บทเรียนสำหรับเวนเกอร์

บทเรียนสำหรับเวนเกอร์

หมดรูป ห่างชั้น บอลคนละเท้า....เหล่านี้คือสิ่งที่เกิดในความรู้สึกของคนที่ได้เห็นความปราชัยอย่างย่อยยับของ ปืนใหญ่ ที่ถูก ปีศาจแดง บุกมากระทำชำเราถึงเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม



มันเป็นความพ่ายแพ้ที่จะว่าทำใจยอมรับโดยง่ายก็ได้ จะว่ายากจะทำใจก็ได้เหมือนกัน


ง่ายเพราะแพ้อย่างสู้ไม่ได้อย่างสิ้นเชิง แต่ก็ยากที่จะยอมรับความจริงว่าต่อให้วูบวาบแค่ไหน บรรดา ยังกันส์ ของอาร์แซน เวนเกอร์ ก็ยังเป็นแค่ ละอ่อนน้อย สำหรับคู่แข่งในระดับท็อปโฟร์ด้วยกันอยู่ดี


โดยเฉพาะเมื่อเจอกับทีมที่พิษสงรอบตัวอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เหมือนอสูรผสมพันธุ์กับอสรพิษทำให้ร้ายกาจชนิดหาตัวจับได้ยาก เด็กน้อยอ่อนต่อโลกของเวนเกอร์ จึงไม่สามารถจะต่อกรได้จริงๆ


ความจริงในเกมแรกที่พบกันที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด เราก็ได้เห็นอยู่แล้วว่าอาร์เซนอล สู้ชั้นเชิงและความเขี้ยวของแมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้เลยจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ส่วนไหนของสนาม ดีที่มานูเอล อัลมูเนีย เข้าฟอร์มพอดีก็เลยทำให้รอดกลับมาได้โดยเสียแค่ประตูเดียว


สถานการณ์ตรงนั้นไม่แปลกที่แฟนกันเนอร์ส จะคาดหวังว่าทีมจะพลิกกลับมาเป็นฝ่ายชนะ 2-0 และได้เข้าชิงชนะเลิศที่กรุงโรม ในช่วงปลายเดือนนี้


แม้กระทั่งช่วงเริ่มต้นเกมที่อาร์เซนอล ตบเกียร์สูงไล่บี้แมนฯ ยูไนเต็ด อย่างเมามันนั้น ความหวังนั้นก็ยังอยู่


อย่างไรก็ดี โชคดูจะไม่เข้าข้างพวกเขามากนัก และความผิดพลาดของคีแรน กิ๊บบ์ส ที่สวนทางกับความเฉียบขาดของพาร์ค ชี ซอง มันคือ หายนะ ดีๆของเหล่ากันเนอร์สนี่เอง


ประตูนี้ทำให้ โมเมนตัม เทไปที่ทีมของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทั้งหมด


และเทพีแห่งโชคก็ดูจะรีบส่งยิ้มให้เฟอร์กี้ เหลือเกิน กับฟรีคิกในนาทีที่ 11 ของโรนัลโด้ ซึ่งมันอาจจะไม่สวยเหมือนประตูที่ยิงดับปอร์โต้ คาเอสตาดิโอ ดู ดราเกา ที่ต้องยอมรับว่า งง มากที่ยิงเข้าไปได้แบบนั้น


แต่มันก็สวยและคมพอที่จะผ่านมืออัลมูเนีย และเป็นการตีตั๋วจองที่พักในโรมล่วงหน้าทันที


2 ประตูที่ได้มาอย่างรวดเร็วในเวลาแค่ 11 นาที และระยะเวลาที่ห่างกันแค่ 3 นาทีนั้น ดูผิวเผินเหมือนจะมาเพราะโชคช่วยด้วยส่วนหนึ่ง แต่มองให้ลึกเข้าไปจะพบว่า นี่แหละคือ ความเด็ดขาด ที่แมนฯ ยูไนเต็ด มีแต่ทีมอื่นไม่มี


ปีศาจแดง พ.ศ. นี้ไม่ต้องเน้นรุกลุยแหลกอะไรให้มากมายเหมือนสมัยก่อนที่ต้องบี้ให้ตายกันไปข้าง เดี๋ยวนี้ขอแค่จังหวะเน้นๆมาแบบนี้ รับรองว่ามีลุ้นได้ประตู ซึ่งจะสังเกตได้ว่าตลอดเกมที่เอมิเรตส์ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้ยิงนกตกปลาให้เห็นเท่าไหร่เลย


เรียกว่าถ้าลองง้างเท้า ต้องเข้ากรอบและได้ลุ้นประตู


ความคมที่แตกต่าง ผสานกับความเขี้ยวที่ห่างชั้นกันระหว่างแผงกองกลางของแมนฯ ยูไนเต็ด ที่มี ไมเคิล คาร์ริค เป็นนายท้ายคอยคุมทิศทางการเคลื่อนไหวของบอลและการเดินทางของเวลา โดยมีลูกหาบคนขยัน 2 คนคือ ดาร์เรน เฟล็ตเชอร์ และ อันแดร์สัน สามารถสะกดกองกลางแนว ห้องเครื่อง ที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของโลกอย่าง เซสก์ ได้อย่างสนิท


ให้ความรู้สึกเหมือนจับ ปืน ถ่วงไหแล้วสะกดวิญญาณไว้ชอบกล


ร้ายไปกว่านั้นคือคู่หูของเซสก์ ในเกมนี้คืออเล็กซานเดอร์ ซง กระดูกอ่อนมากเมื่อเทียบกับบอลระดับนี้ ดังนั้นพื้นที่กลางสนามที่เคยเป็นจุดแข็งของอาร์เซอล ก็เลยยิ่งถูกล็อกกลอนตายสนิท


เมื่อเซสก์ ถูกตัดออกจากเกม ความน่ากลัวของอาร์เซนอล ก็ลดหายไปกว่าครึ่ง ส่วนอีกครึ่งคือลวดลายแพรวพราวของนักเตะกันเนอร์ส ไม่ว่าจะเป็นเอ็มมานูเอล อเดบายอร์, โรบิน ฟาน เพอร์ซี่, ซามีร์ นาสรี่ หรือธีโอ วัลค็อตต์ ถูกเกมเพรสซิ่งและใช้การประกบแบบ ดับเบิลมาร์ค


และที่ชัดเจนมากก็คือในแนวรับไม่มีใครดีพอที่จะสะกดโรนัลโด้ ได้เลย


อาการหมดรูปของอาร์เซนอล ยังเกิดขึ้นเพราะการโดนทุบหัว 2 ทีติดๆกันในช่วงต้นเกม ทำให้จิตใจง่อนแง่น เล่นตามเกมตัวเองไม่ได้


สุดท้ายก็อย่างที่เห็น กลายเป็นเกมเข้าทางแมนฯ ยูไนเต็ด ที่ทำอะไรก็ดีไปหมด และคว้าชัยชนะได้อย่างง่ายดาย โดยอาร์เซนอล ได้แค่รางวัลปลอบใจกับจุดโทษและได้แอบสมน้ำหน้าเฟล็ตเชอร์ ที่โดนใบแดงแบบไม่จำเป็นเท่านั้น


อย่างไรก็ดี การพ่ายแพ้หมดรูปครั้งนี้น่าจะเป็นบทเรียนอีกครั้งสำหรับ เวนเกอร์ ที่บางทีควรจะทบทวนตัวเองอย่างจริงจังดู


นโยบายการปั้นเด็กขึ้นมาประดับทีมชนิดที่ให้โอกาสมากที่สุด แจกทุนกันกลื่อนกลาดยกทีมแบบนี้ จะว่าดีก็ดี มันก็เป็นสีสันที่แฟนๆชอบดู เพราะขึ้นชื่อว่าดาวรุ่งใครๆก็เอาใจช่วยทั้งนั้น


แต่ความล้มเหลวหลายปีที่ผ่านมา มันมากและนานเกินไปสำหรับทีมอย่างอาร์เซนอล ที่ไม่ควรจะได้รับแค่คำชมว่าเล่นบอลสวยอย่างเดียว


หากมองไปที่ความสำเร็จของแมนฯ ยูไนเต็ด ในวันนี้เกิดจากการที่เฟอร์กี้ พยายามปรับเปลี่ยนทีมตลอดเวลาตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป โดยช่วงก่อนนี้ก็เน้นเรื่องการเสริมสตาร์เข้าทีมจนโดนกล่าวหาว่าเอาแต่ซื้อตัว แต่พอ 1-2 ฤดูกาลหลังก็เริ่มดันเด็กขึ้นมาประดับทีมมากขึ้น อย่างที่เห็นทั้ง จอนนี่ อีแวนส์, ราฟาเอล-ฟาบิโอ ดา ซิลวา, แดนนี่ เวลเบ็ค หรือที่กำลังมาแรงอย่าง เฟเดริโก้ มาเคด้า


การตะบี้ตะบันใช้ดาวรุ่งอย่างเดียวโดยไม่สนนักเตะที่มีประสบการณ์ มันสวยงามในเชิงทฤษฎีก็จริง แต่มันก็เป็นทฤษฎีที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าในอนาคตข้างหน้าจะนำความสำเร็จมาสู่ทีมอย่างจริงจัง


อาร์เซนอล ในวันนี้สภาพเป็นรองทีมคู่แข่งมากขึ้นทุกที สังเกตได้ว่าเตะกับท็อปโฟร์ทีไรต้องเป็นรองเกือบตลอด แม้แต่การเจอกับลิเวอร์พูล ที่เคยต่อบอลไล่ต้อนกันอย่างสนุกสนาน ก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นการฉวยจังหวะเล่นทีเผลอเอาแทน กลับเป็นหงส์แดงเสียอีกที่บุกเอาๆอย่างเมาตีน


สิ่งเหล่านี้ เรื่องเหล่านี้ ไม่ใช่การพูดกันครั้งแรก เพราะมีการพูดกันหลายครั้งแล้ว ไม่ว่าจะสื่อไทยหรือสื่อเทศก็พูดไปในทิศทางใกล้เคียงกัน


อาร์เซนอล จะต้องหาคนที่เป็น เสาหลัก ของทีมมาช่วยแบ่งเบาภาระของเซสก์ โดยเฉพาะในแดนกลางที่สำคัญมาก อาจจะหวนกลับไปมองนักเตะอย่างแกเร็ธ แบร์รี่ หรือไปลุ้นเอาชาบี้ อลอนโซ่ อีกรอบก็ได้ แต่ห้ามปล่อยให้เซสก์ ต้องจับคู่กับอเล็กซานเดอร์ ซง หรืออาบู ดิยาบี้


ที่ผ่านมาเวนเกอร์ สอนสั่งศิษย์มามากมาย เป็น ครูใหญ่ ที่น่านับถือที่สุดในวงการฟุตบอล


แต่วันนี้ถึงคราวที่เขาควรจะกลับมาเปิดตำราศึกษาความผิดพลาดของตัวเองดูบ้าง โดยเฉพาะแนวนโยบายที่เถรตรงเกินไป


เวนเกอร์ ต้องปรับทีมครั้งใหญ่ในช่วงซัมเมอร์นี้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไปและไม่เหลือซูเปอร์สตาร์คนไหนที่จะเชื่อว่าอาร์เซนอล ยังมีความ ทะเยอทะยาน อยากจะประสบความสำเร็จอยู่


โดยเฉพาะ เซสก์ ที่หากจากทีมไปอีกคน ก็ไม่อยากคิดภาพเลยว่ากันเนอร์ส จะเป็นอย่างไร...
ข้อมูลจาก : MSN ฟุตบอล


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์