทำศึกลอนดอนดาร์บี้แมทช์ทั้งสองนัดกับสเปอร์สและเวสต์แฮมตามลำดับ

ถ้าจำไม่ผิดฤดูกาลที่แล้วลิเวอร์พูลไม่น่าแพ้เชลซี 1-0 ด้วยซ้ำหากเดิร์ก เคาท์สมัยที่ยังไม่ถูกผีสิงไม่กดเต็มเท้าไปอันคานเหน่งๆซะก่อนแต่นานจนจำไม่ได้เช่นกันว่าครั้งสุดท้ายที่หงส์แดงบุกมาฉกสามแต้มจากที่สนามแห่งนี้คือตอนไหน

อารมณ์คล้ายบอลแพ้ทางกันนะครับคือขนาดตอนฮ็อตๆยังบุกมาแพ้ง่ายๆแต่ช่วงนี้ยังเล่นกันสเปะสปะเดอะค็อปคงไม่ขออะไรมากนอกจากผลเสมอที่ให้ความรู้สึกเหมือนชนะแม้ว่าเชลซีจะไร้ตัวหลักไปเยอะก็ตาม

แต่ใช่ว่าโอกาสชนะไม่มีเลยแต่มันน้อยครับ ถ้าจะยิงประตูเชลซีสงสัยลิเวอร์พูลต้องพลิกแพลงหลายชั้นหน่อย แบบว่าโยนให้เคราช์โหม่งเช็ดให้ตอร์เรสเข้าไปยิงอาจพอลุ้นได้กับทีมอย่างซันเดอร์แลนด์นะครับผม พอแค่นี้ก่อนดีกว่าช่วงนี้ผมพูดความจริงกับทีมอย่างลิเวอร์พูลมากเกินไปเลยถูกตามด่าหนักเป็นพิเศษแต่เฉยๆนะครับ ใครอยากด่าผมเรียนเชิญเรียงคิวกันเข้ามาเลยครับ ฮา

บางคนยังขุดมุขเดิมไม่เลิกบอกผมด่าหงส์แดงเพราะอยากแสดงความเป็นกลางให้คนอื่นๆมองผมดูเหมือนเป็นนักข่าวชั้นดีแต่ขอโทษเถอะครับผมไม่เคยกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้นถ้าเล่นดีก็บอกว่าดีเล่นห่วยก็บอกว่าห่วย ทีมที่เล่นห่วยจะให้ผมมาสาธยายว่าสุดยอดอย่างนั้นอย่างนี้ผมทำไม่ได้หรอกครับให้คุณอมขี้มาพ่นใส่หน้าผมยังจะดีกว่าซะอีก ฮา ใครอยากอยู่ในโลกส่วนตัวของลิเวอร์พูลในแบบฉบับตัวเองก็อยู่กันไปเถอะครับ ได้โปรดอย่ามาเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย อ่อ...ที่สำคัญพวกที่พยายามเปล่งแสงซูเปอร์พาวเวอร์บอกเป็นเดอะค็อปมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปีนั้นปีนี้ ยุคนั้นยุคนี้ก็เลิกเถอะครับ ผมไม่ใส่ใจ ฮา

แต่จะบอกว่านี่เป็นสัปดาห์ของหงส์แดงก็ไม่ผิดนักเพราะเอฟเวอร์ตันที่รั้งอันดับสี่และทีมที่ตามมาอย่างแอสตัน วิลล่า,แมนฯซิตี้,แบล็คเบิร์นและเวสต์แฮมไม่มีใครชนะเลย

ที่น่ากังขาที่สุดคงไม่พ้นเกมที่อีวู้ด พาร์คซึ่งเอฟเวอร์ตันน่าจะชนะอย่างสบายๆด้วยซ้ำ โอกาสยิงเยอะมากโดยเฉพาะลูกถูกปล้นของแอนดี้ จอห์นสันในช่วงท้าย

กลายมาเป็นประเด็นอีกครั้งถึงการตีความผู้เล่นซึ่งกลับมาเล่นบอลจากตำแหน่งล้ำหน้าที่แตกต่างกันไปของผู้ตัดสิน

จังหวะที่ว่าเริ่มตั้งแต่ฟรีเดลล์วิ่งออกมาเล่นบอลนอกเส้นเขตโทษแต่เสียท่าให้เจมส์ วอห์นซึ่งสบโอกาสไหลให้เอเจแปโล่งๆตุงตาข่ายแต่ผู้ตัดสินอลัน ไวลี่ย์ให้เป็นออฟไซด์ทั้งๆที่ออนไซด์เนื่องจากมีกองหลังเจ้าถิ่นอยู่สองคน

ตามกฏแล้วหากผู้รักษาประตูออกมาเล่นบอลการจะดูล้ำไม่ล้ำผู้เล่นฝ่ายรุกต้องอยู่ต่ำกว่าสองกองหลังของฝ่ายรับ(กองหลังเพิ่มมาอีกตัวแทนผู้รักษาประตูที่ออกมา) แต่ในกรณีของจอห์นสันในไลน์ออนไซด์มีทั้งฟรีเดลล์,สองกองหลังรวมเป็นสามสรุปคือยังไงก็ไม่ล้ำ

ตรงนี้แหละครับที่ทำให้นักเตะท๊อฟฟี่โดยเฉพาะเดวิด มอยส์หัวเสียสุดๆ นี่วีรกรรมของอลัน ไวลีย์ไม่หมดแค่นี้นะครับแกไม่ยอมให้จุดโทษเอฟเวอร์ตันหลังถูกคิซานิววิลี่กองหลังชื่อพิมพ์ยากของแบล็คเบิร์นสอยร่วงในเขตโทษรวมทั้งไม่ยอมขูสองเหลืองไล่เดวิด ดันน์ที่เจตนาทำแฮนด์บอลน่าเกลียด

แต่เอฟเวอร์ฦตันมีโอกาสแก้ตัวเพราะจะได้เล่นในบ้านพบเรดดิ้งแพ้รวดมา 6 นัดร่วงไปอยู่อันดับ 17 และหากชนะจะหนีลิเวอร์พูลไปอีกช่วงตัวเหมือนเดิม

สำหรับที่ยังกู่ไม่กลับคือนิวคาสเซิ่ลที่ตอนนี้ทูนอาร์มี่ปากแห้งรอคอยชัยชนะมา 8 นัดรวดและคงไม่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้แน่หลังดูแววจากศึกดาร์บี้แมทช์อีสานกับมิดเดิลสโบรห์แล้วละเหี่ยใจแทนจริงๆครับ

ดูแล้วน่าอึดอัดแทน การต่อบอลทำชิ่งไม่มี ความเข้าใจเกมเป็นศูนย์และที่สำคัญโยนยาวบอมบ์ให้กองหน้าตัวเล็กๆอย่างไมเคิ่ล โอเว่น แค่คิดก็ผิดแล้ว

เกมริมเส้นขึ้นไม่ได้ การสร้างสรรค์เกมและจินตนาการจากผู้เล่นในแดนกลางแทบไม่มี เอ็มเรเก็บบอลพักบอลได้แต่เพื่อนยืนห่างมากเรียกว่าหนีกันหมดเหมือนไม่กล้าเล่น กดดันจนเกี่ยงกันเล่น ขนาดเดมี่ยน ดัฟฟ์ที่ว่าพลิ้วๆพอโดนรุมสองเพื่อนแถวๆนั้นยังไม่มีเลย

สุดท้ายต้องเพิ่งฟรีคิกก่อนไมเคิ่ล โอเว่นจะชิงโหม่งที่เสาแรกก่อนใครแต่ก่อนหมดเวลา 3 นาทีความผิดพลาดของแนวรับปล่อยให้โรเบิร์ต ฮูธที่รูปร่างสูงใหญ่เทคโหม่งฟรีคิกของดาวนิ่งมีตัวประกบอยู่ด้านหน้าแค่คนเดียวก็จบเห่ทันที

โบโร่เองก็ใช่ว่าจะเล่นดีนะครับจ่ายบอลไม่เกินสามทีก็เสีย โยนยาวไม่แพ้สาลิกาแต่หนึ่งแต้มในรูปเกมลักษณะนี้ผมว่าเหมือนชัยชนะด้วยซ้ำและทำให้ลูกทีมของแกเรธ เซาธเกทไม่แพ้ใคร 4 นัดแต่ก็เพิ่งชนะนัดเดียว

ทูนอาร์มี่คงต้องอดทนให้เยอะกว่าปกติครับ เลิกตั้งความหวัง(อะไรก็ได้)ไว้ชั่วคราวเพราะคิงเคฟไม่ใช่เทวดาที่ไหน การต้องใช้ผู้เล่นทั้งหมดของบิ๊กแซมให้เล่นตามสไตล์ของแกเองไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

แต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่นิวคาสเซิ่ลต้องมีสามแต้มให้เห็นโดยเร็วครับเนื่องจากโปรแกรมระยะยาวยังมีบิ๊กทรีรวมไปถึงพวกเขี้ยวๆอย่างเอฟเวอร์ตัน,สเปอร์ส,เวสต์แฮมเรื่อยไปจนถึงปอร์ทสมัธรออยู่

เริ่มด้วยเสาร์ที่ 9 นี้ต้องออกไปเยือนแอสตัน วิลล่าและเฝ้าบ้านพบแมนฯยูฯ ถ้ายังเล่นสเปะสปะเรื่อยไปแบบนี้เผลอๆอาจได้ร่วมวงไพบูลย์หนีตกชั้นได้เลยด้วยซ้ำ ที่พูดนี่ไม่ได้ไกลเกินเอื้อมเลยนะครับเพราะเบอร์มิงแฮมทีมอันดับ 18 ตามหลังนิวคาสเซิ่ลแค่ 7 แต้มเท่านั้นเอง

นี่โชคดีที่เบอร์มิงแฮมของอเล็กซ์ แม็คลิชทำพลาดมหันต์หลังเสมอดาร์บี้ในบ้านตัวเอง เรียกว่าเซ็งกันทั้งบางเพราะนี่คือความหวังครั้งใหญ่ของเหล่าลูกโลกที่จะถีบตัวเองหนี red zone

ดาร์บี้นี่ก็แสบนะครับตกชั้นเห็นๆแต่สองนัดหลังอุตสาห์ไปหลอกหลอนแมนเชสเตอร์ ซิตี้และล่าสุดเหยื่อเป็นเบอร์มิงแฮมแต่ตัวเองเพิ่มมีแค่ 9 แต้มกระจุ๋มกระจิ๋มน่ารักน่าเอ็นดูจริงๆ

สำหรับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจะทำศึกดาร์บี้แมทช์กับเรือใบที่ช่วงหลังเป๋จนกู่ไม่กลับชนะแค่นัดเดียวจาก 8 นัดหลังและผลงานนอกบ้านยังดูไม่จืดเพิ่งชนะแค่ 2 ซึ่งน่าเสียวไส้แทนที่มาเจอปิศาจแดงที่กำลังกระหายชันชนะเพื่อแก้ตัวและยังเป็นเกมรำลึกเหตุการณ์เครื่องบินตกที่เมืองมิวนิคเมื่อปี 1958

เกมที่โอลด์แทรฟฟอร์ดจะใช้เสื้อย้อนยุคมีแค่หมายเลข 1-16 ไม่มีชื่อด้านหลังเพื่อให้เกียรติแก่ทีมชุดนั้นที่แม้จะสูญเสียแต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความยิ่งใหญ่ของยุคเซอร์ แมต บัสบี้

แฟนเรือใบคงต้องลุ้นกันเหนื่อยหน่อยนะครับ แดนกลางแก่ๆอย่างฮามันน์อาจยืนระยะได้ไม่นานส่วนแบ็คอย่างไมเคิ่ล บอลล์ซึ่งเกมพ่ายอาร์เซนอลกลายเป็นบ่ออาจต้องให้ปีกมาช่วยประครองอีกตัว แม้จะเป็นดาร์บี้แมทช์แต่ดูไม่ออกเหมือนกันว่าบอลติ๋มๆสุภาพบุรุษของสเวน โกรัน เอริคส์สันจะเอาตัวรอดอีท่าไหน

ปิดท้ายที่ฟูแล่มชนะชนะครั้งแรกในรอบ 13 นัดและเป็นชัยชนะดับเบิ้ลโบนัสเนื่องจากเป็นการแซงเฮที่สร้างกำลังใจมากกว่าชัยชนะท่วมท้นขาดลอยเป็นไหนๆและเพอร์เฟคเข้าไปอีกเมื่อคนยิงประตูชัยเป็นจิมมี่ บุลลาร์ดมิดฟิลด์จอมอึดซึ่งเพิ่งกลับมาหลังพักรักษาตัวจากการผ่าตัดหัวเข่ายาวเหยียด 16 เดือน!!

และทำให้แอสตัน วิลล่าของมาร์ติน โอนีลแพ้นอกบ้านเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เสียท่าให้แมนฯซิตี้เมื่อกลางเดือนกันยายนปีก่อนนู่นเลยครับ เค้าถึงบอกครับว่าทีมระดับรองๆลงมาแม้ฟอร์มดีชนะมาต่อเนื่องแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องมีพลาดแล้วก็ดับไปดื้อๆ ถ้าเล่นดีชนะทุกๆสัปดาห์ป่านนี้ก็ทะลึ่งลุ้นแชมป์กับแมนฯยูฯและอาร์เซนอลไปแล้วสิใช่ม๊ะ?


โปรแกรมนัดต่อไป

วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2551

แอสตัน วิลล่า - นิวคาสเซิ่ล(19.45น.)

โบลตัน - ปอร์ทสมัธ(22.00น.)

ดาร์บี้ - สเปอร์ส(22.00น.)

เอฟเวอร์ตัน - เรดดิ้ง(22.00น.)

มิดเดิลสโบรห์ - ฟูแล่ม(22.00น.)

ซันเดอร์แลนด์ - วีแกน(22.00น.)

เวสต์แฮม - เบอร์มิงแฮม(22.00น.)

วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2551

แมนฯยูฯ - แมนฯซิตี้(20.30น.)
เชลซี - ลิเวอร์พูล(23.00น.)

วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2551

อาร์เซนอล - แบล็คเบิร์น (03.00น.)


ขอขอบคุณเนื้อข่าวคุณภาพดีจากซ๊อคเกอร์

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์