incubus

สำหรับหลายๆคนที่สนใจในดนตรีแนวร็อค หรือที่เป็นนักดนตรี แนวร็อคในแถบ เซาท์ แคลิฟอร์เนีย (South California) มักจะผูกตัวเองกับความคิดที่ว่า นักดนตรีร็อค ที่เก่ง และมี ความสามารถส่วนใหญ่มัก จะมาจากเมืองดังๆอย่าง ออร์เร้นจ์ เคาน์ตี้ (Orange County), ลองบีช (Long Beach) หรือ ซานดิเอโก (San Diego) เพราะฉะนั้น มันออกจะดูแปลกๆไป ซักหน่อยที่จะพบกับดนตรีแนวนี้ หรือ วงแร็ป ในย่านชานเมือง ที่ไม่ค่อยเปฦ็นที่รู้จักอย่างเมือง ซาน เฟอร์นานโด วาเล่ย์ (San Fernando Valley)
การเป็นที่นิยมในเมืองนี้ (ไม่ว่าจะเป็นหนังหรือเพลงที่ถูกพูดถึง ก็ตาม) มักจะต้องขึ้นกับห้างสรรพสินค้า หรือแหล่งรวมวัยรุ่น (ที่มักจะมีวัยรุ่นที่ทาขอบตาดำสนิท และมีท่าทางน่ากลัวอยู่ตาม ร้านขายแผ่นเสียง) แต่ก็ไม่เชิงที่สถานที่เหล่านั้นจะเป็นแหล่งที่ จะพบนักดนตรีที่มีพรสวรรค์ในแถบนี้ได้ คาราบาซาส (Calabasas), คาริฟ (Calif) หนึ่งในเมืองที่มั่งคั่งที่สุดใน ย่านนั้น ยิ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะมีนักดนตรีร็อคอยู่ แต่ก็ต้อง ยอมรับว่าสมาชิกของวง อินคิวบัส (Incubus) เกิดและเติบโต ในที่แห่งนี้
กลุ่มเพื่อนชั้นประถมอย่าง แบรนดอน บอยด์ (Brandon Boyd) นักร้องนำ, และ โจเซ่ พาซิราส (Jose Pasillas) มือกลอง ได้พบกับ ไมค์ เอียนซิเกิล (Mike Einziger), มือกีตาร์ (ผู้ซึ่งครอบครัว ของเค้ากำลังเป็นกังวลเกี่ยวกับที่เค้า ไม่ชอบสังคมกับใคร และใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการซ้อมดนตรี อยู่คนเดียวในช่วง ม.ต้น) หลังจากทั้ง 3 หนุ่มได้เข้าเรียนใน ระดับ ม. ปลาย พวกเค้าก็ได้ชักชวน อเล็กซ์ คัททูนิช (Alex Katunich) ซึ่งเล่นเบสในแนวแจ็ส มาร่วมวงกับพวกเค้าด้วย และในปี 2534 (ประมาณเกรด 10) พวกเค้าได้ตัดสินใจ และ คิดว่าพวกเค้าพร้อมที่จะเดินทางในสายดนตรีต่อไปในอนาคต
แต่พวกเค้าลืมไปว่า ไม่มีใครในวงที่สามารถขับรถได้เลยแม้ แต่คนเดียว (โดยบอยด์ยอมรับว่า ในตอนนั้นดูเหมือนว่าภาระ อันใหญ่หลวงได้ตกแก่เค้า เพราะเค้าเป็นคนแรกที่อายุครบ 16 ปี ซึ่งสามารถขับรถได้) วง Incubus ที่เพิ่งเริ่มก่อตั้งขึ้น (ตั้งชื่อ ตามชื่อของปีศาจร้ายที่คอยครอบงำจิตใจคน, ซึ่งบอยด์ เชื่อว่า ชื่อนี้จะต้องทำให้พวกเค้าดังเป็นพลุแตกแน่ๆ) พวกเค้าเริ่มต้น หาประสบการณ์ในการแสดงตามปาร์ตี้ต่างๆในระแวกบ้านของ พวกเค้า หลังจากนั้นประมาณ 1 ปี พวกเค้าก็ได้เข้าไปเล่นใน ผับที่ผู้คนหลากหลายวัยมักจะไปเที่ยวกันในเมืองนั้น ไม่ทราบ ว่าด้วยความบังเอิญ หรือ โชคชะตา ทำให้ เอียนซิเกิล พบ ธนบัตร 100 เหรียญตกอยู่ที่พื้น และเค้าก็ได้ใช้มันในการเช่า สถานที่กับ ฮอลลี่วู้ด ซันเซ็ต สตริพ คลับ (Hollywood Sunset Strip Club) ในการเปิดการแสดงของพวกเค้า และ ซื้อบัตรเพื่อมาขายต่อให้กับเพื่อนฝูง และแฟนเพลงของพวกเค้า ซึ่งนับว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะมันทำให้วงของพวกเค้า ดังไปทั่ว และบัตรการแสดงก็ขายหมดในพริบตา
สี่ปีให้หลังพวกเค้าก็ยังคงแสดงในที่ต่างๆมากที่สุดเท่าที่พวกเค้า จะทำได้ ซึ่งในการแสดงครั้งหนึ่ง เกวิน คอพเพล (Gavin Koppel) ซึ่งเป็นดีเจที่รู้จักกันในนาม ดีเจ ไลฟ์ (DJ Lyfe) ก็เป็นคนหนึ่งผู้ชมการแสดง ในครั้งนั้น และ เกวินก็สนใจใน สิ่งที่เค้าได้ยินเป็นอย่างมาก และต้องการที่จะได้ร่วมงานกับ Incubus เค้าจึงได้ติดต่อ และสอบถามว่าวงจะสนใจมั้ยถ้าเค้าจะ ลองผสมผสานดนตรีแนวฮิพฮอพ เข้ากับดนตรีเฮฟวี่ของ Incubus ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน ไลฟ์ ก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของ สมาชิกวง Incubus และเค้าก็ได้พิสูจน์ว่าเป็นส่วนหนึ่งในการ ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับวง ในช่วงปลายปี 2538 Incubus ได้เซ็นสัญญากับ Immortal Records ซึ่งเป็น ค่ายเพลงเดียวกับวงร็อครุ่นพี่อย่างวง KORN
พวกเค้าเริ่มต้นจากการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทางดนตรีใน ฐานะผู้ติดตาม ก่อนที่จะส่งผลงานเต็ม (EP) ชิ้นแรก เอ็นจอย อินคิวบัส (Enjoy Incubus) ออกมาให้ได้ฟังกัน ตามมาด้วย การออกทัวร์เล็กๆเพื่อโปรโมต ผลงานชิ้นนี้ ไปพร้อมๆกับที่ พวกเค้ารวบรวมเพลงที่สมบูรณ์ และเหมาะสมกับอัลบั้มต่อมา ของพวกเค้า เอส.ซี.ไอ.อี.เอ็น.ซี.อี (S.C.I.E.N.C.E) ที่ออก ในปี 2540 และตั้งแต่นั้นมา Incubus ก็ได้เริ่มออกทัวร์ร่วมกับ วง คอร์น (Korn), วง ชูการ์ เรย์ (Sugar Ray) และได้ร่วม แสดงในสุดยอดเทศกาลดนตรีร็อคอย่าง อ็อซเฟส (Ozzfest) พวกเค้าได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้นเมื่อพวกเค้าได้รับการ ยอมรับ
อย่างเป็นทางการในฐานะวงเปิดให้กับวง Korn ในการออกทัวร์ คอนเสิร์ต ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกับที่ ดีเจ ไลฟ์ ได้แยกตัวออกจาก วงและถูกแทนที่โดย ดีเจ คริส คิลมอร์ (DJ Chris Kilmore) ด้วยแรง ผลักดัน และการเข้าถึงจิตใจซึ่งกันและกันทีละเล็กทีละ น้อย พวกเค้า ได้กลับเข้าทำงานในห้องอัดอีกครั้ง เพื่อส่งผลงาน ชุดถัดมา เมค ยัวร์เซล์ฟ (Make Yourself) ในปี 2542 และ ได้เริ่มออกทัวร์อีกครั้ง ก่อนที่จะมาหยุดแสดง ในงานเทศกาล Ozzfest ปี 2543 ซึ่งพวกเค้าได้ ทำให้ผู้ฟังภายในงานได้รู้ว่า ซิงเกิ้ล พาร์ดอน มี (Pardon Me ) ของ พวกเค้ากำลังจะเป็น ที่นิยมในอนาคต ถึงแม้ว่าอัลบั้ม Make Yourself จะทำได้แค่ เกือบจะเข้า ชาร์ต Top 50 อัลบั้ม แต่มันก็ยังมียอดขายที่คงที่ จนที่ให้อยู่ในระดับ Double-Platinum ส่วนซิงเกิ้ลที่ 2 สเตลล่า (Stella) ก็ไม่ได้รับความนิยมมากนักในสถานีวิทยุ เพลงร็อคและก็ยัง ไม่มี เพลงใดในอัลบั้มชุดนี้ที่เป็นที่นิยม จนกระทั้งปี 2544 ไดร์ฟ (Drive) ก็เป็นเพลงแรกของพวกเค้า ที่ได้รับความสำเร็จจนติด อันดับ Top 10 ในป็อปชาร์ต กลุ่มของ ผู้ที่ชื่นชอบวง Incubus ได้เริ่มขยายวง กว้างมากยิ่งขึ้นเมื่อ พวกเค้าได้ร่วมแสดงในงาน โมบี้ แอเรีย (Moby’s Area) ในช่วงหน้าร้อน ในขณะที่ Drive ยังได้รับความนิยมอยู่ Incubus ก็ได้ออกอัลบั้มใหม่ มอร์นิ่ง วิว (Morning View) ในช่วงฤดู ใบไม้ร่วงปี 2544 และอัลบั้มนี้ก็สามารถเข้าสู่ชาร์ตในอันดับที่ 2
เป็นที่ยอมรับกันได้เลยว่า ความสำเร็จของ Incubus นั้นมาจากความ บากบั่นเพียรพยายามของพวกเค้า จนได้มายืนอยู่ที่จุดนี้ได้ ไม่ว่าจะ เป็นซิงเกิ้ล วิช ยู เวิล เฮียร์ (Wish You Were Here), ไนส์ ทู โน ยู (Nice to Know You) และ วอร์นนิ่ง (Warning) ต่างได้รับ ความนิยมอย่างมากทางสถานีวิทยุเพลงร็อค จนทำให้พวกเค้าต้องออก ทัวร์ตามที่ต่างๆมากมาย แต่คราวนี้ไม่ใช่ในฐานะวงเปิดอีกต่อไป แต่ เป็นการออกแสดงในฐานะวงดนตรีร็อคชั้นนำ ในช่วงปี 2546 Incubus ก็ต้องพบกับปัญหาความ ไม่ลงตัวในเรื่องของสัญญาที่ทำกับค่าย โซนี่ จนเป็นเรื่องฟ้องร้องเพื่อยกเลิก ข้อตกลงทั้งหมด ภายใต้กฎหมาย แรงงานของรัฐ California และในเดือน เมษายน วงก็ได้ออกมาแถลง ข่าวเกี่ยวกับการแยกตัวของมือเบส เดิร์ก แลนส์ (Dirk Lance) และในวันเดียวกันนั้นเอง ไมค์ เอซิเกิ้ล ได้ติดต่อให้เพื่อนจากสมาคม ทำหนังของเค้า เบน เคนนี่ (Ben Kenney) มาทำหน้าที่แทนตั้งแต่ นั้นเป็นต้นมา
Stellar - Incubus - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่

Wish you Were Here - Incubus - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่

Warning - Incubus - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์