สุดยอดกองกลาง

เซสก์ ฟาเบรกาส&แฟรงค์ แลมพาร์ด จูเนียร์

   สวัสดีครับบบมารายงานตัวแล้ว สำหรับวันนี้นักเตะอันดับโลกมะเอาและ เอาเปนสุดยอดของแต่ละตำแหน่งละกันน วันนี้เริ่มที่สุดยอดกองกลางกันนะคับ     
 เซสก์ ฟาเบรกาส   
เซสก์ เริ่มต้นเส้นทางลูกหนังกับทีม เจ้าบุญทุ่ม บาร์เซโลน่า โดยเป็นหนึ่งในดาวเด่นของทีมเยาวชนบาร์ซ่า ในบทบาทของมิดฟิลด์ตัวรับแต่กลับมีสถิติการทำประตูที่ดีอย่างเหลือเชื่อ โดยสามารถยิงได้มากกว่าฤดูกาลละ 30 ประตู ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าทึ่ง   แววอัจฉริยะของเซสก์ มาปรากฎชัดในฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์โลกรุ่นอายุไม่เกิน 17 ปีที่ฟินแลนด์ โดยเขาเป็นหนึ่งในแกนนำของทีมกระทิงน้อยที่ไล่ขวิดคู่แข่งกระจุยกระจาย ซึ่งแม้สุดท้ายจะไปเสียท่าให้กับบราซิลในนัดชิงชนะเลิศ แต่เซสก์ ก็ได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำรายการ และยังเป็นดาวซัลโวของทีมอีกด้วย  ฟอร์มการเล่นดังกล่าวเตะตาอาร์แซน เวนเกอร์ กุนซือนักปั้นของทีม ปืนใหญ่ อาร์เซนอลเข้าอย่างจัง และกุนซือที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการปั้นนักเตะดาวรุ่งขึ้นมาประดับวงการฟุตบอลยุโรปก็ได้ติดต่อเจรจากับทางเซสก์โดยทันที และทำให้เกิดการย้ายทีมที่เป็นที่ฮือฮาอย่างยิ่งในช่วงเวลานั้น    โดยเซสก์ ในขณะนั้นยังไม่ได้ทำการเซ็นสัญญาอาชีพกับบาร์เซโลน่า ทำให้มีสิทธิ์ที่จะย้ายทีมได้อย่างอิสระ และกองกลางดาวรุ่งก็เชื่อว่าการเดินทางไปฝึกปรือฝีมือกับเวนเกอร์ น่าจะดีกว่าการอยู่รอโอกาสริบหรี่ในทีมบาร์ซ่า จึงได้เลือกย้ายไปอยู่กับทีมกันเนอร์สในเดือน ก.ย. 2003   และเพียงแค่เวลาเดือนเศษหลังการย้ายทีม เจ้าหนูวัย 16 ปี ก็ได้โอกาสลงประเดิมสนามอย่างรวดเร็วในเกมลีก คัพ นัดที่พบกับร็อตเธอร์แฮม ซึ่งทำให้เซสก์ กลายเป็นนักฟุตบอลอายุน้อยที่สุดที่ลงเล่นใหกับอาร์เซนอล ด้วยวัยเพียง 16 ปีกับอีก 177 วัน และยังเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ยิงประตูให้กับกันเนอร์สได้ด้วยในเกมรอบถัดไปที่พบกับวูล์สฟส  อย่างไรก็ตาม เซสก์ ก็ยังไม่สามารถสอดแทรกตำแหน่งในแดนกลางของอาร์เซนอล ที่มีทั้งปาทริก วิเอร่า และจิลแบร์โต้ ซิลวา ครองอยู่ได้ และทำให้ไม่ได้รับเหรียญรางวัลแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2003-04   แต่วันเวลาอันรุ่งโรจน์ของเขาก็ไม่นานเกินรอ ในฤดูกาล 2004-05 เซสก์ ก็ค่อยๆยึดตำแหน่งในแดนกลางของทีมได้โดยเฉพาะในช่วงที่ปาทริก วิเอร่า กัปตันกันเนอร์สเกิดบาดเจ็บยาวขึ้นมา ซึ่งเจ้าหนูมหัศจรรย์ชาวสเปน ก็ค่อยๆ แสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์อันมากล้นที่มีอยู่ในตัว   สไตล์การเล่นของเซสก์ นั้นเป็นลักษณะของ มิดฟิลด์ห้องเครื่อง ที่จะคอยบงการจังหวะของทีมได้ด้วยมันสมองและการผ่านบอลที่แม่นยำ และยังมีทีเด็ดในการหาจังหวะทำประตูได้ด้วย ทำให้เซสก์ กลายเป็นนักเตะคนใหม่ของแฟนๆ ได้อย่างรวดเร็ว และได้รับการยกย่องในฐานะหนึ่งในมิดฟิลด์ที่เก่งที่สุดของพรีเมียร์ลีก นอกเหนือจากการปักหลักในทีมตัวจริงของอาร์เซนอล เซสก์ ยังได้รับการเรียกตัวติดทีมชาติสเปนชุดใหญ่ด้วย โดยหลุยส์ อราโกเนส กุนซือขรัวเฒ่าได้เรียกตัวมาติดทีมในเกมอุ่นเครื่องนัดที่พบกับไอวอรี่โคสต์ และก็เป็นอีกครั้งที่เซสก์ กลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดของสเปนในรอบ 70 ปี และเซสก์ ยังได้รับการเลือกติดทีมในชุดลุยฟุตบอลโลก 2006 ด้วย
แลมพาร์ดน้อย เริ่มต้นเส้นทางชีวิตลูกหนังในทีมเวสต์แฮม โดยมีผู้เป็นพ่อซึ่งเวลานั้นเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมของขุนค้อนคอยดูแลประคบประหงมอย่างใกล้ชิด จนมีคนครหาถึงความสามารถที่แท้จริงของเจ้าหนูแลมพาร์ด และกล่าวหาว่าเป็นพวก เด็กเส้น
 แฟรงค์ แลมพาร์ด จูเนียร์
อย่างไรก็ตาม แลมพาร์ด ก็เป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของทีมเยาวชนเวสต์แฮม ชุดรองแชมป์เอฟเอ ยูธ คัพ ในปี 1996 ที่มีเพื่อนร่วมทีมซึ่งต่อมากลายเป็นกำลังสำคัญให้ทีมชาติอังกฤษทั้งสิ้นอย่างโจ โคล ,ไมเคิล คาร์ริค และริโอ เฟอร์ดินานด์ ส่วนแชมป์เอฟเอ ยูธ คัพ ในปีนั้นก็คือลิเวอร์พูล ชุดที่มีไมเคิล โอเว่น และเจมี่ คาร์ราเกอร์ เป็นกำลังสำคัญนั่นเอง  นอกจากนี้แลมพาร์ด ยังเป็นกัปตันทีมของชุดนั้นด้วย แต่ระหว่างนั้นก็ยังเข้าๆออกๆ ทีมชุดใหญ่ของเวสต์แฮมอยู่นาน และเคยโดนส่งตัวไปสวอนซี ยืมใช้งานอยู่ปีนึงแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ แถมยังเคยโชคร้ายขาหักในช่วงปี 1997 อีกด้วยจนต้องพักการเล่นไปนาน แต่เมื่อมาถึงฤดูกาล 1998-99 ก็ถึงคราวที่ดาวจะจรัสแสง เมื่อแลมพาร์ด แจ้งเกิดได้อย่างสวยงามร่วมกับนักเตะขุนค้อนรายอื่นๆและสามารถพาทีมจบฤดูกาลด้วยอันดับ 5 ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ และกลายเป็นที่จับตามองของวงการฟุตบอลอังกฤษ พร้อมๆ กับการลบคำครหาเรื่องเด็กเส้นไปด้วย  และในช่วงเวลานี้เองที่ทำให้แลมพาร์ด ได้รับการเรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษเป็นนัดแรกในการเกมอุ่นเครื่องกับทีมชาติเบลเยรี่ยม ในวันที่ 10 ต.ค. 1999 แต่ก็ยังไม่ได้เข้ามาเป็นสมาชิกของทีมสิงโตคำรามเท่าไหร่ เพราะหลังจากนั้นผลงานของเวสต์แฮม ก็ตกต่ำอย่างน่าใจหาย ก่อนที่บรรดาแลมพาร์ด และเพื่อนร่วมรุ่นค่อยๆทยอยย้ายออกไปเรื่อยๆ  แลมพาร์ดเองก็ไม่แตกต่างจากเพื่อนที่โดนทีมใหญ่ซื้อตัวไปร่วมทีม และเป็น สิงโตน้ำเงินคราม เชลซี ที่ทุ่มเงินกว่า 11 ล้านปอนด์ เพื่อดึงตัวไปร่วมทีมในวันที่ 15 พ.ค. 2001 ซึ่งแลมพาร์ด เป็นหนึ่งในนักเตะชุดแรกๆที่ถูกเคลาดิโอ รานิเอรี่ กุนซือชาวอิตาเลี่ยน ซื้อตัวมาร่วมทีม  อย่างไรก็ดี พัฒนาการของแลมพาร์ด ในทีมเชลซีก็เป็นไปอย่างเชื่องช้าจนแทบจะตกสำรวจในทีมชาติและสายตาของแฟนบอลทั่วไป เนื่องจากเวลานั้นเชลซี มีจอมทัพระดับโลกอย่างจานฟรังโก้ โซล่า นำหน้าอยู่ ทำให้ 2 ปีแรกที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ แลมพาร์ด ไม่ได้มีบทบาทมากนัก จนกระทั่งถึงฤดูกาล 2003-04 เชลซี ได้เจ้าของสโมสรใหม่อย่างโรมัน อบราโมวิช เข้ามาเนรมิตทีมใหม่ด้วยเม็ดเงินมากมายมหาศาล และแลมพาร์ด เองก็เริ่มเปล่งประกายออกมาในฐานะแกนหลักในแดนกลางของเชลซีได้สำเร็จ โดยปักหลักเป็นกองกลางจอมทัพที่มีทีเด็ดด้วยการวางบอลยาวที่แม่นยำราวจับวางและการหาจังหวะเติมขึ้นไปยิงประตู ในฤดูกาลนั้นสิงห์บลูส์ สามารถเข้าถึงรอบรองชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และยังได้รองแชมป์พรีเมียร์ชิพอีกด้วย และแลมพาร์ด ก็เริ่มกลับมามีบทบาทในทีมชาติอีกครั้ง แต่ปีที่ถือเป็นการแจ้งเกิดอย่างเป็นทางการในฐานะมิดฟิลด์ชั้นนำของยุโรปคือฤดูกาลถัดมาในปี 2004-05 ที่แลมพาร์ด เป็นกำลังสำคัญในการพาเชลซี ที่ได้ยอดโค้ชอย่างโชเซ่ มูรินโญ่เข้ามาทำทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้ในฤดูกาลนี้ ด้วยตำแหน่งแชมป์คาร์ลิ่ง คัพ และแชมป์พรีเมียร์ชิพ ซึ่งเป็นการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 50 ปีของสโมสร และยังเป็นการคว้าดับเบิ้ลแชมป์ฉลอง 100 ปีของการก่อตั้งสโมสรด้วย แลมพาร์ด ยังได้รับรางวัลส่วนตัวจากสมาคมผู้สื่อข่าวฟุตบอลอีกหลังทำได้ถึง 19 ประตูในฤดูกาลเดียวจากตำแหน่งกองกลาง และได้รับการยกย่องจากอดีตกัปตันทีมชาติบราซิลอย่างคาร์ลอส อัลแบร์โต้ และ นักเตะเทวดา ยอร์ดี้ ครัฟฟ์ ตำนานลูกหนังชาวดัตช์ว่าเป็นหนึ่งในกองกลางที่เก่งที่สุดของยุโรป กองกลางสุดหล่อยังคงทำผลงานได้ดีอย่างสม่ำเสมอ และมาแจ้งเกิดในเวทีระดับชาติในศึกยูโร 2004 ที่แม้อังกฤษ จะไปไม่ถึงดวงดาวร่วงตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยน้ำมือเจ้าภาพโปรตุเกส แต่แลมพาร์ด ก็ได้รับเลือกให้ติดทีมยอดเยี่ยมของศึกยูโรครั้งนี้หลังยิงไป 3 ประตูจาก 4 นัด ดังไม่แพ้เวย์น รูนี่ย์ กองหน้าอัจฉริยะที่แจ้งเกิดได้พร้อมๆกัน  หลังจากนั้นแลมพาร์ด ก็ได้รับการยกย่องในฐานะมิดฟิลด์ชั้นนำของอังกฤษและยุโรป รวมถึงในระดับทีมชาติอังกฤษด้วย ซึ่งบุตรชายของแฟรงค์ แลมพาร์ด ซีเนียร์ ก็ยังพาเชลซี คว้าแชมป์พรีเมียร์ชิพได้เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน จนมูรินโญ่ ผู้เป็นนายยกย่องว่าเป็นนักเตะที่เก่งที่สุดในโลกไปแล้ว  อย่างไรก็ตามแลมพาร์ด ต้องเจอกับช่วงเวลาที่เลวร้ายเหมือนกันในช่วงฟุตบอลโลก 2006 ที่ไม่สามารถรีดเร้นฟอร์มสุดยอดออกมาได้เหมือนยามเล่นให้เชลซี และโดนวิจารณ์อย่างรุนแรงโดยเฉพาะเรื่องที่เป็นนักเตะที่มีโอกาสยิงมากที่สุดในทัวร์นาเมนต์แต่กลับยิงไม่ได้แม้แต่ประตูเดียว หลังฝันร้ายในฟุตบอลโลก แลมพาร์ด ก็ยังกลับมาเป็นคนเดิมไม่ได้ในช่วงต้นฤดูกาล 2006-07 และยังโดนวิจารณ์ต่อเนื่องเพราะฟอร์มดร็อปลงไปจาก 2 ฤดูกาลก่อนมาก แต่ในที่สุด แลมพ์ ก็ค่อยๆเรียกฟอร์มการเล่นเดิมๆกลับมาได้สำเร็จ โดยเฉพาะนับตั้งแต่ช่วงปีใหม่เป็นต้นมา แลมพาร์ด ก็กลับมายิงได้ถึง 7 ประตูจาก 8 นัดหลังสุด และได้รับการโหวตจากแฟนๆให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำเดือน ม.ค. ในเวลานี้แลมพาร์ด ยิงไปแล้ว 11 ประตูในพรีเมียร์ชิพ และติดอันดับ 10 ในทำเนียบดาวซัลโวตลอดกาลของเชลซี หลังจากที่ยิงไปแล้วถึงกว่า 89 ประตูที่นับว่ามากที่สุดในทีมสิงห์บลูส์ชุดปัจจุบันเลยทีเดียว

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์