ทางออกของ “ เป็ดจนตรอก”

หลังผ่านพ้นโปรแกรมฟาดแข้งของทีมชาติในสัปดาห์นี้ เกมลีกของแต่ละชาติก็จะกลับมาบู๊กันต่อในช่วงสุดสัปดาห์หน้า โดยหนึ่งในเกมที่น่าจะได้รับความสนใจมากที่สุด คือเกมพรีเมียร์ลีกนัด “เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บีแมตช์” ซึ่ง ลิเวอร์พูล จะยกพลข้ามสวนสาธารณะ สแตนลีย์    ปาร์ค ไปเยือนถิ่น กูดิสัน ปาร์ค ของ เอฟเวอร์ตัน คู่แค้นร่วมเมืองในวันอาทิตย์ที่ 17 ต.ค. นี้
    และคงมีไม่บ่อยนักที่ศึก “เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บีแมตช์” ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเกมดาร์บีแมตช์ที่เข้มข้นและมีมนต์ขลังที่สุดของวงการลูกหนังยุโรป กลับต้องกลายเป็นการพบกันของ 2 ทีมที่กำลังดิ้นรนอยู่ในโซนท้ายตารางเหมือนในครั้งนี้ เมื่อการบุกเยือนถิ่น “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” ในครั้งนี้ ลิเวอร์พูล ไปในฐานะทีมที่กำลังลุ้นหนีตกชั้น หลังจากความพ่ายแพ้ต่อ แบล็กพูล 1-2 คาถิ่น แอนฟิลด์ ของตัวเองเมื่อสัปดาห์ก่อน ทำให้ลูกทีมของ รอย ฮอดจ์สัน หล่นปุ๊ลงไปอยู่ในอันดับที่ 18 ของตาราง โดยมีแค่ 6 แต้มจาก 7 นัดเท่ากับ เอฟเวอร์ตัน แต่ประตูได้ลบเสียเป็นรองอริร่วมเมือง
    ครั้งสุดท้ายที่พลพรรค “หงส์แดง” ออกสตาร์ตได้ย่ำแย่เทียบเท่ากับซีซั่นนี้ เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1954 ซึ่งพวกเขาตกชั้นในบั้นปลาย แต่หลังจาก บิล แชงค์ลีย์ พาทีมกลับขึ้นสู่ลีกสูงสุดอีกครั้งในฤดูกาล 1961-62 พวกเขาก็ไม่เคยตกชั้นอีกเลย แต่มาถึงเวลานี้ แม้เส้นทางจะยังเหลืออยู่อีกยาวไกล แต่ลึก ๆ แล้ว เชื่อว่าในใจของเหล่า “เดอะ ค็อป” พันธุ์แท้ อาจเริ่มมีอาการหวั่น ๆ กันบ้างแล้วว่าช่วงเวลา 49 ปีบนลีกสูงสุดแดนผู้ดีของพวกเขา อาจเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดก็เป็นได้
    หากจะว่าไป มันคงเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อว่าสโมสรที่มีพ่อค้าแข้งระดับโลกอย่าง โฆเซ เรนา, เฟอร์นานโด ตอร์เรส และ สตีเวน เจอร์ราร์ด อยู่ในทีม จะต้องมาอยู่ในโซนสีแดงท้ายตารางแบบนี้ แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเมื่อในความเป็นจริงที่สาวก “หงส์แดง” ยากที่จะทำใจยอมรับในเวลานี้คือ พวกเขากำลังอยู่ในจุดที่ตกต่ำที่สุดในรอบกว่าครึ่งศตวรรษ
    ช่วงเวลาที่ผ่านมา การบริหารสโมสรโดย 2 ปลิงมะกันอย่าง ทอม ฮิคส์ และ จอร์จ ยิลเล็ตต์ ถูกแฟนบอลรวมถึงสื่อต่าง ๆ หยิบยกเอามาจวกยับว่าเป็นหนึ่งในเหตุผลของความล้มเหลวที่เกิดขึ้นกับสโมสร เมื่อการเข้ามาของ 2 เจ้าสัวจากแดนลุงแซม เกิดขึ้นพร้อมหนี้สินก้อนใหญ่ยักษ์ที่สโมสรต้องแบกรับ อย่างไรก็ดี ตอนนี้ทีมได้เจ้าของใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้ปัญหาด้านการเงินเริ่มจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น
แต่กระนั้นก็ดี หาก ลิเวอร์พูล ต้องการให้สถานการณ์ของสโมสรกลับมาอยู่ในเส้นทางที่ควรจะเป็นอีกครั้ง สิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องทำคือการกลับมาทำผลงานในสนามให้ยอดเยี่ยมอีกครั้ง และต้องเป็นไปอย่างรวดเร็วที่สุดด้วย    
    แล้วพวกเขามีทางออกทางไหนบ้าง เพื่อที่จะประคับประคองให้ทีมสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤติในตอนนี้ไปให้เร็วที่สุด?
 

-ไว้ใจให้ รอย ฮอดจ์สัน คุมทีมต่อไป
    ถึงเวลานี้ แฟนบอล ลิเวอร์พูล เริ่มที่จะออกมาเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมกันบ้างแล้ว เพราะมีแฟนบอลจำนวนมากที่สงสัยในฝีมือของ ฮอดจ์สัน ในการกุมบังเหียนทีมระดับนี้ ทั้งที่เขาเพิ่งมีเวลาคุมทีมแค่ 7 นัดเท่านั้น 
    แต่เหนือสิ่งอื่นใด ผลงานอันย่ำแย่มันคือสิ่งที่บ่งบอกทุกสิ่งทุกอย่าง การชนะเกมเดียวจาก 7 นัดในลีก รวมถึงการตกรอบ คาร์ลิง คัพ ด้วยการแพ้ทีมอย่าง นอร์ทแธมป์ตัน จาก ลีก ทู คาบ้าน คือสิ่งที่ “เดอะ ค็อป” ทั่วโลกไม่อาจยอมรับได้ แม้ว่าทีมจะกำลังประสบปัญหาด้านการเงินอย่าง หนัก แต่ด้วยขุมกำลังชั้นยอดที่มีอยู่ในมือ ทำให้หลายคนคาดหวังว่า ฮอดจ์สัน ควรจะทำได้ดีกว่าการดิ้นรนหนีตกชั้น 
    จนถึงเวลานี้ ดูเหมือนว่าอดีตกุนซือ ฟูแลม จะยังไม่สามารถค้นหา 11 ตัวจริงที่ลงตัวได้ หลายครั้งเขาใช้งานนักเตะบางคนในตำแหน่งที่ไม่ถนัด และที่สำคัญที่สุดคือ เขายังไม่อาจทำให้ดาวยิงเบอร์ 1 ของทีมอย่าง เฟอร์นานโด ตอร์เรส กลับคืนฟอร์มเก่งได้เลย ความตกต่ำของ ลิเวอร์พูล ในเวลานี้ มันเกิดจากตัวเขาล้วน ๆ หรือมันเกิดจากความผิดพลาดของกุนซือคนก่อนรวมถึงเจ้าของทีมคนปัจจุบัน นี่คือสิ่งที่จะต้องถูกนำมาถกเถียงกันอย่างถึงพริกถึงขิง และมันอาจเป็นสิ่งที่ตัดสินอนาคตในถิ่น แอนฟิลด์ ของ “ป๋ารอย” ก็เป็นได้   
- มองหาผู้จัดการทีมคนใหม่ 
    ชื่อของ มาร์ติน โอนีล อดีตกุนซือ แอส ตัน วิลลา น่าจะถูกยกขึ้นมาเป็นตัวเต็งอันดับหนึ่งที่จะเข้ามาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของ “หงส์แดง” หลังจากกุนซือจอมแอ๊คชั่นกำลังว่างงานนับตั้งแต่ตัดสินใจไขก๊อกอำลาเก้าอี้กุนซือ “สิงห์ผงาด” ชนิดทำเอาอึ้งกันไปทั้งวงการเมื่อช่วงก่อนเปิดซีซั่นนี้ อดีตดาวเตะ นอตติงแฮม ฟอเรสต์ ผ่านการพิสูจน์ตัวเองเรียบร้อย และฝีมือในการ คุมทีมของเขาก็เป็นที่ยอมรับนับถือในวงการลูกหนังผู้ดีอยู่แล้ว เรียกว่าชื่อเสียงบารมีเพียงพอกับเก้าอี้นายใหญ่แห่งถิ่น แอนฟิลด์ แน่นอน แต่ปัญหาคือเขาจะอยากเอาชื่อเสียงเกียรติยศที่สั่งสมมานาน มาเสี่ยงกับการรับเผือกร้อนอย่าง ลิเวอร์พูล เอามาไว้ในมือหรือเปล่า? 
    ถ้าไม่ใช่ โอนีล ตัวเลือกอีกคนก็อาจจะเป็น เจอร์เกน คลินส์มันน์ อดีตเทรนเนอร์ทีมชาติเยอรมนี ผู้ได้รับเสียงชื่นชมล้นหลามเมื่อครั้งพา “อินทรีเหล็ก” คว้าอันดับ 3 ฟุตบอลโลก 2006 ในบ้านตัวเอง ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวว่า 2 เจ้าสัวมะกันอยากได้ “ฉลามขาว” มาคุมทีมจนตัวสั่น แต่ทว่าดูแล้ว เจ้าตัวน่าจะอยากนอนอาบแดดบนชายหาดในแคลิฟอร์เนีย มากกว่าจะมาตกระกำลำบากกับ “หงส์แดง” ในเวลานี้      

- หันกลับไปหา เคนนี ดัลกลิช
    ช่วงท้ายของเกมกับ แบล็กพูล เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว ในขณะที่บรรดาขุนพล “หงส์แดง” กำลังลนลานเมื่อเดินเข้าใกล้กับความพ่ายแพ้อันน่าอับอายเข้าไปทุกทีนั้น เหล่ากองเชียร์บนอัฒจันทร์เริ่มตะโกนเรียกชื่อ “ดัลกลิช! ดัลกลิช!” นั่นคือสิ่งที่แสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่าพวกเขาต้องการให้คนที่พวกเขายกย่องเทิดทูนเสมือนพระเจ้า กลับมาทำหน้าที่พาพวกเขากลับคืนสู่ดินแดนสวรรค์อีกครั้ง หรืออย่างน้อยก็ช่วยพาพวกเขาให้หลุดพ้นจากขุมนรกในพื้นที่สีแดงของตารางคะแนนเสียที 
    ดัลกลิช ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งทูต และผู้อำนวยการศูนย์ฝึกเยาวชนของสโมสรนั้น เคยเสนอตัวรับงานแทน ราฟาเอล เบนิเตซ มาแล้วในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา แต่ถูกติดเบรกจาก มาร์ติน บรอห์ตัน ประธานสโมสร และ คริสเตียน เพอร์สโลว์ ซีอีโอของทีม ซึ่งเป็น 2 ชายผู้กลายเป็นปิศาจร้ายคนใหม่ในสายตาของสาวก “เดอะ ค็อป” ไปเรียบร้อยแล้ว
    การปฏิเสธ ดัล  กลิช ในครั้งนั้น อาจกลายเป็นการ “เสียโอกาส” ครั้งสำคัญของ ลิเวอร์พูล ในสายตาของใครหลาย ๆ คน เพราะเขาคนนี้คือผู้ที่พาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดแดนผู้ดีได้เป็นคนสุดท้ายเมื่อปี ค.ศ. 1990 การดึง “คิง เคนนี” กลับคืนสู่บัลลังก์ น่าจะสร้างความพอใจให้กับกลุ่มแฟนบอลที่ออกมาโวยวาย รวมถึงอาจเป็นการซื้อใจของสเกาเซอร์พันธุ์แท้ในห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวของทีม อย่าง สตีเวน เจอร์ราร์ด กับ เจมี คาร์ราเกอร์ ได้อีกด้วย 
    อย่างไรก็ตาม คำถามสำคัญในใจของใครหลาย ๆ คนคือ “คิง เคนนี” รู้จักวิธีการในการเป็นโค้ชฟุตบอลสมัยใหม่หรือเปล่า และเขามีทักษะในการเตรียมทีมเพื่อลงเล่นในเกมระดับสูงแบบนี้มากน้อยแค่ไหน? เพราะในเมื่อครั้งล่าสุดที่เขาทำงานเป็นผู้จัดการทีมแบบเต็มเวลานั้น ต้องย้อนไปถึงปี ค.ศ. 1998 โน่นเลยทีเดียว  

- ปัดฝุ่นระบบบูตรูมสตาฟฟ์
    คอนเซปต์ของ ระบบบูตรูมสตาฟฟ์ อันลือลั่นของ ลิเวอร์พูล มันอาจกลายเป็นเรื่องที่ถูกมองว่าโบราณเป็นเต่าล้านปีไปแล้วสำหรับเกมฟุตบอลยุคมิลเลเนียม แต่การนำมันกลับมาปัดฝุ่นด้วยการหวนกลับไปแต่งตั้งคนภายในสโมสรขึ้นมากุมบังเหียนทีมอีกครั้งนั้น อาจกลายเป็นเรื่องดีสำหรับบรรดา “เดอะ ค็อป” ก็เป็นได้ ว่าแต่ว่าคน ๆ นั้นจะเป็นใครกันล่ะ? ถ้าเป็น แซมมี ลี หลายคนคงร้องยี้ หลังมือขวาร่างเล็กของ รอย ฮอดจ์สัน เคยฝากผลงานชิ้นโบดำเอาไว้ เมื่อครั้งก้าวขึ้นมาเป็นนายใหญ่ของ โบลตัน วันเดอเรอร์ส แทนที่ “บิ๊กแซม” แซม อัลลาร์ไดซ์ โดย “ลิตเติล แซม” พา “เดอะ ทร็อตเตอร์ส” คว้าชัยชนะได้แค่ 3 เกมจากการลงสนาม 14 นัด ก่อนจะถูกเด้งตกเก้าอี้ไปตามระเบียบ
    สำหรับในรายของ เมาริซิโอ เปเยกริโน อดีตกองหลัง บาเลนเซีย ที่ติดสอยห้อยตาม เบนิเตซ มาจาก บาเลนเซีย ก่อนจะแขวนสตั๊ดและกลายเป็นหนึ่งในทีมงานโค้ชของสโมสรนั้น ครั้งหนึ่งเขาเคยถูกมองว่ามีโอกาสเลื่อนขั้นขึ้นมาคุมทัพ “หงส์แดง” เต็มตัวเช่นกันหลังจาก “เอล ราฟา” อำลาไปผจญภัยกับ อินเตอร์ มิลาน แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็ตัดสินใจเก็บข้าวของย้ายตามเจ้านายเก่าไปอยู่ที่อิตาลี ซึ่งส่งผลให้ตัวเลือกภายในถิ่น แอนฟิลด์ สำหรับตำแหน่งผู้จัดการทีมคนใหม่ยิ่งหายาก ขึ้นไปอีก 
    กระนั้นก็ดี ยังมีอีกคนที่อาจกลายเป็นตัวเลือกที่ทุกคนอาจจะมองข้าม เขาคนนั้นคือ เจมี คาร์ราเกอร์ ปราการหลังจอมแกร่ง ลูกหม้อตัวจริงเสียงจริงของ ลิเวอร์พูล นั่นเอง เพราะในการให้สัมภาษณ์หลาย ๆ ครั้งในระยะหลัง     “คาร์รา” มักจะแสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติการเป็นผู้จัดการ ทีมที่เขามีอยู่ในตัวอย่างเด่นชัดมากขึ้นเรื่อย ๆ แถมยังมีแววตาของความมุ่งมั่นมาโดยตลอดอีกด้วย ถึงแม้การทำงานในแบบควบตำแหน่งผู้เล่น-ผู้จัดการทีม จะไม่ค่อยเป็นที่นิยมในยุคปัจจุบัน แถมยังหาคนที่ประสบความสำเร็จได้ยากเต็มทีนับตั้งแต่ จานลูกา วิอัลลี เคยทำสำเร็จกับ เชลซี แต่หากย้อนกลับไปดูเรื่องราวในอดีต เคนนี ดัลกลิช เองก็เคยรับบทนี้กับ “หงส์แดง” มาแล้ว แถมยังทำได้ดีเสียด้วย.
 


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์