สุดยอดกองกลาง(3)

มาร์กอส เซนน่า&มาร์กอส เซนน่า

กระทู้สุดท้ายสำหรับวันนี้ครับ มาดูสุดยอดกองกลางกันต่อเลยคับ

มาร์กอส เซนน่า
มาร์กอส อันโตนิโอ เซนน่า ดา ซิลวา เกิดที่ซาน เปาโล ประเทศบราซิล โดยในช่วงเริ่มต้นชีวิตค้าแข้ง เขาหาประสบการณ์กับหลายๆ ทีมในถิ่นเกิด ไม่ว่าจะเป็นริโอ บรังโก้ ตั้งแต่ปี 1997-99 ก่อนโยกมาเล่นให้อเมริกา เอสพี (1999-00), โครินเธียนส์ (2000-01) และยูเวนตูเด้ ในปี2001 โดยเจ้าตัวเริ่มฉายแววให้เป็นที่ประจักษ์ ในการร่วมคว้าแชมป์สโมสรโลกของฟีฟ่าในปี 2000 กับโครินเธียนส์ด้วย ปี 2002 เจ้าตัวย้ายมาเซา กาเอตาโน่ แต่ไม่ทันจะได้ลงเล่น ก็ถูกบียาร์เรอัลซื้อตัวมาร่วมทีมในปีเดียวกันนั้น เขาเป็นคีย์แมนสำคัญช่วยพาทีมเรือดำน้ำสีเหลืองสร้างประวัติศาสตร์ทะลุเข้าถึงรอบรองชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกในฤดูกาล 2005-06มาแล้ว วันที่ 27 เม.ย.2008 เซนน่ายิงประตูจากกลางสนามในเกมลาลีกาที่เจอกับเรอัล เบติส ซึ่งได้รับการยกย่องเป็นประตูที่สวยงามเหนือชั้น ขณะที่เซนน่าเองก็ยอมรับว่า นี่คือประตูที่ดีที่สุดในชีวิตผม เซนน่าได้รับสัญชาติสเปนในราวต้นปี2006 หลังจากที่อยู่โยงเล่นในลีกกระทิงดุมา 4 ปีเต็มๆ  เขาได้รับเรียกติดธงกระทิงดุทันที ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป ตกลงรับใช้สเปน และร่วมทัพไปลุยฟุตบอลโลก 2006 ด้วย เซนน่าถูกเรียกตัวไปติดทีมชาติสเปนชุดลุยยูโร 2008 ด้วย เขารับหน้าที่ยิงจุดโทษเป็นคนที่ 3 เข้าไป ช่วยให้ทัพกระทิงดุเป็นฝ่ายชนะอิตาลีจากการดวลลูกนิ่งไป4-2 หลังเสมอกันในเวลา 0-0 เขายืนหยัดลงเล่น 90 นาทีเต็มในเกมนัดชิงชนะเลิศ ซึ่งอย่างที่ทราบกันว่าสเปนเป็นฝ่ายเฉือนชนะเยอรมันนี 1-0 และคว้าแชมป์มาครองอย่างยิ่งใหญ่ ผลงานที่โดดเด่นในศึกชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ทำให้เขาได้รับเลือกเป็น 1 ใน 11 แข้งของทีมยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเม้นท์นั้น  นอกจากนี้ ยังมีสื่อและเกจิในวงการลูกหนังหลายรายถึงขนาดยกย่องให้เขาเป็นนักเตะที่เล่นได้ดีที่สุดประจำยูโร 2008 ด้วยซ้ำ ประตูแรกของในนามทีมชาติของเขามาถึงในเกมฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก ที่สเปนถล่มอาร์มีเนีย4-0 เมื่อวันที่ 10 ก.ย.ที่ผ่านมา ความสามารถในการอ่านเกม การตัดบอลที่เฉียบขาด มีชั้นเชิง ทำให้เซนน่าได้รับการยกย่องอย่างสูง เซอร์ อเล็กซ์ นายใหญ่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นแฟนตัวยงของเซนน่า เมื่อ 2 ปีก่อน ทีมผีแดงยื่นซื้อกองกลางเลือดบราซิลจากเรือดำน้ำสีเหลือง แต่แน่นอนว่าการเจรจาล้มเหลวไป เซนน่ายังยืนหยัดเป็นหลักให้เยลโล่ ซับมารีนต่อ แต่ไม่มีอะไรรับประกันว่าสโมสรแห่งนี้จะเป็นสโมสรสุดท้ายของกองกลางชั้นดีแห่งยุครายนี้

เวสลีย์ สไนเดอร์

    จอมทัพฉบับกระเป๋าตัวจริงเสียงจริงของเรอัล มาดริด ที่สร้างผลงานระบือลั่นด้วยการยิงไปถึง 3 ประตูจาก 2 นัดแรก รวมถึงการยิงลูกฟรีคิกที่แม่นยำชนิดสั่งการได้ทำให้สไนเดอร์กลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดในขณะนี้ของวงการฟุตบอลสเปน สไนเดอร์ เป็นหนึ่งในนักเตะเยาวชนของอาแจ๊กซ์ อัมสเตเดอร์ดัม ตักศิลาลูกหนังที่ดีที่สุดในโลก แต่ความจริงแล้วเขาไม่ใช่คนอัมสเตอร์ดัมตั้งแต่กำเนิด เจ้าหนูอัจฉริยะลูกหนังรายนี้เกิดที่อูเทร็คต์ และโชคดีที่ได้เกิดในครอบครัวนักฟุตอลอย่างแท้จริง เมื่อพ่อเคยเป็นอดีตนักเตะเก่ามาก่อนขณะที่เจฟฟรีย์ สไนเดอร์ พี่ชายคนโตก็เล่นให้กับสโมสรสตอร์มโฟเกลส์ เทลสตาร์ รวมถึงน้องชายคนเล็กอย่างร็อดนี่ย์ สไนเดอร์ก็กำลังที่จะขึ้นมาเล่นฟุตบอลอาชีพ ด้วยความที่เกิดในครอบครัวลูกหนัง ทำให้สไนเดอร์ได้รับการผลักดันจนได้เข้ามาอยู่ในโรงเรียนลูกหนังของอาแจ๊กซ์ที่ได้รับการยอมรับว่าดีที่สุดของโลกจนได้ สไนเดอร์ใช้เวลาบ่มเพาะฝีเท้าอยู่หลายปีก่อนที่จะได้รับการเรียกตัวเข้าสู่ทีมชุดใหญ่ในฤดูกาล 2002-03 และได้ลงสนามเกมแรกในนัดที่อาแจ๊กซ์เอาชนะเอสซี เอ็กเซลไซเออร์ได้ในวันที่ 22 ธ.ค. 2002 (เลข 2 พรึ่บ!) ซึ่งขณะนั้นมีอายุได้ 18 ปีเท่านั้น ความจริงการที่เจ้าหนูสไนเดอร์ได้รับเรียกตัวก็เพราะเวลานั้นอาแจ๊กซ์ กำลังประสบปัญหานักเตะบาดเจ็บเต็มไปหมดทำให้โรนัลด์ คูมัน โค้ชในขณะนั้นไม่มีทางเลือกต้องยอมดันเด็กขึ้นมาใช้งาน โดยได้รับคำแนะนำจากแดนนี่ บลินด์โค้ชทีมเยาวชนอาแจ๊กซ์ที่การันตีฝีเท้าให้กับกองกลางฉบับกระเป๋ารายนี้ แต่สไนเดอร์ก็สามารถคว้าโอกาสที่ได้มาโดยบังเอิญของตัวเองเอาไว้ได้ โดยสามารถปักหลักได้ในแดนกลางของอาแจ๊กซ์ โดยมักจะถูกสลับบทบาทไปเรื่อยๆด้วยความสามารถที่ครบเครื่องต้มยำ ทำให้เดี๋ยวก็ได้เล่นตรงกลาง เดี๋ยวก็โดนโยกไปเล่นปีกความสารพัดประโยชน์ของสไนเดอร์สามารถช่วยอาแจ๊กซ์ได้มาก เนื่องจากแม้จะมีรูปร่างที่เล็กแต่ก็มีความแข็งแกร่งเกินตัว ยามปักหลักเล่นตรงกลางก็สามารถครองบอล เก็บบอล ปะทะและตัดเกมคู่แข่งได้ และไม่ใช่แค่เกมรับที่ดี เพราะเกมรุกก็สุดยอดเช่นกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการจ่ายบอลสั้น-ยาวที่แม่นยำราวจับวาง เล่นได้ทั้งสองเท้า หรือการยิงไกล และการเล่นฟรีคิกที่ไม่ว่าจะเปิดหรือยิงก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน ความเป็นนักเตะพรสวรรค์ของสไนเดอร์ ทำให้ถูกเรียกตัวติดทีมชาติฮอลแลนด์อย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี 2003 และก็สามารถปักหลักเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของทีมมาได้โดยตลอด สไนเดอร์ ใช้ชีวิตเป็นแกนหลักของอาแจ๊กซ์มาโดยตลอด โดยเฉพาะหลังจากที่ราฟาเอล ฟาน เดอร์ ฟาร์ท กัปตันทีมได้ย้ายไปอยู่กับฮัมบูร์ก ทำให้บทบาทสำคัญในแดนกลางของทีมตกอยู่กับจอมทัพฉบับกระเป๋ารายนี้มาโดยตลอด ซึ่งก็รวมไปถึงในทีมชาติฮอลแลนด์ด้วย และหลังจากที่ฝีเท้าสุกงอมในฤดูกาล 2006-07 ซึ่งสไนเดอร์ทำผลงานได้สุดยอดทำไปถึง 18 ประตูจากตำแหน่งกองกลางทำให้ตกเป็นข่าวว่าอาจจะย้ายไปค้าแข้งในต่างแดนบ้าง และมีข่าวลือกับสโมสรยักษ์ใหญ่มากมาย แต่สุดท้ายก็เป็น ราชันชุดขาว เรอัล มาดริด ที่ได้ตัวเพชรเม็ดงามจากอัมสเตอร์ดัมเม็ดนี้ไปครอง โดยแบร์นด์ ชูสเตอร์ กุนซือชาวเยอรมันได้ซื้อสไนเดอร์มาด้วยค่าตัวถึงกว่า 27 ล้านยูโร เป็นรองคนเดียวคือรุด ฟาน นิสเตลรอย กองหน้ารุ่นพี่ที่อยู่ในซานติอาโก เบอร์นาบิวเหมือนกัน ในครั้งที่ย้ายจากพีเอสวี ไปอยู่กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดด้วยค่าตัว 30 ล้านยูโร นอกจากสไนเดอร์แล้วยังมีรอยสตัน เดรนเธ่ ดาวรุ่งสารพัดประโยชน์เจ้าของซ้ายเทอร์โบ และอาร์เยน ร็อบเบน ปีกซ้ายจอมกระชากที่ย้ายมาอยู่ร่วมกันในทีมเรอัล มาดริดด้วย แต่ไม่มีใครที่จะเล่นได้เด่นเกินหน้าสไนเดอร์ที่ทำประตูในเกมนัดประเดิมฤดูกาลใหม่ให้ลอส เมเรนเกสเอาชนะแอตเลติโก มาดริด ทีมคู่ปรับร่วมเมืองได้ 2-1 ก่อนที่จะทำอีก 2 ประตูในเกมที่แชมป์เก่าลา ลีกาบุกไปเอาชนะบียาร์เรอัล ได้ถึง 5-0 ซึ่งหนึ่งในนั้นได้จากการยิงฟรีคิกตามสไตล์ด้วย แม้จะโด่งดังมานานเนื่องจากแจ้งเกิดอย่างรวดเร็ว แต่เส้นทางของสไนเดอร์ในวงการลูกหนังยังเหลืออีกยาวไกลเพราะเพิ่งจะอายุเพียงแค่ 23 ปีเท่านั้น และมีโอกาสจะเป็นนักเตะในตำนานของวงการฟุตบอลฮอลแลนด์ได้อีกคนหนึ่งเช่นกัน


สำหรับวันนพอแค่นี้ครับ ติดตามต่อพรุ่งนี้ได้คับ
ข้อมูลจาก : MSN ฟุตบอล

(หมานั้นหมาผมเองงง ไม่รุจาลงรูปไร) อิอิ


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์