10 สุดยอดเกมแห่งการคัมแบ็ก



เรื่องเหลือเชื่อมักเกิดขึ้นได้เสมอ เพราะลูกกลมๆ อะไรก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่มักจะเกิดเหตุการณ์ที่สุดแสนประหลาดใจกับทีมรักของแต่ละคน โดยเฉพาะการคัมแบ็กจากนรกที่ใครๆ มองว่าทีมนั้นทีมนี้กำลังจะแพ้ แต่สุดท้ายพวกเขาสามารถพลิกชะตาชีวิตกลับมาชนะได้หน้าตาเฉย งานนี้ต้องลองมาดูกันว่ามีเกมไหนที่สามารถแหวกนรกกลับมาได้ชนิดที่ทุกคนยังจดจำได้มาจนทุกวันนี้

 


10. ยูโกสลาเวีย เสมอ รัสเซีย และโซเวียต 5-5 (รัสเซีย ตามหลัง 5-1) ในปี 1952
             ศึกฟุตบอล โอลิมปิก ที่เฮลซิงกิ ปี 1952 มีผลการแข่งขันที่น่าจดจำมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ลักเซมเบิร์ก ชนะ อังกฤษ 5-3, บราซิล ถล่ม เนเธอร์แลนด์ 5-1, อิตาลี ชนะ สหรัฐอเมริกา 8-0 แต่ที่น่าสนใจเป็นพิเศษคงหนีไม่พ้นเรื่องการคัมแบ็กของทัพหมีขาวในแมตช์ดวล ยูโกสลาเวีย ในรอบแรก โดยพวกเขาโดน ยูโกฯ นำไปถึง 5-1 แต่ รัสเซีย ไม่ยอมแพ้สู้อย่างเต็มที่ และก็ต้องขอบคุณ วีโวโลด โบบราฟ ที่ซัดแฮตทริก แต่น่าเสียดายที่นัดรีเพลย์ ยูโกสลาเวีย เอาชนะไปได้อีกด้วยสกอร์ 3-1



              เรื่องที่น่ารู้เกี่ยวกับโบบราฟ นอกจากจะเป็นฮีโร่ของรัสเซียแล้ว ยังมีเรื่องโชคดีเรื่องหนึ่งด้วย เขาเป็นกัปตันทีมของทีมฮอกกี้น้ำแข็ง รัสเซีย และโซเวียต ในศึกโอลิมปิก 1956 ซึ่งเป็นเพียงคนเดียวที่ประสบความสำเร็จกับกีฬาทั้ง 2 ประเภท แต่ในปี 1950 เขาพลาดร่วมทีมฮอกกี้น้ำแข็งเนื่องจากตื่นสา โดยทุกคนในทีมก็เลยตัดสินใจไม่รอเขา เพราะรู้ดีว่าเขาเป็นพวกหลับลึก และก็บินไปโดยไม่มีเขา แต่ทั้ง 11 ผู้เล่นรวมทั้งสต๊าฟฟ์โค้ชตายเรียบ เพราะเครื่องบินตกเนื่องจากหิมะตกหนัก









9. แวร์เดอร์ เบรเมน ชนะ อันเดอร์เลชท์ 5-3 (เบรเมน ตามหลัง 0-3) ในปี 1993
             อ๊อตโต้ เรห์ฮาเกล สุดยอดกุนซือสร้างความมหัศจรรย์ได้เสมอ โดยเขาเคยนำ ไกเซอร์สเลาเทิร์น สร้างประวัติศาตร์เป็นทีมแรกที่ขึ้นชั้นมาแค่ปีเดียว และคว้าแชมป์บุนเดสลีกา ได้ทันที เช่นเดียวกับการนำประเทศกรีซ คว้าแชมป์ยูโร 2004 และสมัยที่กุมบังเหียนทัพ นกนางนวลเขาก็ทำทีมได้ผลการแข่งขันที่น่าเหลือเชื่ออีกเช่นกัน



              เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในรอบแบ่งกลุ่ม ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในแมตช์ดวล อันเดอร์เลชท์ โดยพวกเขาโดนทีเด็ดของ ยักษ์ใหญ่จากเบลเยียม ได้ประตูนำ 3-0 จากฝีเท้าของ ฟิลิปป์ อัลเบิร์ต, แดนนี่ โบฟฟิน 2 ประตู ตอนนั้นใครๆ ก็คิดว่าเกมจบไปแล้ว แต่ทีมสัญชาติเยอรมันไม่เคยยอมแพ้ และพลิกกลับมาชนะได้อย่างสุดยอดและก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ คิงอ๊อตโต้ ต้องลุกออกมาเต้นแร้งเต้นกากลางสายฝนหลังจบแมตช์นี้








8. เกาหลีเหนือ แพ้ โปรตุเกส 3-5 (โปรตุเกส ตามหลัง 3-0) ในปี 1966
              ชัยชนะเหนืออิตาลี ในรอบแบ่งกลุ่มส่งผลบุญให้ทัพ โสมแดง ผงาดเข้ารอบน็อกเอาต์ในศึกฟุตบอลโลก 1966 โดยหลังจากที่คว่ำทัพ อัซซูรี่ ได้แล้วพวกเขาต้องเจองานสุดหินดวล โปรตุเกส ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยเกาหลีเหนือได้รับแรงเชียร์จากบรรดาแฟนบอลชาวอังกฤษอย่างล้นหลามและก็ไม่ผิดหวังเมื่อพวกเขาได้ประตูนำทัพ ฝอยทอง 2-0 เพียงแค่ 20 นาทีแรกเท่านั้น ก่อนที่จะมาได้ประตูที่สามอีกแค่ไม่กี่นาที อย่างไรก็ตาม โปรตุเกสมีชายที่ชื่อ ยูเซบิโอ ที่ซัด 4 ตุงนำทีมพลิกสถานการณ์เอาชนะไปได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ทะลุเข้ารอบตัดเชือก แต่สุดท้ายก็เท่านั้นเพราะทัพ ฝอยทอง แพ้ อังกฤษ อย่างน่าเสียดาย






7. เยอรมันตะวันตก ชนะ อังกฤษ 3-2 (เยอรมันตะวันตก ตามหลัง 0-2) ในปี 1970
              ในฐานะแชมป์เก่าแฟนบอลเมืองผู้ดีมักจะบอกชาวบ้านชาวช่องว่าทัพ ทรี ไลอ้อนส์ ในฟุตบอลโลก 1970 เป็นทีมที่ดีกว่าชุดที่คว้าแชมป์เวิลด์ คัพ บนแผ่นดินบ้านเกิดเมื่อ 4 ปีที่แล้ว และเกมดวลทัพ อินทรีเหล็ก ก็เหมือนกับการรีแมตช์ของทั้งสองชาติ



                อังกฤษ โชว์ฟอร์มได้เหนือกว่าเมื่อนำ 2-0 ทั้งที่เกมผ่านไปแค่ 20 นาทีเท่านั้น โดย เยอรมันตะวันตก ยิงประตูคืนมาได้ 1 ลูกจากฝีเท้าของ ไกเซอร์ฟร้านซ์ ฟร้านซ์ เบ็คเคนเบาเออร์ แต่จุดเปลี่ยนของชีวิตมันอยู่ตรงที่ อัลฟ์ แรมซี่ย์ ผู้จัดการทีมเปลี่ยนตัวบ็อบบี้ ชาร์ลตัน ออก เพราะคิดว่าคงจะเอาชนะ เยอรมัน ได้ แต่สุดท้าย อูเว่ เซเลอร์ มาตีเสมอได้สำเร็จ ก่อนที่ช่วงต่อเวลาพิเศษ ไอ้ลูกระเบิด แกร์ด มุลเลอร์ จะยิงประตูเขี่ย อังกฤษ ตกรอบไปอย่างน่าเจ็บปวด







6. ชาร์ลตัน แอธเลติก ชนะ ฮัดเดิ้ลสฟิลด์ ทาวน์ 7-6 (ชาร์ลตัน ตามหลัง 1-5) ในปี 1957

               แน่นอนว่านี่เป็นการแหวกนรกกลับชาติมาเกิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ของวงการลูกหนังเมืองผู้ดี ซึ่งเกิดขึ้นในปี 1957 เมื่อ บิลล์ แชงค์ลี่ย์ กุมบังเหียน ฮัดเดิ้ลสฟิลด์ ยิ้มร่าหลังลูกทีมนำคู่แข่ง 5-1 โดยใช้เวลาเพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้น และ ดาบอัศวิน ก็เหลือแค่ 10 เท่านั้น แต่กาลกลับตาลปัตรเพราะกลายเป็น ฮัดเดิ้ลสฟิลด์ ที่น้ำตาร่วงแพ้ไปอย่างน่าเจ็บใจ









5. เอซี มิลาน เสมอ ลิเวอร์พูล 3-3 (ลิเวอร์พูล ตามหลัง 3-0 ) ในปี 2005
                แม้ว่า ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือชาวสเปน จะอำลาถิ่นแอนฟิลด์ ไปแล้ว แต่เหตุการณ์ที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของสาวก เดอะ ค็อป ก็คือการพลิกนรกกลับชาติมาเกิดของ หงส์แดง ที่สนามอิสตันบลู ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2005 โดยเหตุการณ์ครั้งนั้นพวกเขาถูก ปีศาจแดง-ดำ นำ 3-0 ในครึ่งแรก และทุกคนต่างทำใจแล้วว่า ลิเวอร์พูล คงต้องกลับบ้านมือเปล่า แต่สวรรค์ได้ขีดเส้นให้พวกเขาคว้าแชมป์ถ้วย บิ๊กเอียร์ และการที่มีพลังหนุนจากผู้เล่นคนที่ 13 นั่นก็คือแฟนบอลที่ส่งเสียงเชียร์คอแทบแตก และแข้ง เดอะ เร้ดส์ใช้เวลาเพียง 6 นาทีตามตีเสมอได้อย่างเหลือเชื่อ และยื้อจนดวลจุดโทษ และเป็น ลิเวอร์พูล ที่ประสบความสำเร็จท่ามกลางความึนงงของสาวก รอสโซเนรี่ มาจนทุกวันนี้ แต่ตอนนี้บรรดา เดอะ ค็อป คงเรียกร้องให้ทีมรักคัมแบ็กแห่งซีซั่นเต็มทน เพราะสถานการณ์ย่ำแย่จนต้องลุ้นหนีตกชั้นแล้ว!!!!








4. ฝรั่งเศส แพ้ ยูโกสลาเวีย 4-5 (ยูโกสลาเวีย ตามหลัง 1-4) ในปี 1960  
                ทัพเลส์ เบลอส์ หวังที่จะคว้าแชมป์ ศึกยูโร 1960 ให้ได้ และความฝันกำลังจะเป็นจริง เมื่อพวกเขาไล่ถล่ม ยูโกสลาเวีย อย่างสนุกสนาม โดยพวกเขาขึ้นนำผู้มาเยือนด้วยสกอร์ 3-1 จากนั้นก็ 4-2 และเหลือเวลาเพียงแค่ 15 นาทีเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การที่แผงหลังของทัพ ตราไก่ เล่นได้อย่างย่ำแย่ทำให้ โทมิสลาฟ คูเนซ หลุดไปสอย 1 ประตู และ ดราเซ่น ยอร์โควิช ที่เบิ้ล 2 ประตูเพียงแค่ 2 นาทีพลิกแซงคว้าชัยชนะไปครองชนิดทำเอาแฟนบอลฝรั่งเศสน้ำตาร่วงกันเลยทีเดียว แต่ที่น่าเหลือเชื่อก็คือทั้ง 3 ประตูใช้เวลาห่างกันเพียงแค่ 4 นาทีเท่านั้น ซึ่งเท่านั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ ฝรั่งเศส กระเด็นตกรอบ และต้องรอคอยถึง 24 ปี พวกเขาถึงจะผงาดคว้าแชมป์ยูโร เป็นครั้งแรก ในบ้านของตัวเอง ที่สำคัญบนเส้นทางแห่งการเป็นแชมป์ พวกเขาได้แก้แค้นยูโกสลาเวีย ด้วยสกอร์ 3-2 ในรอบแบ่งกลุ่มด้วย








3. บาเยิร์น มิวนิค แพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-2 (แมนฯ ยูไนเต็ด ตามหลัง 1-0) ในปี 1999 
                ต้องบอกเกมนี้ถือเป็นแมตช์สุดยอดแห่งการคัมแบ็กแบบไม่ให้ บาเยิร์น มิวนิค ได้แก้ตัว โดยเฉพาะเป็นการคัมแบ็กที่นำมาสู่การเป็นแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บรมกุนซือ ผีแดง ซึ่งเป็นการคว้าถ้วย บิ๊กเอียร์ ครั้งแรกของพวกเขาในรอบ 31 ปีด้วย แต่จะว่าไปแล้ว แมนฯ ยูฯ ก็สร้างเรื่องปฏิหาริย์ในเกมรอบตัดเชือก นัดสอง มาแล้ว หลังเอาชนะ ยูเวนตุส 3-2 ทั้งที่ตามหลังอยู่ 0-2



                แต่สวรรค์ขีดเส้นใต้ให้ เร้ด เดวิลส์ เป็นทริปเบิ้ลแชมป์ เพราะปฏิหาริย์ยังเกิดขึ้นอีก ในรอบชิงชนะเลิศ เมื่อพวกเขาโดน เสือใต้ ขึ้นนำไปก่อน ที่สำคัญยังเกือบโดนประตูที่สองหลายต่อหลายครั้ง แต่ บาเยิร์น ยิงชนเสาชนคานไปหมด และเหลืออีกแค่ไม่กี่นาที บาเยิร์น จะได้เถลิงบัลลังก์แชมป์อยู่แล้ว แต่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กับ เท็ดดี้ เชอริงแฮม สวมบทฮีโร่ซัด 2 ประตู ก่อนที่ผู้ตัดสินจะเป่านกหวีดยาวหมดเวลา และถ้วยแชมป์ก็ลอยหลุดมือของ บาเยิร์น มาอยู่ในตู้โชว์ถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ชนิดที่แฟนบอล เสือใต้ ยังจดจำไม่มีวันลืมจนทุกวันนี้









2. อินเตอร์ มิลาน ชนะ ซามพ์โดเรีย 3-2 (อินเตอร์ ตามหลัง 0-2 ) ในปี 2005

               ทัพ งูใหญ่ ต้อนรับการมาเยือนของ ลา ซามพ์ ในเกมลีกปี 2005 โดยพวกเขามี อาเดรียโน่ และ คริสเตียน วิเอรี่ ยืนล่าตาข่าย แต่กลายเป็นว่าผู้มาเยือนได้ประตูนำไปก่อนในช่วงไม่กี่นาทีก่อนหมดครึ่งแรก และครึ่งหลังเหลืออีกแค่ 10 นาทีสุดท้ายทีมเยือนกลับสร้างความประหลาดใจเมื่อยิงประตูที่สองได้ หลังจากนั้น แฟนบอล เนรัซซูรี่ ส่วนใหญ่ก็ลุกออกจากสนามเพราะคิดว่าคงแพ้ชัวร์ แต่เรื่องสุดแสนดราม่าก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อ อินเตอร์ ส่ง อัลวาโร่ เรโคบา และเป็นเขาที่ผ่านบอลให้ โอบาเฟมี่ มาร์ติน ซัดประตูตีไข่แตก ก่อนที่ช่วงทดเจ็บ คริสเตียน วิเอรี่ ซัดตีเสมอ 2-2 และ เรโคบา สวมบทฮีโร่ซัดประตูชัย โดยเรื่องนี้ช่วยสอนบทเรียนให้สาวก อินเตอร์ ว่าอย่าได้ทะลึ่งออกจากสนามทั้งที่เกมยังไม่จบ









1. ฮังการี แพ้ เยอรมันตะวันตก 2-3 (เยอรมันตะวันตก ตามหลัง 2-0) ในปี 1954
               บ่อยครั้งที่เรามักลืมความจริงที่ว่า เยอรมันตะวันตก คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งแรก 9 ปีก่อนที่ศึกบุนเดสลีกาจะถือกำเนิดขึ้น ซึ่งนั่นก็หมายความว่า เยอรมัน ชุดนั้นมีแต่นักเตะสมัครเล่น แต่สามารถเอาชนะ ฮังการี ที่มีนักเตะระดับโลกอย่าง เฟเรนซ์ ปุสกัส นำทีม ที่สำคัญทัพ แม็กย่าร์ ก็ไล่ถลุง อินทรีเหล็ก ชนิดปีกหักบินไม่ขึ้นด้วยสกอร์ 8-3 ในรอบแรก และก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาเหนือกว่า เยอรมันตะวันตก ในรอบชิงชนะเลิศ
 
       
                แมตช์นี้ ปุสกัส ยิงประตูเบิกร่องให้ ฮังการี ตั้งแต่นาทีที่ 6 จากนั้นอีก 2 นาที โซลตัน ซาร์บอร์ ก็ซัดประตูที่สองให้ทีมขึ้นนำ และดูเหมือนว่าผลการแข่งขันคงจะเข้าทาง ฮังการี แน่นอน และมีโอกาสที่ เยอรมันตะวันตก จะโดนถลุงยับเหมือนเกมในรอบแรก แต่ขอบอกว่าขึ้นชื่อว่าเป็นคนสัญชาติด๊อยท์ช เจ็บแล้วจำ ที่สำคัญไม่เคยยอมแพ้ใคร และพวกเขาก็จัดการยิง 3 ประตูรวด ผงาดคว้าแชมป์เวิลด์ คัพ อย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งในตอนนั้นผู้บรรยายชาวเยอรมัน ถึงขนาดอุทานออกมาว่า มหัศจรรย์แห่งเบิร์น





เครดิต สยามกีฬา


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์