Football Come Home(อังกฤษครองโลกา)

1960s : Football Come Home ( อังกฤษครองโลกา )





     
ย้อนไปดูโลกยุค Sixties เกิดเหตุการณ์ประวัติศาสตร์มากมาย อาทิการลอบสังหารประธานาธิบดี John F. Kennedy ,การฝากรอยเท้าแรกของมวลมนุษยชาติบนผิวดวงจันทร์ อีกทั้งเป็นการกำเนิดศิลปินที่ Billboard ยกให้เป็นศิลปินที่อมตะที่สุด พวกเขาทั้งสี่มาจากลิเวอร์พูล โดยรวมตัวกันภายใต้นามว่า สี่แมลงเต่าทอง “ The Beatles “ ที่โด่งดังสุดๆจนเรียกยุคนี้กันว่า “ การบุกรุกของอังกฤษ “ ( British Invasion ) ไม่เว้นแม้กระทั่ง…โลกฟุตบอล






     ยุคนี้ได้จุติ “ บอลยูโร “ ขึ้นครั้งแรก ในปี 1960 โดยแชมป์แรกเป็นของโซเวียตที่มีฮีโร่เป็นผู้รักษาประตู “ Lev Yahin “ ทำให้เขากลายเป็นผู้รักษาประตูที่เก่งที่สุดตลอดกาล ซึ่งหลายปีต่อมารางวัลผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมในบอลโลก ได้ใช้ชื่อว่า “ Yashin Award “ ส่วนทีมถัดมาที่ได้แชมป์ยูโรในปี 1964 คือสเปนที่ได้รับอิทธิพลจาก รีลมาดริดยุค “ Ye-Ye “ ส่วนแกนนำของทีมคือ Luis Suarez บัลลงดอร์ชาวสเปน จาก “ Grande Inter “ และสุดท้ายยูโรปี 1968 ตกเป็นของอิตาลี จากฝีเท้าของดาวซัลโวตลอดกาลของอิตาลี “ Luigi Riva “

     ยุคนี้ รีล มาดริด ก็ถูกหยุดเส้นทางสู่แชมป์ยุโรปหกสมัยติด ด้วยน้ำมือของอริ บาร์เซโลน่า แต่ถึงอย่างไรบาร์ซ่าก็เด้งแชมป์ให้กับ เบนฟิก้า แห่งเมืองฝอยทอง ซึ่งเบนฟิก้าก็คว้าแชมป์นี้ไปสองสมัยติด ที่เหลือก็เป็นของ เฟเยนูร์ด เซลติก คนละสมัย สมัยแรก เป็นของ เอซี มิลาน อีกสองสมัยแรก ไม่เว้น รีล มาดริด ที่เพิ่มเป็นสมัยที่หกจนได้ ในยุคหลุดโลกที่สุด คือ รีลมาดริดฮิปปี้ หรือ “ Ye-ye “ ที่ได้ที่มามาจากเนื้อร้องว่า “ Yeah Yeah Yeah “ ในเพลง She Loves You ของวง “ The Bealtles “ ผู้สร้างกระแสทั่วโลกทั่วสาขา โดยรีล มาดริดยุคนี้ไม่เต็มบาท ถึงขั้นกระทั่งตั้งกลุ่มสี่คนใส่วิกผมของสี่แมลงเต่าทอง แล้วถ่ายรูปลงในนิตยสารชื่อดังอย่าง “ มาร์ก้า “

     อีกทีมที่คว้าแชมป์ยุโรปอย่างยิ่งใหญ่คือ อินเตอร์ มิลาน ยุค Grande Inter ที่คว้าไปสองสมัยติดภายใต้ระบบเกมรับที่โด่งดังที่สุด “ คาเตนัคโช่ ” ( Catenaccio แปลว่า กลอนประตู ) หรือกลยุทธ์ ตีหัวเข้าบ้านแล้วใส่กลอนประตู นำแล้วรับอย่างแข็งแกร่ง โดยประธานสโมสรตอนนั้นคือ Angelo Moratti บิดาของ Massimo Moratti ประธานสโมสรคนปัจจุบัน ซึ่งว่ากันว่าอินเตอร์ มิลาน ทริปเปิ้ลแชมป์ปีล่าสุดมีปรัชญาการทำทีมคล้าย Grande Inter สื่อจึงกล่าวถึงแชมป์ในปีก่อนว่า “ Father & Son, Grande Inter Again! “

     และสุดท้ายทีมที่ได้แชมป์นี้อย่างน่าภูมิใจที่สุดคือ ปีศาจแดง “ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด “ ในปี 1968 เป็นเวลา 10 ปีพอดีจากโศกนาฏกรรมเครื่องบินตกที่มิวนิค โดยจิตวิญญาณของทีมชุดนี้ คือ ผู้รอดชีวิตจากเหตุในวันนั้น เช่น ผู้จัดการทีม อดีตนักเตะหงส์แดง “ Sir Matt Busby “ และนักเตะที่เก่งที่สุดของผีแดงและอังกฤษ “ Sir Bobby Charlton “ กอปรนักเตะที่ดึงมาเพิ่มอีกสองคน คือ เทพบุตรมหาภัย “ George Best “ และด้วยเหตุที่น่าตาทรงผมละม้ายวง The Beatles เข้าจึงมีอีกสองฉายาว่า “ El Beatle “ หรือ “ The Fifth Beatle “






     ส่วนคนที่สองคือ ราชาสตั๊ดเหินหาว “ Denis Law “ ที่โชคร้ายบาดเจ็บไม่ได้ลงแข่งในแชมป์ยุโรปสมัยนี้ โดยช่วงบั้นปลายย้ายไปแมนเชสเตอร์ ซิติ้ แล้วกลับมายิง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยเมื่อทราบว่าประตูดังกล่าวต้องทำให้ปีศาจแดง “ ตกชั้น “ เขาถึงกับช็อกไม่มีอารมณ์แข่งขันอีกต่อไป แล้วเดินก้มหน้าออกจากสนามโดยไม่เชื่อสายตาตัวเอง กลายเป็นผู้ที่แฟนปีศาจแดงรัก แม้นจะทำให้ทีมตนตกชั้นก็ตาม

     ฮีโร่ทั้งสามที่กล่าวมา พวกเขายังได้บัลลงดอร์คนละสมัยในทศวรรษนี้ กลายเป็นที่มาของรูปปั้นหน้าหน้า โรงละครแห่งความฝัน “ Old Tradford “ ที่มีนามว่า “ The United Trinity “

     ตัดมาที่บอลโลกปี 1962 ที่ชิลี โดยแชมป์โลกตกแก่บราซิลและเปเล่ เป็นสองสมัยติด ซึ่งก่อนการแข่งขันสองปีได้เกิดเหตุการณ์แผ่นไหวที่รุนแรงที่สุดเท่าที่โลกมีมา ทำให้ประเทศอิตาลีตั้งคำถามในความพร้อมของชิลี สร้างความไม่พอใจอย่างมหาศาลแก่ชาวชิลีที่บอบช้ำมามากพอแล้ว จนก่อเกิด…ความอาฆาต

     เหตุนี้เองนักข่าวอิตาลีจึงต้องรีบบินหนีกลับประเทศเพราะไม่มั่นใจในความปลอดภัย และก็เป็นอย่างที่กลัวจริงๆเพราะนักข่าวชาวอาร์เจนติน่าถูกฝูงบาทาร่ายรำ เพราะถูกหลงเข้าใจผิดว่าเป็นชาวเลี่ยน ทั้งหมดนี้จึงปูทางสู่เหตุการณ์ที่โด่งดังที่สุดของบอลโลกครั้งนี้ไม่แพ้กำเนิดฮีโร่คนใหม่ของบราซิลท่ามกลางสถานการณ์ที่ขาดเปเล่เพราะอาการบาดเจ็บ อย่าง เจ้านกน้อย “ Garrincha “ เหตุการณ์ที่ว่านั้นคือ “ Battle Of Santiago “

     เหตุการณ์ด่างพร้อยที่สุดของประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก เหตุเกิดวันที่ 3 ของการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่มในกลุ่มบี ณ สนาม Santiago เมื่อเกมเริ่มขึ้นได้ 12 วินาที เท่านั้น ก็มีการฟาวล์ จนผ่านมาถึงนาทีที่ 12 อิตาลีโดนไล่ออก จากการเข้าทำฟาวล์ที่ไม่น่าจะถึงขั้นนั้น ทำให้เจ้าตัวประท้วงไม่ออกจากสนาม ต้องให้ตำรวจมาอุ้มออกไป โดยผ่านไปจากนั้นไม่กี่นาทีนักเตะชิลีเข้าไปต่อยนักเตะอิตาลีแต่ไม่โดนแม้แต่กระทั่งการตักเตือน

     เมื่อก่อนหมดเวลาครึ่งแรกนักเตะชิลีก็เข้าไปตั้นหน้านักเตะอิตาลีอีกครั้งและผลก็ออกมาเช่นเดิม นักเตะอิตาลีที่ถูกชกจึงยั้ว เตะใส่หัวนักเตะชิลีคนที่มาต่อยตน ถูกไล่ออกเป็นคนที่สอง และยิ่งหนักขึ้นไปใหญ่ คราวนี้นักเตะชิลีถึงขั้นฮุกซ้ายใส่นักเตะอิตาลีจนจมูกหักแต่ผลก็เหมือนเดิมอีกครั้ง หลังจากนั้นเหตุการณ์ก็บานปลายเกิดการปะทะกันรุนแรง จนเจ้าหน้าที่ต้องเข้ามาหยุดถึงสามครั้ง ผลสุดท้ายก็อำนวยให้ชิลีเจ้าภาพชนะอิตาลีไป 2-0 และเมื่อเทปการแข่งขันส่งไปถีงประเทศอังกฤษ พิธีกรได้กล่าวคำปรารภว่า “ ท่านผู้ชมที่เคารพ ต่อจากนี้ ท่านจะได้รับชมเกมที่งี่เง้าที่สุด น่าทึ่งที่สุด น่าเกียจที่สุด และเสื่อมที่สุด ของวงการฟุตบอล “

     จบจากบอลโลกอื้อฉาวมาสู่ฟุตบอลโลกปี 1966 ที่เกาะอังกฤษต้นกำเนิดฟุตบอลอย่างเป็นทางการ ซึ่งเปรียบได้กับเป็นบ้านของกีฬาฟุตบอล หรือเรียกกันสั้นว่าๆ “ Football Come Home “






     ก่อนการแข่งขันทวีปแอฟริกาทำการบอยคอร์ดบอลโลกครั้งนี้ เพราะไม่เห็นด้วยที่แชมป์ทวีปตนต้องไปเตะเพลย์ออฟกับทวีปเอเชียและ Ocenia ถึงจะเข้าสู่บอลโลกรอบสุดท้ายได้ ปัญหายังไม่จบแค่นั้นเพราะถ้วยบอลโลก Jules Rimet ดันหายซ่ะงั้น ชาวอังกฤษพลิกแผ่นดินหาก็ไม่ค้นพบ แต่สิ่งมีชีวิตที่ค้นพบถ้วยนี้กลับไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นเพื่อนซี้ของมนุษย์ที่มีสี่ขา ที่เราๆเรียกว่า “ สุนัข “ ที่มีชื่อว่า “ Pickles “

     เวทีนี้นี่เองเป็นการเฉิดฉายของทีมที่มาเตะบอลโลกครั้งแรกอย่าง “ เกาหลีเหนือ “ เริ่มที่รอบแบ่งกลุ่มเกาหลีเหนือชนะอิตาลี 1–0 เขี่ยอิตาลีตกรอบ ตบหน้าชาวโลก แล้วเข้ารอบต่อไปทะลุมาเจอกับโปรตุเกสในรอบก่อนรองชนะเลิศ โดยเกมนี้เริ่มมา 25 นาที โสมแดงนำโปรตุเกส 3-0 แต่หลังจากนั้น นักเตะเบอร์หนึ่งของโปรตุเกส ไอ้เสือดำแห่งโมซัมบิก “ Eusebio “ ซัดไปคนเดียว 4 ประตู บวกกับเพื่อนรวมทีมอีกหนึ่งประตู โปรตุเกสกับมาพลิกชนะเป็น 5-3 กลายเป็นการกลับมาครั้งประวัติศาสตร์ของฟุตบอลโลก และหลังจากวันนั้นเกาหลีเหนือก็ไม่โผล่มาอีกเลยในบอลโลก จนกระทั่งปีที่แล้วนั้นเอง

     จากการตกรอบแรกของแชมป์เก่าบราซิลเพราะขาดเปเล่โดยที่เข้าบอลแสนทุเรศจนบาดเจ็บ ทำให้ไคลแมกซ์หนีไม่พ้นเจ้าภาพ ที่เริ่มต้นรอบแบ่งกลุ่มมาวินเข้าอันดับหนึ่ง โดยไม่เสียประตูเลย มาถึงรอบต่อไปคือรอบก่อนรองชนะเลิศต้องปะทะกับ ฟ้าขาว อาร์เจนติน่า ที่กลายเป็นแมตซ์ปัญหาเพราะเมื่อเริ่มเกมผู้ดีนำไปก่อน 1-0 จากพระเอกของการแข่งขันนี้ “ Geoff Hurst “ แต่ปัญหามีอยู่ว่ามันล้ำหน้า ต่อมากัปตันฟ้าขาว โดนไล่ออกแบบปริศนา เจ้าตัวจึงประท้วงไม่ออกจากสนาม ต้องให้เจ้าหน้าที่มาลากตัวออกไป เจ้ากัปตันฟ้าขาว จึงโชว์ความแสบนั่งบนบรมองค์ราชินี สถาบันที่ชาวผู้ดีนับถือสูงสุด ทำให้หลังจบเกมผู้จัดการทีมอังกฤษ “ Alf Ramsey “ สั่งห้ามแลกเสื้อกับฟ้าขาว “ ไอ้พวกไร้อารยธรรม “






     โดยเหตุที่ไล่ออกสื่อฟ้าขาวเผยว่าเพราะผู้ตัดสินชาวเยอรมันไม่ปลื้มสีหน้าที่กัปตันฟ้าขาวมองมาหาเขา ส่วนทางสื่อผู้ดีบอกว่าเหตุที่ไล่ออกเพราะเขาด่าผู้ตัดสินด้วยคำที่รุนแรง ทั้งที่ตามความเป็นจริง ผู้ตัดสินฟังภาษาสเปนไม่รู้เรื่อง ส่วนภาษาอังกฤษของกัปตันฟ้าขาวผู้นี้ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะตอนที่ได้รับปลอกแขนมา เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำว่า “ Captain “ หมายความว่าอะไร

     ผ่านจากเกมปัญหาเจ้าภาพก็ล้มฝอยทอง และเข้าชิงฯกับเยอรมัน ณ สนาม Wembley ที่เริ่มต้นด้วยผู้มาเยือนนำไปก่อนในนาทีที่ 12 แต่หลังจากนั้นนาทีที่ 18 เจ้าภาพก็ได้ประตูตีเสมอจาก Geoff Hurst ต่อมาเจ้าภาพก็ยิ่งประตูขึ้นนำ 2-1 ในนาทีที่ 72 ตอนนี้อังกฤษใกล้เคียงที่จะคว้าแชมป์โลกสมัยแรกเต็มที่ แต่แล้วเยอรมันก็กัดไม่ปล่อยตีเสมอจนได้ในนาที 89 หนึ่งนาทีก่อนหมดเวลา เข้าสู่ช่วงต่อเวลา

     และในช่วงต่อเวลานี้เอง Geoff Hurst ยิงประตูที่สองของตัวเอง ซึ่งกลายเป็นประตูประวัติศาสตร์ของบอลโลก “ Wembley Goal “ ซึ่งเป็นลูกปัญหาว่าข้ามเส้นหรือไม่ กลายเป็นขี้ปากข้ามทศวรรษ แต่ต่อมาเทคโนโลยีพัฒนาการและพิสูจน์ได้ว่ามันไม่ข้ามเส้น ทำให้ประตูนี้ได้ชื่อใหม่ว่า “ Ghost Goal “ ในปี 2005 เนื่องจากลูกปัญหาในปี 2005 ในเกมระหว่างลิเวอร์พูลและเชลซี จากประตูของ Luis Garcia นักเตะลิเวอร์พูล

     โค้ชเชลซีขณะนั้น The Special One “ Jose Mourinho “ จึงได้บัญญัติศัพท์ใหม่ของลูกหนังจากประตูนั้น ว่าเป็น “ ประตูที่ไม่เคยเกิดมาก่อน “ ( Ghost Goal ) วกกลับมาเข้าเรื่องที่บอลโลกครั้งนี้ต่อ เมื่อเยอรมันเจอ Ghost Goal เข้าไปก็หมดเรี่ยวหมดแรงทางกายและทางใจ จนเสียประตูเพิ่ม เป็น 4-2 จาก Geoff Hurst คนเดิม กลายเป็นแฮตทริกแรกและแฮตทริกเดียวของรอบชิงชนะเลิศบอลโลกจนถึงวันนี้

     แค้นนี้ได้รับการชำระเมื่อ 44 ปีให้หลังในบอลโลก 2010 ที่เพิ่งผ่านมาจากลูกยิงของแฟรงค์ แลมพาร์ดที่ข้ามเส้นไปแล้ว ที่ผู้ตัดสินไม่ให้ประตู และจุดจบของเกมคือเยอรมันล้างแค้นผู้ดีได้สาสมถึง 4-1 ถึงกระนั้นการล้างแค้นครั้งนี้ก็ยังน่าเจ็บใจตรงที่ มันไม่ได้ส่งอินทรีเหล็ก เยอรมัน คว้าแชมป์โลก ดังที่มันเกิดกับอริของพวกเขา






     ยุค Sixties หรือ “ การบุกรุกของอังกฤษ “ เริ่มต้นด้วยสี่หนุ่มค้ำโลกจากลิเวอร์พูล “ The Beatles “ ผ่านมาถึงแชมป์ยุโรปสมัยแรกของลีกอังกฤษ “ Manchester United “ และปิดด้วยแชมป์โลกแรกของอังกฤษ สมกับคำว่า “ Football Come Home “ โดยแท้ …แต่ดูเหมือนเจ้าฟุตบอลจะเป็นลูกทรพี เพราะจากนั้นมา มันไม่เคยกลับมาที่บ้านอีกเลย เหลือเพียงภาพ Bobby Moore ชูถ้วยแชมป์โลกที่เลือนลางพร้อมความทรงจำสีจางๆ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์