เวนเกอร์ ครบรอบ 13 ปีกับ Arsenal

เนื่องจากวันนี้เป็นวันสำคัญที่อาร์แซน เวนเกอร์ คุมทีมอาร์เซนอลครบ13ปี

จึงจะนำเสนอเรื่องราวของเวนเกอร์ สำหรับคนที่รู้และยังไม่รู้ด้วยครับผม




อาร์แซน เวนเกอร์ (Arsene Wenger) เป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลชาวฝรั่งเศส

เกิดเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ. 1949 ในเมืองสตราส์บูร์ก

ปัจจุบันเป็นผู้จัดการทีมของอาร์เซนอล เขาเป็นผู้จัดผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในเรื่องของจำนวนถ้วยรางวัลและระยะเวลาการคุมทีมที่นานที่สุดของอาร์เซนอล

เวนเกอร์เป็นผู้จัดการทีมที่ไม่ใช่พลเมืองของสหราชอาณาจักรคนแรกที่สามารถคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้ในอังกฤษ นั่นคือดับเบิ้ลแชมป์ในปี ค.ศ. 1998 และ ค.ศ. 2002 สำหรับในปี ค.ศ. 2004 นั้น
เขาเป็นผู้จัดการทีมคนแรกของประวัติศาสตร์ของเอฟเอ พรีเมียร์ลีกที่สามารถคุมทีมลงเล่นแล้วไม่แพ้ทีมใดในลีกเลยทั้งฤดูกาล จนกระทั่งอาร์เซนอลได้แชมป์ในปีนั้น ในด้านการศึกษานั้น เวนเกอร์นั้นจบปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมศาสตร์ และปริญญาโททางด้านเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแห่งเมืองสตราส์บูร์ก เวนเกอร์มีความสามารถในการพูดได้หลายภาษา โดยสามารถใช้ภาษาฝรั่งเศส, อัลซาเตียน, เยอรมัน และ อังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว และยังสามารถพูดภาษาอิตาลี, สเปน, ญี่ปุ่น ได้บ้างอีกด้วย


ช่วงชีวิตของการเป็นนักฟุตบอล

การเล่นฟุตบอลอาชีพของเวนเกอร์นั้นไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จเท่าไรนัก และแทบจะไม่มีใครเคยได้ยินชื่อของเขาเลย ต่างกับผู้จัดการทีมหลายคนที่เคยเป็นนักฟุตบอลระดับโลกมาก่อนที่จะผันตัวเองมาเป็นผู้จัดการทีม เขาเริ่มต้นอาชีพค้าแข้งสมัครเล่นในตำแหน่งกองหลังของสโมสรสมัครเล่นหลายสโมสรด้วยกันเมื่อครั้งที่ยังศึกษาในระดับปริญญาโททางด้านเศรษฐศาสตร์ ในปี ค.ศ. 1971

เวนเกอร์กลายเป็นนักเตะอาชีพครั้งแรกในปี ค.ศ. 1977 ในทีมอาร์ซี สตราส์บูร์ก นัดที่เจอกับโมนาโก เขาได้ลงเล่นให้กับต้นสังกัดเพียง 12 ครั้ง โดยในจำนวนนี้มีหนึ่งนัดที่ได้เล่นฟุตบอลรายการยูฟ่าคัพ ฤดูกาล 1978-79 ซึ่งเป็นการลิ้มลองรสชาติครั้งแรกและครั้งเดียวของเขาในรายการฟุตบอลยุโรป
ต่อมา ในปี 1981 นั้น เขาได้ได้รับใบอนุญาตการเป็นผู้จัดการทีมและได้รับมอบหมายให้ทำงานในส่วนของโค้ชทีมเยาวชนของสโมสร

ช่วงชีวิตของการเป็นผู้จัดการทีม

อาร์แซน เวนเกอร์รับตำแหน่งผู้จัดการทีมชุดใหญ่ครั้งแรกกับน็องซี่ในปี 1984 แต่ไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จเท่าไรนัก
ต่อมาเขาได้รับตำแหน่งผู้จัดการทีมของเอเอส โมนาโก ในปี 1987 และได้แชมป์ลีกในปี 1988 ซึ่งก็เป็นฤดูกาลแรกที่เข้ามาคุมทีมนั่นเอง จากนั้นก็คว้าแชมป์เฟรนช์คัพในปี 1991 เวนเกอร์เคยเซ็นสัญญาซื้อตัว Glean Hoddle, George Weah และ เจอร์เก้น คลิ้นซ์มันมาร่วมทีมอีกด้วย

ในปี 1994 เป็นปีที่โชคร้ายของเวนเกอร์ เมื่อเขาปฏิเสธข้อเสนอจากบาเยิร์น มิวนิคและการเป็นโค้ชทีมชาติฝรั่งเศส แต่โมนาโกจบฤดูกาลด้วยการเป็นอันดับ 9 ของตาราง ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่สโมสรตั้งเอาไว้ หลังจากนั้น เขาก็ถูกไล่ออก

ต่อมา เขาได้ย้ายไปประสบความสำเร็จกับช่วงเวลาสั้นๆ 18 เดือนกับทีมฟุตบอลในเจลีกของ ญี่ปุ่น คือ นาโงย่า แกรมปัส 8 โดยเวนเกอร์พาลูกทีมคว้าถ้วยพระราชทานสมเด็จพระจักรพรรดิ ซึ่งเป็นฟุตบอลชิงถ้วยของประเทศ นอกจากนั้นยังพาทีมที่เคยอยู่ในอันดับ 3 จากท้ายตารางขึ้นมาเป็นรองแชมป์ได้ในลีก

เวนเกอร์นั้นถือว่าเป็นคนที่โชคดีที่ได้เป็นเพื่อนกับคนที่จะได้เป็นรองประธานสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลในเวลาต่อมา นั่นคือ เดวิด ดีน ในคราวที่ทั้งสองได้พบกันเมื่อเวนเกอร์ไปชมเกมระหว่างอาร์เซนอลกับควีน พาร์ค เรนเจอร์ ในปี 1988

หลังจากที่ Bruce Rioch ได้ลาออกไปในเดือนสิงหาคม ปี 1996 เดวิด ดีนได้ชวนเวนเกอร์มาทำงานแทนในปี 1996 อาร์เซนอลยืนยันการว่าจ้างอาร์แซน เวนเกอร์เป็นผู้จัดการทีมในวันที่ 28 กันยายน ปี 1996 และเขาก็ได้เข้ามารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ตุลาคม ปีเดียวกันนั้นเอง

เวนเกอร์เป็นผู้จัดการทีมของอาร์เซนอลคนแรกที่มาจากประเทศนอกสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ แม้ว่าผู้อำนวยการทางเทคนิคที่มีศักยภาพของสมาคมฟุตบอลจะเป็นคนชักชวนให้เวน เกอร์มารับตำแหน่งนี้ แต่ในเวลานั้น แทบไม่มีใครในอังกฤษเลยที่รู้จักชื่อของคนๆนี้

ก่อนที่เวนเกอร์จะเข้ามาคุมทีมอย่างเป็นทางการนั้น เขาต้องวางแผนที่จะเสริมความแข็งแกร่งและเฉียบขาดของทีมก่อน เวนเกอร์ได้ร้องขอให้สโมสรเซ็นสัญญาปาทริก วิเอร่า มิดฟิลด์ชาวฝรั่งเศส และเรมี่ การ์ด
ในช่วง 1 เดือนก่อนที่จะเข้ามารับตำแหน่ง เกมแรกที่เขาคุมทีมลงเล่นคือเกมที่เอาชนะแบล็คเบิร์นโรเวอร์สไปได้ 2-0 เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ปี 1996

ฤดูกาลที่ 2 ที่เขาเข้ามาคุมทีมนั้น (ฤดูกาล 1997-98) เป็นฤดูกาลที่อาร์เซนอลสามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ชิพและเอฟเอคัพซึ่งเป็นการคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้เป็นครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์ของสโมสร (ฤดูกาลนั้นอาร์เซนอลทิ้งห่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดถึง 12 คะแนนทั้งๆที่แข่งน้อยกว่า 2 นัด) ความสำเร็จครั้งนี้ต้องให้เครดิตกับปราการหลังฉายา แบ็คโฟร์ ที่เป็นมรดกตกทอดมาถึงฤดูกาลนี้ทั้งโทนี่ อดัมส์, ไนเจล วินเทอร์เบิร์น, ลี ดิกซัน และ มาร์ติน คีโอว์น รวมไปถึงสตีฟ บูร์ด ปราการหลังอีกคนอีกคน และศูนย์หน้าเดนนิส เบิร์กแคมป์ ตำนานของสโมสรในเวลาต่อมาอีกด้วย และก็ต้องยกเครดิตให้กับนักเตะหน้าใหม่ที่เวนเกอร์ซื้อเข้ามา ไม่ว่าจะเป็น เอ็มมานูเอล เปอตีต์, ปาทริก วิเอร่า, มาร์ค โอเวอร์มาร์ส และศูนย์หน้าดาวยิง นิโคลาส์ อเนลก้า

ในช่วงหลายๆฤดูกาลต่อมา เวนเกอร์ทำหน้าที่กับอาร์เซนอลได้ดีแต่กลับไม่ได้แชมป์ตอนท้ายฤดูกาลเลย ในปี 1999 พวกเขาเสียแชมป์พรีเมียร์ชิพให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดโดยวันสุดท้ายของฤดูกาลพวกเขาตามอยู่เพียง 1 คะแนนเท่านั้น แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดยังเป็นทีมที่ทำให้อาร์เซนอลต้องตกรอบเอฟเอคัพในช่วงต่อเวลาพิเศษอีกด้วย จากนั้นอาร์เซนอลก็มาแพ้กาลาตาซารายในการดวลจุดโทษนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลยูฟ่าคัพ ในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอคัพ ปี 2001 อาร์เซนอลก็ต้องมาแพ้ให้กับสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล 2 ประตูต่อ 1 จากประตูของไมเคิล โอเว่นในช่วงท้ายเกม ในช่วงนี้ เวนเกอร์ยังได้นำนักเตะหน้าใหม่เข้ามาสู่ทีมเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการเซ็นสัญญาโซล แคมป์เบลล์จากท๊อทแน่ม ฮอตสเปอร์ส และนักเตะชื่อก้องโลกอย่างเฟร็ดดิก ลุงเบิร์ก, เธียร์รี อองรี และโรแบร์ ปิแรส

ขุนพลนักเตะชุดใหม่นี้ช่วยให้อาร์เซนอลในยุคของอาร์แซน เวนเกอร์นั้นสามารถคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้อีกครั้งหนึ่ง ช่วงเวลาที่ทำให้อาร์เซนอลได้แชมป์คือนัดรองสุดท้ายของฤดูกาลที่พบกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด อาร์เซนอลเอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปได้ 1-0 ซึ่งโดยรวมๆแล้วอาร์เซนอลเล่นได้ดีกว่า รอย คีน อดีตกัปตันทีมของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในชุดนั้นยังได้กล่าวถึงเกมนัดนั้นว่าเป็นการแข่งขันกันระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ นั่นก็คือฤดูกาล 2001/02 นั่นเอง

อาร์แซน เวนเกอร์ยังเคยพาอาร์เซนอลเป็นแชมป์ฟุตบอลเอฟเอคัพในปี 2003 และพาทีมอาร์เซนอลรักษา สถิติไม่แพ้ใครทั้งฤดูกาลได้และสถิติยิงประตูทุกนัดที่ลงทำการแข่งขันใน พรีเมียร์ชิพจนทำให้คว้าแชมป์อย่างยิ่งใหญ่ในฤดูกาล 2003/04 อีกด้วย

หลังจากนั้น อาร์แซน เวนเกอร์ก็นำถ้วยเอฟเอคัพมาสู่สโมสรอาร์เซนอลได้อีกครั้งในปี 2005 ทำให้อาร์เซนอลได้แชมป์พรีเมียร์ลีก 3 สมัยและเอฟเอคัพ 4 สมัยภายใต้การคุมทีมของเวนเกอร์ นับว่าเขาเป็นผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์อาร์เซนอลเมื่อนับตามถ้วยรางวัลที่ได้มา
อย่างไรก็ตาม เวนเกอร์ก็ยังไม่เคยได้แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รายการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุโรปมาครองได้ โดยเขาพาทีมเข้าไปใกล้คำว่าแชมป์มากที่สุดในฤดูกาล 2005/06 ที่อาร์เซนอลเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร แต่กลับแพ้ให้กับบาร์เซโลนา 2-1 อย่างน่าเสียดาย

ในเดือนตุลาคม ปี 2004 เขาได้เซ็นสัญญาว่าจะอยู่กับสโมสรไปจนจบฤดูกาล 2007/08 โดยเดวิด ดีน รองประธานสโมสรอาร์เซนอลวางแผนว่าจะยื่นข้อเสนอให้อาร์แซน เวนเกอร์เข้ามาเป็นบอร์ดบริหารสโมสรเมื่อครั้งที่เขาวางมือจากตำแหน่งผู้จัดการทีมไปแล้ว

อนาคตอาชีพผู้จัดการทีมของเวนเกอร์เริ่มไม่แน่นอนเมื่อครั้งที่เดวิด ดีนได้ ลาออกจากบอร์ดบริหารของอาร์เซนอลเมื่อวันที่ 18 เมษายน ปี 2007 ซึ่งเดวิด ดีนคือหนึ่งในบอร์ดบริหารที่เวนเกอร์ใกล้ชิดมากที่สุดจนเกิดกระแสว่าเวน เกอร์อาจจะไปคุมทีมที่สโมสรอื่นหรืออาจจะวางมือจากวงการฟุตบอล อย่างไรก็ตาม วันที่ 6 กันยายน 2007 อาร์แซน เวนเกอร์ได้ตกลงเซ็นสัญญา 3 ปีฉบับใหม่กับอาร์เซนอล สัญญานี้มีมูลค่าถึง 4 ล้านปอนด์และทำให้แฟนบอลอาร์เซนอลที่เคยคิดว่าเขาจะออกจากสโมสรตอนท้ายฤดูกาลเมื่อสัญญาหมดลงได้มั่นใจขึ้นอย่างมากว่า เขาจะยังอยู่กับอาร์เซนอลต่อไปอีก

สไตล์และปรัชญาการทำทีม

เวนเกอร์ได้ชื่อว่าเป็นโค้ชที่ใช้เวลาไปกับการสร้างทีมที่สามารถผสมผสาน ระหว่างการไล่ล่าแชมป์กับความต้องการที่จะสร้างความเพลิดเพลินให้กับผู้ชม ด้วยเกมรุกเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว
เดอะไทมส์ได้กล่าวไว้ว่าในฤดูกาล 2003-04 ที่เขาประสบความสำเร็จนั้น เวนเกอร์สร้างความสำเร็จมาจากการเน้นเกมรุกที่เร้าใจ สไตล์การเล่นของลูกทีมเขานั้นมักจะถูกมองว่าแตกต่างไปจากทีมคู่แข่ง
แต่ในทางตรงข้าม ก็มักโดนวิพากษ์วิจารณ์ว่าขาดสัญชาตญาณความเป็นนักฆ่า แม้ว่าเวนเกอร์จะนิยมใช้แผนการเล่นแบบ 4-4-2
แต่ต่อมา นับตั้งแต่ปี 2005 เขาก็เริ่มใช้แผนการเล่นแบบ 4-5-1 มากขึ้นเรื่อยๆ โดยทิ้งกองหน้าไว้คนเดยวและเน้นในแดนกลางสนามมากกว่า ซึ่งจะเห็นบ่อยในยามที่ต้องเล่นในสนามที่กว้างขึ้นอย่างเอมิเรตส์สเตเดียมหรือในเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่สำคัญๆ

อาร์แซน เวนเกอร์ มีชื่อเสียงอย่างมากในการปั้นเด็กที่มีพรสวรรค์ที่ยังไม่ค่อยมีคนรู้จักให้ สามารถแจ้งเกิดในวงการฟุตบอลได้อย่างยิ่งใหญ่
เมื่อคราวที่คุมทีมอาร์เซนอล เวนเกอร์ก็ได้นำนักเตะดาวรุ่งเข้ามามากมาย ซึ่งในขณะที่เขาเซ็นสัญญากับนักเตะเหล่านี้ แทบจะไม่มีใครได้ยินชื่อของพวกเขามาก่อนเลย ไม่ว่าจะเป็น ปาทริก วิเอรา, เชสก์ ฟาเบรกัส, โรบิน ฟาน เพอร์ซี และโคโล ตูเร เขาได้ปั้นนักเตะเหล่านี้ขึ้นมา ช่วยเหลือให้พวกเขาสามารถเติบโตขึ้นเป็นนักเตะระดับโลกได้ในที่สุด สถิติที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือ กองหลังของอาร์เซนอลชุดหนึ่งเคยสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยการทำสถิติ ไม่เสียประตูในเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกติดต่อกันถึง 10 นัดในฤดูกาล 2005-06 จนสามารถเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศไปพบกับบาร์เซโลนาได้ ทั้งๆที่กองหลังชุดนี้มีค่าตัวรวมกันไม่ถึง 5 ล้านปอนด์ด้วยซ้ำไป

แม้ว่า เวนเกอร์จะใช้จ่ายเงินจำนวนมหาศาลไปในการเซ็นสัญญานักเตะเข้ามาร่วมทีมอา ร์เซนอล แต่สถิติการใช้จ่ายเงินของเขานั้นถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับทีมชั้นนำของ พรีเมียร์ชิพทีมอื่นๆ

นอกจากเรื่องการปั้นนักเตะโนเนมให้เป็นนักเตะระดับโลกแล้ว เวนเกอร์ยังมีความสามารถในการช่วยให้นักเตะที่มากประสบการณ์แต่กำลังอยู่ใน ช่วงขาลงสามารถกลับมายิ่งใหญ่ในวงการฟุตบอลได้อีกครั้งหนึ่งที่อาร์เซนอล ไม่ว่าจะเป็น เดนนิส เบิร์กแคมป์ นักเตะที่เซ็นสัญญามาเล่นในลอนดอนเหนือก่อนหน้าที่เวนเกอร์จะเข้ามาคุม 1 ปีก็สามารถก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิตได้เมื่อเวนเกอร์เข้ามาบริหารทีม นอกจากนั้น เวนเกอร์ก็ยังเคยนำอดีตเด็กปั้นของเขาที่โมนาโกอย่างเธียร์รี อองรีมา โลดแล่นในวงการฟุตบอลที่อาร์เซนอลจนสามารถเป็นนักเตะระดับโลกได้ในที่สุด โดยสร้างสถิติดาวซัลโวสูงสุดของสโมสรและยังเคยเป็นกัปตันทีมของอาร์เซนอลอีกด้วย

นอกจากนั้น เวนเกอร์ยังเป็นคนที่เข้ามาปฏิวัติเรื่องการฝึกซ้อมและเรื่องการควบคุมอาหาร ของทีมอีกด้วย เขาสั่งห้ามนักเตะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสนามซ้อมรวมไปถึงห้ามรับประทาน อาหารขยะที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย

เวนเกอร์ได้รับการสนับสนุนจากแฟนบอลของอาร์เซนอลอย่างมาก แฟนคลับของสโมสรศรัทธาในความสามารถของผู้จัดการทีมคนนี้และศรัทธาในวิสัย ทัศน์ของเขาในระยะยาว แฟนบอลของไอ้ปืนใหญ่มักจะพูดว่า Arsene Knows (อาร์แซนรู้) และ In Arsene We Trust (เราเชื่ออาร์แซน) ซึ่งเป็นคำพูดที่ยืนยันว่าเขาได้รับความนิยมในหมู่แฟนบอลอย่างมาก แฟนบอลกลุ่มนี้มากจะพูดซ้ำๆและกลายเป็นคำขวัญของฝูงชนที่เอมิเรตส์สเตเดียมไปแล้ว ในพิธีอำลาสนามไฮบิวรีเมื่อ ฤดูกาล 2005-06 นั้น แฟนบอลได้แสดงความประทับใจในตัวผู้จัดการทีมคนนี้มากด้วยการกำหนด วันเวนเกอร์ (Wenger Day) ซึ่งตรงกับวันเกิดครบรอบ 56 ปีของเขาคือวันที่ 22 ตุลาคม

เกียรติยศกับ Arsenal

ชนะเลิศ

* พรีเมียร์ลีก (3): 1998, 2002, 2004
* เอฟเอคัพ (4): 1998, 2002, 2003, 2005
* คอมมิวนิตีชิลด์ (4): 1998, 1999, 2002, 2004
* ผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมแห่งปี สมาคมฟุตบอลอังกฤษ (3): 1998, 2002, 2004

รองแชมป์

* พรีเมียร์ลีก (5): 1999, 2000, 2001, 2003, 2005
* เอฟเอคัพ (1): 2001
* ลีกคัพ (1): 2007
* คอมมิวนิตีชิลด์ (2): 2003, 2005
* ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก (1): 2006
* ยูฟ่าคัพ (1): 2000

รางวัลส่วนบุคคล

* โค้ชยอดเยี่ยมแห่งปี Onze d'Or : (4) 2000, 2002, 2003, 2004
* ผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมแห่งปี สมาคมฟุตบอลอังกฤษ : (3) 1998, 2002, 2004
* ผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือน สมาคมฟุตบอลอังกฤษ : 10 ครั้ง
* ผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมแห่งปี LMA : (2) 2001-02, 2003-04
* โค้ชกีฬายอดเยี่ยม สำนักข่าวบีบีซี : (2) 2002, 2004


In Arsene we trust, In Arsenal we believe

Credit : คุณ mydisgraceful  แห่ง lentee
















ขอบคุณรูปสวยๆจาก คุณ GunNer KID.โน้ส จาก gunnerthailand

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์