หลายตัวแปร โดย..ชู้ตเอ๊าต์


 

หลังจากหวดกันไป 10 นัดแรกของฤดูกาลใหม่ แนวโน้มที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยในช่วงหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมาบนเวทีพรีเมียร์ลีก ทำท่าจะหวนกลับมาอีกครั้ง
 
นั่นคือความใกล้เคียงกันของบรรดาทีมในกลุ่มนำ ซึ่งคอลัมนิสต์หลายๆ ท่านนำเสนอไปแล้ว ว่ามันไม่น่าจะมีแค่ บิ๊กโฟร์ อีกต่อไป
 

น่าเป็น 6-7 ทีมด้วยซ้ำที่ต้องนับว่ามีลุ้นกันอยู่ในขณะนี้
 

แต่อย่างที่เห็นกันนั่นล่ะครับว่า ถ้าเทียบเป็นวิ่งร้อยเมตร นี่ถือเป็นแค่จังหวะออกตัว 10 เมตรแรกเท่านั้น ระยะมันยังเหลืออีกยาวไกลนัก
 

ทีมไหนที่ปักหลักยืนยาวได้มั่นคงกว่าเพื่อน ถึงจะเป็นแชมเปี้ยนตัวจริง
 

นั่นคือสัจธรรมที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, อาร์เซน่อล หรือเชลซี แสดงให้เห็นในช่วงหลังว่า การกลับมาจากความผิดพลาดนั้นสำคัญเพียงไร
 

ทีมที่ได้ชื่อว่าเป็นแชมเปี้ยน อาจแพ้ใครก็ได้แบบไม่คาดฝันสักนัดสองนัด สำคัญตรงที่พวกเขาตั้งหลักจากตรงนั้นได้เร็วแค่ไหนต่างหาก
 

การออกสตาร์ตที่ค่อนข้างสูสีมากๆ ในรอบหลายปีของพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ มีที่มาหลายอย่างครับ
 

หลายทีมหันมาเน้นเกมรุก เปิดแลกหมัดเพื่อ 3 แต้มมากขึ้น เห็นได้ชัดเจนจากสถิติสักเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ปรากฏมีเกมเสมอกันตั้งแต่ต้นฤดูกาลแค่ 4 นัด ก่อนเพิ่มขึ้นตามลำดับ
 

ขณะที่หลายคนมองไปที่เกมรับของทีมระดับบิ๊ก ซึ่งเสียประตูเยอะขึ้นกว่าที่เคย นอกจากหลายทีมหันมาเน้นเกมบุก จากที่เป็นรองอยู่ก็อาจพลิกถึงเสมอหรือชนะกันบ่อยขึ้น
 

และอะไรที่มันไม่แน่นอนแบบนี้เอง ที่ทำให้มีการมองกันว่า แชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้อาจมีแต้มไม่สูงเหมือนที่ผ่านๆ มา โทษฐานที่แต่ละรายทำแต้มหลุดมือกันเป็นแถว
 

...เรียกว่ามาตรฐานระดับ 80 แต้มนี่ก็น่าจะพอไหว
 

แล้วหนล่าสุดมันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ก็ต้องย้อนหลังไปถึงเมื่อปี 1997 ที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน นำแมนฯ ยูฯ เป็นแชมป์ด้วยแต้มในมือเพียง 75 แต้ม
 

ปีถัดมา อาร์แซน เวนเกอร์ ทำไว้เยอะหน่อยที่ 78 ก่อนเฟอร์กี้ นำทัพกลับมาทวงถ้วยคืนที่ 79 แต้ม
 

กระทั่งปีล่าสุดคือ 2001 ปีศาจแดง ทำไว้ต่ำสุดแค่ 80 แต้ม เรียกว่าเหตุการณ์ทำนองนี้อาจเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบเกือบสิบปีเลยก็ว่าได้ หากแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ มีแต้มไม่เยอะเหมือนช่วงหลายปีล่าสุด
 

อาการ หลุด ของทีมระดับแถวหน้าอย่างที่เห็นกันเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีทั้งอาร์เซน่อล และแมนฯ ซิตี้ ที่นำก่อนแล้วโดนไล่ เวสต์แฮม และฟูแล่ม ไล่ตีเสมอ รวมทั้งแอสตัน วิลล่า ก็ไม่รอดคมเขี้ยวหมาป่า วูล์ฟแฮมป์ตัน
 

ไม่นับที่หักแต้มกันเองอย่างศึก แดงเดือด เมื่อวันอาทิตย์ ต้องยอมรับว่าพรีเมียร์ลีกเปิดกว้างกว่าในรอบหลายปี
 

นี่ยังไม่นับตัวแปรอีกหลายอย่างยังรอท่าอยู่ข้างหน้า ทั้งโทษแบน อาการบาดเจ็บ
 

หรือแม้แต่ ไข้หวัด 2009 ที่ตอนนี้เริ่มระบาดระลอกใหญ่ในยุโรป
 

ไม่เว้นแม้แต่นักฟุตบอลค่าตัวแพงทั้งหลาย ที่ตอนนี้ต้องโร่หาหมอกันจ้าละหวั่น
 

เกมวันก่อนระหว่างโอลิมปิก มาร์กเซย กับปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในลีก เอิง ก็ต้องยกเลิกเพราะมีนักเตะเปแอสเช ติดหวัดร้ายจนเพื่อนต้องสวมหน้ากากกันเชื้อทั้งรถ
 

แบล็คเบิร์น มีทั้ง เดวิด ดันน์ กับคริสโตเฟอร์ แซมบ้า โดนเล่นงานจนไม่ได้เตะกับอาร์เซน่อล
 

โบลตัน เองก็ยอมรับว่าเคยมีกรณีแบบนี้มาก่อน เล่นเอาหลายเกมในศึกคาร์ลิ่ง คัพ กลางสัปดาห์นี้ มีเรื่องให้หวาดเสียวกันเล่นๆ ไปแล้ว
 

ยิ่งยุโรปเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวอันยาวนาน เหมาะกับการเพาะเชื้อเป็นพิเศษ บรรดาทีมลูกหนังทั้งหลายจะมองข้ามประเด็นนี้ว่าไม่ใช่ปัญหา เห็นทีจะไม่ได้เสียแล้วล่ะครับ


 
ชู้ตเอ๊าต์


src=http://www.siamsport.co.th/_PicOther/O091028E6O0R.jpg

สต๊าฟฟ์โค้ชและนักเตะเปแอสเชต้องสวมหน้ากากกันทั้งรถ


src=http://www.siamsport.co.th/_PicOther/O091028E9R9S.jpg

แฟนบอลปีเตอร์โบโร่ใส่หน้ากากกันเชื้อล้อเลียนขุนพลแบล็คเบิร์นในเกมคาร์ลิ่งคัพ



เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์