มารู้จักโรแบร์โต้ บักโจ้ และ เซร์คิโอ รามอส

โรแบร์โต้ บักโจ้ (Roberto Baggio)

วันเกิด 18 กุมภาพันธ์ 1967
สถานที่เกิด Caldogno VI, Vicenza, Italy
สโมสร วิเชนซ่า, ฟิออเรนตินา, ยูเวนตุส,เอซี มิลาน,โบโลญญ่า, อินเตอร์ มิลาน, เบรสชา
ความ สำเร็จ ติดทีมชาติอิตาลี, รางวัล European Footballer of the Year, รางวัล World Footballer of the Year1993, แชมป์ยูฟ่าคัพ, แชมป์กัลโช่เซียรี่ย์ อา, แชมป์โคปาอิตาเลีย


เขาคือเทพบุตรลูกหนัง เจ้าเปียทองคำ ผู้มีบุคลิกภาพของนักฟุตบอลที่โดดเด่นรวมกับฝีเท้าอันยอดเยี่ยม ทำให้ชื่อของเขากลายเป็นนักเตะระดับโลก และขวัญใจแฟนบอลมากมาย

โร แบร์โต้ บักโจ้ เกิดในครอบครัวที่รักฟุตบอล และเริ่มหัดเล่นฟุตบอลตั้งแต่เด็ก โดยสร้างผลงานที่ดีตั้งแต่เยาว์วัย เขาเป็นดาวซัลโวประจำโรงเรียน และจากการเล่นระดับโรงเรียนได้อย่างดีนี่เอง ทำให้ไปเข้าตาแมวมองของสโมสร วิเชนซ่า ในเซียรี่ย์ ซี

1982-1983
ลง เล่นฟุตบอลลีกครั้งแรกกับทีมวิเชนซ่า ในเซียรี่ย์ ซี ตั้งแต่อายุยังไม่เต็ม 16 ปีดี ถึงแม้ฤดูกาลนี้จะได้ลงเล่นเพียงครั้งเดียว แต่ก็นับว่าเขายังมีอนาคตที่ดีกับทีม

1983-1984
ได้เล่นกับทีมมากขึ้นและยังทำได้ 1 ประตูจากการลงสนาม 6 นัด เนื่องจากเพราะอายุยังน้อย และโค้ชยังไม่เชื่อใจมากนัก

1984-1985
กลาย เป็นตัวหลักของทีม โดยยิงได้ 12 ประตูจาก 29 นัด และพาทีมเลื่อนชั้นขึ้นสู่เซียรี่ย์ บี แต่ด้วยผลงานการยิงประตูอย่างยอดเยี่ยมของเขาที่แม้จะมีอายุน้อยก็ตาม ทำให้เขาได้รับโอกาสจากทีมม่วงมหากาฬ ฟิออเรนตินา ทีมในเซียรี่ย์ อา ดึงตัวไปร่วมทีม

1985-1986
การย้ายมาร่วมทีมฟิออเรนตินาในฤดูกาลแรก ค่อนข้างแย่สำหรับเขาเพราะไม่มีโอกาสสัมผัสเกมเลยแม้แต่นัดเดียว แต่เขาก็เฝ้าคอยรอโอกาสต่อไป

1986-1987
เป็น ฤดูกาลที่สองแล้วที่เขาอยู่กับฟิออเรนตินา เขาได้มีโอกาสสัมผัสเกมเซียรี่ย์ อา ครั้งแรกเมื่อ 21 กันยายน 1986 ในการพบกับทีมซามพ์โดเรีย และเขาก็ยิงประตูแรกในลีกได้เมื่อเจอกับนาโปลีในวันที่ 10 พฤษภาคม 1987 ซึ่งถือเป็นประตูแรกและประตูเดียวในฤดูกาลนี้ที่ทำได้ จากการลงสนาม 5 นัด

1987-1988
ในฤดูกาลนี้เขาได้รับโอกาสให้ลงสนามมากขึ้นโดยได้ลงสนาม 27 นัด และยิงได้ 6 ประตู และได้กลายมาเป็นตัวเลือกแรก ๆ ในแดนหน้าของทีม

1988-1989
ฤดู กาลนี้เขาโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม โดยยิงได้ 15 ประตูจาก 30 นัด และถูกเรียกตัวไปติดทีมชาตินัดแรกในเดือน พฤศจิกายน 1988 ในนัดพบกับฮอลแลนด์ และในฤดูกาลนี้เองเขาถูกเรียกตัวติดทีมชาติ 3 ครั้ง โดยทำได้ 1 ประตู

1989-1990
เขายังโชว์ฟอร์มการยิงประตูได้อย่าง ต่อเนื่องโดยยิง 17 ประตูจาก 32 นัด และพาทีมเข้าถึงนัดชิง UEFA CUP โดยแพ้ให้กับยูเวนตุสในนัดชิงชนะเลิศ โดยเขาทำได้ 1 ประตูจากการลงสนามในเกมยุโรป 12 นัด และเขาก็ถูกยูเวนตุสซื้อตัวไปร่วมทีมด้วยค่าตัว 7.5 ล้านปอนด์ซึ่งถือว่าเป็นค่าตัวที่สูงมากในขณะนั้น ทำให้เกิดการจลาจลย่อย ๆ ทันทีที่เมืองฟลอเรนท์ในวันที่มีการซื้อตัวเขาออกจากทีม

และในปีนี้ เองมีฟุตบอลโลกที่อิตาลี โรแบร์โต้ บักโจ้ ถูกเรียกมาติดทีมชาติ โดยในสองนัดแรกที่เจอกับ ออสเตรีย และ อเมริกาเขาต้องอยู่ข้างสนาม ซึ่งเกมของอิตาลีก็ไม่ไหลลื่นนักแม้จะชนะ1-0ทั้งสองนัด พอนัดต่อมา Azeglio Vicini โค้ชทีมชาติอิตาลีปรับแผนให้ บักโจ้ ยืนคู่หน้ากับ สคิลลาชี่ ในการพบกับ เชคโกสโลวาเกีย เกมของอิตาลีก็ดีขึ้นทันตาเห็น โดยบักโจ้ซัดลูกสุดสวยประจำทัวร์นาเมนต์ได้ 1 ลูกด้วย ซึ่งอิตาลีชนะไป 2-0 และเขาก็พาทีมผ่านไปถึงรอบรองชนะเลิศโดยพบกับอาร์เจนตินา ซึ่งจบ 120 นาทีเสมอกัน 1-1 ต้องยิงจุดโทษตัดสิน และก็เป็นบักโจ้ที่ยิงจุดโทษพลาด ส่งผลให้อิตาลีไม่ได้เข้าชิง นับเป็นความพ่ายแพ้อันข่มขื่นสำหรับเขาอย่างมาก แต่อย่างไก็ตามอิตาลีก็ได้ที่สามจากการชนะอังกฤษ 2-1

1990-1991
หลัง ฝันร้ายจากฟุตบอลโลก เขาเริ่มต้นฤดูกาลกับยูเวนตุสได้อย่างสุดสวย โดยยิงได้ 14 ประตู จากการลงสนาม 33 นัด และยิงได้ 9 ประตูจากการลงสนามใน 8 นัดของฟุตบอลคัพวินเนอร์คัพ

1991-1992
ยังยิงประตูให้กับยูเวนตุสได้อย่างต่อเนื่องถึง 18 ประตูจาก 32 นัด แลยังคงรับใช้ทีมชาติอย่างสม่ำเสมอ

1992-1993
เป็น ปีที่สุดยอดปีหนึ่งของเขากับยูเวนตุส โดยเขาลงเล่นในลีก 27 นัดและยิงได้ 21 ประตู พาทีมเป็นแชมป์ยูฟ่าคัพโดยยิงไป 6 ประตูจาก 9 นัด ได้รับรางวัล World Footballer of the Year จากฟีฟ่า และรางวัล European Footballer of the Year จากยูฟ่าอีกด้วย

1993-1994
เขายังยิงประตูได้เรื่อย ๆ และยิงอย่างต่อเนื่อง โดยยิงไป 17 ประตู จาก 32 นัด และยังยิงประตูในเซียรี่ย์ อาได้เกิน 100 ลูก ในปีนีอีกด้วย ส่วนเกมยูฟ่าคัพก็ยิงได้ 3 ประตูจาก 7 นัด

ปีนี้เองมีฟุตบอลโลกที่ สหรัฐอเมริกา คราวนี้ โรแบร์โต้ บักโจ้ มาในฐานะซุปเปอร์สตาร์ของทีมชาติอิตาลี โดยในรอบแรกอิตาลีโชว์ฟอร์มอย่างย่ำแย่ แต่ก็ยังผ่านเข้ารอบไปได้อย่างหวุดหวิด โดยแพ้ไอร์แลนด์ 1-0 ชนะนอร์เวย์ 1-0 และเสมอเม็กซิโก 1-1 ในรอบสองพบกับไนจีเรียและก็เป็นบักโจ้ที่สามารถยิงพาทีมผ่านเข้ารอบไปได้ ถึงรอบสามบักโจ้ก็พาทีมชนะสเปนไปได้ 2-1 ในรอบรองชนะเลิศก็ยังเอาชนะบัลแกเรียที่นำโดยสตอยคอฟไปได้ 2-1 และในนัดชิงชนะเลิศกับบราซิล บักโจ้ ลงช่วยทีมแม้ว่ายังมีอาการบาดเจ็บที่ขา ทีมของเขาเสมอกับทีมที่มีซุปเปอร์สตาร์อย่างโรมาริโอ, เบเบโต้ และดุงก้า ใน 120 นาที 0-0 แต่แล้วฝันร้ายก็เกิดกับทีมชาติอิตาลีและตัวเขาอีกครั้ง อิตาลีพ่ายการดวลจุดโทษได้แค่รองแชมป์ฟุตบอลโลก โดยเป็นบักโจ้อีกครั้งที่ทำพลาด

1994-1995
หลังจากฟุตบอลโลก อาการบาดเจ็บของ โรแบร์โต้ บักโจ้ ก็สร้างปัญหาทำให้เขาได้ลงสนามเพียง 17 นัด แลัยิงได้ 8 ประตูเท่านั้น แต้อย่างไรก็ดี ยูเวนตุสก็ยังได้แชมป์กัลโช่เซียรี่ย์ อา และแชมป์โคปาอิตาเลีย ซึ่งการได้แชมป์นี้หลายคนบอกว่าไม่ได้เป็นเพราะ บักโจ้ แต่กลับเป็นเพราะเด็กหนุ่มดาวรุ่งประจำทีมคนใหม่ที่ชื่อ เดล ปิเอโร่ ทำให้เขารู้สึกว่าสถานการณ์ในทีมค่อนข้างแย่ลง และช่วงท้ายฤดูกาลเขาก็ยังไม่มีชื่อติดทีมชาติอีกด้วย

และก็เป็นเอซี มิลานที่ยื่นมือเข้ามาเพื่อขอซื้อตัวเขาไปร่วมทีม เพราะหลังจากที่เอซี มิลานไม่มีสามทหารเสือดัตช์แมน(กุลลิต, ไรการ์ท, แวน บาสเทน)แล้วก็ทำให้ทีมกำลังมองหาขุมกำลังใหม่ที่มาทดแทน

1995-1996
ภาย ใต้โค้ช คาเปลโล่ กับทีมมิลานเขาโชว์ผลงานไม่ดีนักยิงได้เพียง 7 ประตูจาก 28 นัด โดยเป็นเพียงแค่ตัวสำรองเป็นส่วนใหญ่ และมีส่วนน้อยมากกับแชมป์กัลโช่เซียรี่ย์ อา ของเอซี มิลาน ส่วนเกมยูฟ่าคัพก็ยิงได้ 3 ประตูจาก 5 นัด และจากปัญหามากมายทั้งกับโค้ช และฟอร์มการเล่นทำให้เขาถูกหมางเมินจากทีมชาติ

1996-1997
ฟอร์ม ของเขาตกไปอย่างน่าใจหายโดยยิงได้เพียง 5 ประตูจากการลงสนาม 23 นัด และ 1 ประตูจากยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก 5 นัด และการมาของอาริโก้ ชาคกี้ ก็ทำให้เขาจำเป็นจะต้องเป็นผู้จากไป โดยมองหาทีมระดับกลาง ๆ เพื่อให้เขาได้ลงเล่น ในปีนี้เขาถูกเรียกไปติดทีมชาติอีกครั้งหนึ่งและยิงได้ 1 ประตู

1997-1998
เขา ย้ายสู่ทีมโบโลญญ่า โดยเล่นร่วมกับ เคเน็ต แอนเดอร์สัน, อิกอร์ โคลิวานอฟ, ฟอนโตลาน และปาลามัตติ ซึ่งจากผลงานของเขาทำให้นักเตะในทีมสร้างผลงานที่ดีและมีชื่อเสียงตามเขาไป ด้วย โดยปีนี้เขากลับมาโชว์ฟอร์มยิงได้ถึง 22 ประตูจาก 30 นัด และถูกเรียกตัวกลับไปติดทีมชาติเพื่อไปลุยฟุตบอลโลกที่ฝรั่งเศสอีกครั้ง ภายใต้การคุมทีมของเซซาเร่ มัลดินี่ และเขาจะได้ลงเล่นร่วมกับนักเตะชื่อดังอย่างเดล ปิเอโร่ และวิเอรี่

การ กลับมาติดทีมชาติครั้งนี้ของเขาเป็นไปตามเสียงเรียกร้องของแฟนบอลชาวอิตาลี โดยนัดแรกพบกับชิลีซึ่งมีซาลาสนำทีม ในเกมนี้บักโจ้สามารถยิงประตูได้แต่ทำได้แค่เสมอ 2-2 ในนัดที่สองเจอแคเมอรูนเขาช่วยพาทีมชนะ 3-0 และเกมสุดท้ายในรอบแรกพบออสเตรียก็พาทีมเอาชนะไปได้ 2-1 โดยทำได้ 1 ประตู เข้าสู่รอบที่สองเขาไม่ได้ลงเล่นแต่ทีมก็ผ่านนอร์เวย์ไปได้1-0 และในรอบต่อมาพบกับฝรั่งเศสเจ้าภาพเขาลงเล่นเป็นตัวจริง เกมเล่นถึงต่อเวลาพิเศษ 120 นาที ก็เสมอกัน 0-0 อิตาลีต้องยิงจุดโทษตัดสินอีกแล้ว และก็เป็นความพ่ายแพ้ของอิตาลีอีกครั้งโดยคราวนี้ผู้ที่สังหารพลาดคือ ดิเบียโจ้ และนัดนี้ก็เป็นครั้งสุดท้ายของ โรแบร์โต้ บักโจ้ ในฟุตบอลโลก

1998-1999
หลัง จากฟุตบอลโลกจบลงเขาย้ายมาร่วมทีมอินเตอร์ มิลาน โดยเขาร่วมเล่นกับ เจ้าโล้นทองคำ โรนัลโด้ โดยช่วงต้นฤดูกาลเขายิงประตูใส่รีลมาดริด ในเกมยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก แต่ก็มาพ่ายแมนฯยูฯ แชมป์ในปีนี้ และทีมก็ไม่สามรถสร้างความสำเร็จอะไรได้เลย โดยเขายิงให้กับทีมได้เพียง 5 ประตูจาก 23 นัดและ 4 ประตูจากยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก 6 นัด ซึ่งปีนี้เขาถูกเรียกติดทีมชาติอีก 3 ครั้งซึ่งก็เป็นปีสุดท้ายของเขาในทีมชาติอีกด้วย

1999-2000
ลง เล่นให้อินเตอร์อีก 18 นัดทำได้ 4 ประตู โดยปีนี้ศูนย์หน้าคู่ของเขาในอินเตอร์คือ วิเอรี่ แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ในแผนการทำทีมของลิปปี้ ทำให้เขาต้องออกจากทีมเมื่อสิ้นฤดูกาล

2000-2001
เขาฝากชีวิตช่วง ท้ายของวงการลูกหนังไว้กับเบรสชาทีมเล็ก ๆ ในเซียรี่ย์ อา โดยลงเล่นให้กับทีม 25 นัด และยิงให้10 ประตู ช่วยให้ทีมสามารถอยู่รอดต่อไปในเซียรี่ย์ อา ได้อย่างสบาย

2001-2002
จากการบาดเจ็บเขาลงเล่นให้เบรสชาเพียง12 นัดเท่านั้นแต่ยังยิงได้ถึง11ประตู

2002-2003
ยังลงเล่นให้เบรสชาอย่างต่อเนื่องและยิงได้อีก 12 ประตูจาก 32 เกม นับเป็นนักเตะที่มีค่ามากกับทีมถึงแม้จะอายุมากแล้วก็ตามที

2003-2004
เขา ลงเล่นอีก 26 นัด และทำประตูได้ถึง 12 ประตูในวัย 37 ปีซึ่งถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว และในปีนี้เองเขายังทำประตูในเซียรี่ย์ อา ได้เกิน 200 ลูกอีกด้วย

<><>

ในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา ไม่มีกองหลังคนไหนจะได้รับการยกย่องและจับตามองเท่า เซร์คิโอ รามอส แบ๊กสุดหล่อผมสลวยของเรอัล มาดริดอีกแล้ว


นอก จากจะยืนตรงไหนก็ได้ในแผงหลัง ไม่เฉพาะตำแหน่งถนัดอย่างแบ๊กขวา รามอสยังมีทักษะเยี่ยมในการสกัดบอล เปิดบอลแม่นยำ และยังเป็นกองหลังจอมซัลโว สังหารประตูได้มากมายด้วย

เนื่องจากเกิดที่เซบีย่า รามอสจึงเป็นเด็กสร้างของทีมเยาวชนเซบีย่านั่นเอง เขาเริ่มต้นจากตำแหน่งแบ๊กขวา ซึ่งเจ้าตัวทำได้ดี และมักจะเติมเกมบุกทุกครั้งที่มีโอกาส

เขาได้ประเดิมเวทีลาลีกาให้เซบีย่าชุดใหญ่ครั้งแรกในเกมที่พ่ายต่อเดปอร์ติโบ ลา กอรุนญ่า 0-1 เมื่อวันที่ 1 ก.พ.2004

หลังจากโชว์ลีลาในลีกสูงสุดของสเปนได้ 2 ปี รามอสก็เป็นที่รู้จัก กระทั่งเรอัลมาดริด ยอดทีมประจำลาลีกาเห็นแววจึงทุ่มเงิน 27 ล้านยูโร ซื้อมาร่วมทีม

กองหลังผมยาวเซ็นสัญญายาวถึง8 ปี โดยที่มูลค่ารวมทั้งหมดถึง 85 ล้านยูโรเลยทีเดียว

เมื่อย้ายมาสู่รังซานติอาโก เบร์นาเบว เขาได้รับมอบหมายให้สวมเบอร์ 4 ซึ่งเดิมเป็นของเฟร์นันโด เอียร์โร่ อดีตกัปตันผู้ยิ่งใหญ่ของชุดขาว

เขายิงประตูแรกให้เรอัล มาดริด ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกที่พ่ายต่อโอลิมเปียกอส เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.2005

โดยในช่วงแรกๆ ที่อยู่กับเรอัล รามอสโดนจับไปยืนเป็นเซ็นเตอร์แบ็ก และในช่วงที่ทีมเจอปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บรุมเร้า รามอสยังต้องทำหน้าที่มิดฟิลด์ตัวรับขัดตาทัพไปก่อนด้วย

ไม่ว่าจะตำแหน่งใด กองหลังหน้าหวานก็ทำผลงานได้ดี กระทั่งการมาของคริสโตฟ เม็ตเซลเดอร์ และเปเป้ ในฤดูกาล 2007-08 ทำให้เขาได้กลับมายืนแบ๊กขวาอย่างที่ถนัดอีกครั้ง

เมื่อได้กลับมาลากริมเส้น เขาก็ช่วยเติมเกมบุกอย่างที่ชอบอยู่เนืองๆ จนมีส่วนยิงประตูช่วยทีมหลายต่อหลายครั้ง

รามอสได้สมญาใหม่ เป็นกองหลังดาวซัลโว เพราะยิงประตูให้ชุดขาวทั้งหมดจนถึงตอนนี้มากกว่า 30 ลูกเข้าไปแล้วจากทุกรายการ

และรามอสก็มาเฉลยในการให้สัมภาษณ์ผ่านนิตยสารของสโมสรว่า จริงๆ แล้วตอนเด็กๆ เขาเคยเล่นเป็นกองหน้ามาก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นกองหลังด้วย

เมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2008 รามอสจ่ายให้กอนซาโล่ อิกัวอีน ยิงประตูในนาทีที่ 89 ช่วยให้ชุดขาวเฉือนชนะโอซาซูน่า 2-1 คว้าแชมป์ลาลีกามาครองได้อย่างยิ่งใหญ่

อย่างไรก็ดี มีกระแสข่าวว่าเขามีปัญหากับเพื่อนร่วมทีมหลายคน ด้วยความเป็นกองหลังอารมณ์ร้อน ทำให้โดนใบแดงไล่ออกอยู่เนืองๆ

ประกอบกับที่เคยยอมรับว่ารู้สึกว้าเหว่ เหมือนไม่มีเพื่อนที่เข้าใจในรังเบร์นาเบว ทำให้มีหลายสโมสรให้ความสนใจอยากได้ตัวเขา

แต่สิ่งสำคัญเหนือกว่านั้น คือผลงานสุดยอด ที่ทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยอดทีมจากอังกฤษติดต่อขอซื้อตัวเขาอย่างจริงจัง

ในตอนนั้น รามอสยอมรับว่าดีใจที่มีสโมสรใหญ่สนใจ แต่คงต้องขอตัดสินใจอีกทีหลังจบยูโร2008

ปรากฏว่าเขาร่วมเป็นแชมป์ยุโรปกับสเปน และนั่นทำให้ชุดขาวพยายามรั้งตัวเขาไว้จนประสบความสำเร็จในที่สุด

แต่ก่อนจะก้าวสู่ทำเนียบแชมป์กับทีมกระทิงดุ รามอสเริ่มไต่เต้าจากการติดธงสเปนชุดยู 21

แต่เล่นได้แค่ 6 นัด ฟอร์มก็โดดเด่นเข้าตาจนถูกเรียกมาติดธงชุดใหญ่ในวัยแค่ 18 ปีเท่านั้น ทำให้เขากลายเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ติดทีมชาติสเปน ในรอบ 55 ปีหลังสุด

แต่สุดท้ายสถิตินี้ ก็โดน เชส ฟาเบรกาส ดาวยิงอาร์เซน่อลทำลายไปในเวลาต่อมา

รามอสเริ่มต้นกับทีมชาติได้ดี เขาก้าวขึ้นมาเป็นหลักในแนวรับของสเปนในเวิลด์คัพ 2006 แทนที่ มิเชล ซัลกาโด้ รุ่นพี่ร่วมสังกัดที่โดนตัดออกไป

ในยูโร 2008 รามอสถือโอกาสโชว์ความสามารถให้โลกประจักษ์ เขาประสานงานกับ คาร์ลอส มาร์เชน่า, คาร์เลส ปูโยล และโจน คัปเดบีย่า จนแนวรับของสเปนเหนียวแน่นแข็งแกร่งดังหินผา ตลอดทั้งทัวร์นาเม้นท์ สเปนเสียแค่ 2 ประตูเท่านั้น

ในวัยแค่ 22 ปี จึงไม่มีกองหลังคนไหนจะประสบความสำเร็จได้มากเท่าเซร์คิโอ รามอสอีกแล้ว และเชื่อว่าเขาจะยังโลดแล่นในสังเวียนลูกหนัง ไล่ล่าเกียรติยศมาประดับเส้นทางค้าแข้งได้อีกนาน

<><>

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์