รำลึกดรีมทีม

ช่วงดึกๆ วันก่อน บิ๊กก๊อง วิรัช ชาญพานิชย์ อดีต ผจก. ทีมชาติไทย และ 1 ในผู้ปลุกปั้นทีมชาติไทยชุดดรีมทีมร่วมกับ บิ๊กหอย ธวัชชัย สัจจกุล ให้ดังกระหึ่มเมื่อ 10 กว่าปีก่อน โทรศัพท์มาชวนผมให้ไปร่วมรำลึกอดีตกับขุนพลนักเตะชุดดรีมทีม ที่ร้าน ฟอร์ ดินเนอร์ ย่านเลียบทางด่วนพระราม 9


พูดถึงดรีมทีม ผมว่าทีมนี้เป็นการออกสตาร์ตที่รุ่งเรืองของฟุตบอลไทยแห่งทศวรรษนี้เลยนะครับ ย้อนหลังกลับไปเมื่อปี 2535 ช่วงเวลานี้วงการฟุตบอลไทยยังวนเวียนอยู่กับฟุตบอลเดินสาย ทีมชาติล้มบอล มาเฟียลูกหนังประมาณนั้น


จนกระทั่ง บิ๊กหอย เดินเข้ามาสู่วงการฟุตบอลพร้อมกับทุ่มงบส่วนตัว สร้างแคแรกเตอร์เสี่ยสั่งลุย กว้านนักเตะโนเนม ประเภทตัวสำรองของสโมสร เด็กบ้านนอกคอกนา มารวมตัวกัน มีเงินเดือนให้คนละ 5 หมื่นบาท ในยุคนั้นมหาศาลเลยนะครับ


ทั้งการตลาด การประชาสัมพันธ์ และการเก็บตัวฝึกซ้อมที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนทำให้ ดรีมทีม ชุดนั้นดังระเบิดเถิดเทิง เป็นทีมชาติชุดบี ที่คว้าแชมป์คิงส์คัพ เป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ เป็นทีมชาติแห่งความหวังที่จะไปฟุตบอลโอลิมปิก และ ฟุตบอลโลก


ดรีมทีม สร้างความหวังให้กับคนไทยได้หลายปี...แต่วันเวลาเปลี่ยนไป ดรีมทีมก็เป็นแค่ทีมแห่งความฝัน เมื่อโลกฟุตบอลแห่งความเป็นจริง เงินไม่สามารถซื้อทุกอย่างได้ ดรีมทีมพ่ายให้กับ ญี่ปุ่น เละ 0-5 ในปรีโอลิมปิก ที่สุพรรณบุรี ทำให้ทีมแตกกระสานซ่านเซ็น


แต่การล่มสลายของดรีมทีม เม็ดเงินส่วนตัวเกือบๆ 100 ล้านบาทของ บิ๊กหอย ที่รวมกับของ บิ๊กก๊อง อีกหลายสิบล้าน ก็ไม่ได้สูญเปล่า ผลผลิตจากดรีมทีมสร้างคุโณปการอีกมหาศาลให้วงการฟุตบอลไทยได้ใช้งานในอีก 10 ปีต่อมา


การก้าวมาติดทีมชาติของนักเตะอย่าง เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, ตะวัน ศรีปาน, ดุสิต เฉลิมแสน, ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นดอก ผล ที่ปั้นจากดินเป็นดาวของดรีมทีมทั้งนั้น


ย้อนกลับมางานปาร์ตี้ดรีมทีมอีกครั้ง...ตอนแรกนึกว่าจะมากันสัก คนสองคน เพราะเวลาผ่านไปร่วม 20 ปีนักเตะดรีมทีมชุดสร้างชื่อกระเดื่องไม่รู้แยกย้ายกันไปทำมาหากินอะไรบ้างแล้ว


ปรากฏว่าผิดคาดแหะ นักเตะชื่อดังในอดีตมากันเกือบครบทีม นำโดย ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, ธชตวัน ศรีปาน นอกนั้นก็มี เสี่ยหำ สุพล เสนาเพ็ง อดีตกัปตันทีมจอมเก๋า, ซูเปอร์แม็ค พัฒนพงศ์ ศรีปราโมช, โชคทวี พรหมรัตน์, ใกล้รุ่ง ตรีจักรสังข์, สงคราม ไชยมงคล, สราวุธ คำบัว, วัชรกร อันฑะคำภู, สุชิน พันธุ์ประภาส มีนักเตะร่วมยุคอย่าง สุรชัย จตุรภัทรพงศ์ และ กัณวีร์ ทองชิว ไปร่วมแจมด้วย


บรรยากาศก็อบอุ่น เฮฮา กันดีครับ แต่ละคนไม่ได้เจอกันนานหลายปี บางคนก็ยังโลดแล่นอยู่ในวงการฟุตบอล อีกหลายๆ คนหันไปทำมาหากินอย่างอื่น ประกอบธุรกิจส่วนตัวบ้าง อะไรบ้าง


แต่สิ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันก็คือ หัวใจที่รักฟุตบอล ไม่เสื่อมคลายหายไปไหน


เกือบทุกคนพูดเหมือนกันหมดว่า ฟุตบอลยุคนี้มาไกลเกินกว่าสมัยที่พวกเขาโด่งดังทะลุฟ้าแบบคนละเรื่อง สมัยก่อนเงินเดือน 5 หมื่นก็สุดหรูแล้ว แต่สมัยนี้เด็กรุ่นใหม่เงินเดือนเป็นแสน


สมัยก่อนทีมชาติยังใช้การเก็บตัวข้ามปี แต่สมัยนี้เรียกมาซ้อมแค่ 1-2 สัปดาห์ ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับสโมสรที่เป็นฟุตบอลอาชีพ


เมื่อก่อนพวกเขาเล่นสโมสรลงแข่งขันปีละไม่กี่ทัวร์นาเมนต์ เงินเดือนคนละไม่กี่พันบาท เล่นทีมชาติจึงเป็นเป้าหมายสำคัญกว่า สโมสรได้ทั้งเงินและชื่อเสียง แต่ยุคนี้ก็ไม่ใช่อีก เพราะสโมสรคืออู่ข้าวอู่น้ำ


นักเตะดรีมทีม ต่างก็บอกว่า ถ้าฟุตบอลไทยรุ่งเรืองตั้งแต่เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ป่านนี้พวกเขาบางคน อาจจะไม่ต้องขี่มอเตอร์ไซค์มางาน บางคนอาจจะไม่ต้องไปทำงานประจำกินเงินเดือน 1 หมื่นบาท เพราะฟุตบอลให้อะไรกับชีวิตมากเหลือเกิน


เหนือสิ่งอื่นใด อดีตฮีโร่ลูกหนังของเมืองไทย ฝากข้อคิดมาถึงวงการฟุตบอล ถึงนักเตะยุคนี้ว่า ชื่อเสียง เงินทอง ไม่ว่าจะเป็นยุคไหน สมัยใด ล้วนแล้วแต่เหมือนกัน นั่นคือ มาง่าย ไปง่าย...เพราะฉะนั้นขอให้น้องๆ รู้จักเก็บ รู้จักใช้มันอย่างมีสติ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์