Tevez Vs Batistuta

 





อีกหนึ่ง นิว มาราโดน่า ของชาวอาร์เจนติน่า ที่แม้ปัจจุบันจะมีลิโอนล เมสซี่ มาร่วมแย่งสมญานี้ แต่เขากลับแสดงให้เห็นว่าไม่ได้เป็นตัวตายตัวแทนของใคร เพราะนี่แหละคือ คาร์ลอส เตเวซ คนแรกที่โลกต้องจารึกชื่อไว้

คาร์ลอส เตเวซ หรือคาร์ลอส อัลแบร์โต้ มาร์ติเนซ ซึ่งเป็นชื้อดั้งเดิม เกิดและเติบโตในย่านชุมชนแออัดที่เรียกว่า เอเฮร์ซิโต้ เด ลอส อันเดส ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ฟูเอร์เต้ อปาเช่ อันเป็นที่มาของชื่อฉายาของเขาที่เคยมีคนเรียกกันว่า อปาเช่

หลังจากเกิดได้ไม่นานพ่อแม่ของเจ้าหนูคาร์ลอส ก็ได้เปลี่ยนนามสกุลมาใช้ของแม่แทน ทำให้กลายเป็น คาร์ลอส เตเวซ อย่างที่ใช้กันในปัจจุบัน

วีรกรรมในช่วงเด็กๆ ของเจ้าหนูคาร์ลอสยังไม่หมด เพราะเมื่ออายุ 10 เดือน เจ้าหนูคาร์ลอสคลานต้วมเตี้ยมซนอยู่ในครัวและไปเล่นซนจนโดนน้ำร้อนลวกใส่ที่คอและหูด้านขวาจนต้องรักษากันนาน 2 เดือน ทำให้เป็นรอยแผลเป็นที่น่ากลัวติดมาจนทุกวันนี้

สำหรับแผลนี้เตเวซ ไม่เคยคิดที่จะทำศัลยกรรมตกแต่งใหม่โดยเคยปฏิเสธความหวังดีของสโมสรโบคา จูเนียร์ส ที่จะช่วยออกค่าใช้จ่ายในการทำศัลยกรรมให้ โดยบอกว่าแผลเป็นนี้เป็นส่วนหนึ่งของตัวเขาเมื่อในอดีตและตัวเขาในปัจจุบัน

ชีวิตในวัยเด็กของเตเวซ เริ่มต้นการฝึกวิชาลูกหนังที่สโมสรเล็กๆที่ชื่ออล บอยส์ อยู่ในช่วงปี 1992-1996 ก่อนที่จะไปอยู่กับสโมสรยักษ์ใหญ่อย่างโบคา จูเนียร์สเมื่ออายุได้ 13 ปี

ภายหลังจากการบ่มฝีเท้าในรังบอมโบเนร่าอยู่ 4 ปี เตเวซก็ได้ลงสนามเป็นครั้งแรกในระดับอาชีพเมื่อวันที่ 21 ต.ค. 2001 โดยเป็นเกมที่พบกับตาเญเรส เด กอร์โดบา ก่อนจะก้าวมาเป็นซูเปอร์สตาร์คนใหม่ของชาวโบคาในเวลาอันรวดเร็ว

ความโดดเด่นของเตเวซ นั้นอยู่ที่ทักษะการเล่นอันเหนือชั้นระดับฟ้าประทานที่ทำให้ได้รับสมญาว่าเป็น นิว มาราโดน่าไ อีกคนของวงการฟุตบอลอาร์เจนไตน์ แต่จุดเด่นที่เหนือกว่าก็คือเรื่องของสภาพร่างกายที่แม้จะไม่สูงใหญ่แต่ก็มีความหนาตัน และหัวจิตหัวใจที่ห้าวหาญมาทดแทน

ในสีเสื้อของโบคา จูเนียร์ส เตเวซช่วยนำความสำเร็จมากมายมาสู่ทีมไม่ว่าจะเป็นฟุตบอลลีกอาร์เจนไตน์ (2003) ,โคปา ลิเบอตาดอเรส คัพ (2003) ,อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ หรือฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก (2003) และโคปา ซูดาเมริกาน่า (2004)

แต่รายการที่แจ้งเกิดให้กับเตเวซมากที่สุดในเวทีโลกคือในการแข่งขันฟุตบอลโอลิมปิก 2004 ที่ประเทศกรีซ ซึ่งเขาและพลพรรคฟ้าขาวตะลุยไปจนถึงเส้นชัยคว้าแชมป์ได้สำเร็จ โดยที่เตเวซเองนั้นสร้างผลงานระบือลั่นด้วยการยิงไปถึง 8 ประตูจาก 6 นัดเท่านั้นที่ลงสนาม

และที่จริงเขายังได้รับรางวัลอื่นๆอีกด้วยในช่วงแรกของชีวิต โดยได้รางวัลนักฟุตบอลละตินอเมริกาที่น่าจับตามองที่สุดจากสถานีโทรทัศน์ฟอกซ์สปอร์ตละตินอเมริกา และได้รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีรวมถึงรางวัลสปอร์ตแมนแห่งปี 2004 จากสมาคมนักเขียนอาร์เจนติน่า

หลังจบศึกฟุตบอลโอลิมปิก ชื่อของเตเวซก็กลายเป็นชื่อที่หอมหวลที่สุดและมีข่าวว่าสโมสรยักษ์ใหญ่จากยุโรปต่างรุมแย่งตัวซูเปอร์สตาร์ดาวรุ่งดวงใหม่ของวงการฟุตบอลอาร์เจนไตน์รายนี้กันชนิดฝุ่นตลบ

แต่เตเวซ กลับสร้างความประหลาดใจให้กับทุกฝ่ายด้วยการเลือกย้ายไปเล่นให้กับโครินเธียนส์ สโมสรยักษ์หลับของบราซิลที่เพิ่งจะได้นายทุนหน้าใหม่ที่ชื่อ MSI ซึ่งมีเคีย ชูรับเชียน ที่ต่อมากลายเป็นนายหน้าส่วนตัวไปด้วยเนื่องจากถือสิทธิ์ในตัวของเตเวซ โดยการยายทีมครั้งนี้ด้วยค่าตัว 20 ล้านดอลลาร์ ถือเป็นการย้ายทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลละตินเลยทีเดียว

สำหรับการย้ายทีมครั้งนี้ เตเวซ ให้เหตุผลว่าต้องการที่จะได้ที่พักพิงสงบๆเท่านั้นหลังจากที่โดนสื่อมวลชนในอาร์เจนติน่า เล่นงานไม่เว้นแต่ละวันโดยเฉพาะประเด็นชีวิตส่วนตัวซึ่งกระทบกระเทือนถึงครอบครัว และยังไม่ไว้ใจในเรื่องความปลอดภัยในบ้านเกิดด้วย จึงทำให้ตัดสินใจย้ายทีมในที่สุด ขณะที่สื่อมวลลชนก็ต่างสงสัยและคลางแคลงใจในการตัดสินใจครั้งนี้อยู่ดี

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าชีวิตของเตเวซในสีเสื้อของโครินเธียนส์จะสวยงามไปหมด เพราะด้วยความที่เป็นคนอาร์เจนติน่า ที่ถือเป็นศัตรูโดยตรงของคนบราซิลอยู่แล้ว ทำให้ช่วงแรกในแดนแซมบ้าของเขานั้นต้องเผชิญกับโลกใบใหม่ที่โหดร้ายไม่เบา

แต่สุดท้ายหลังจากที่ฝ่าฟันอุปสรรคได้สำเร็จ เตเวซ ก็กลายเป็นกัปตันทีมโครินเธียนส์ และเป็นดาวเด่นของทีมในการช่วยให้หนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่เก่าแก่ที่สุดของบราซิลคว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จในปี 2005

ปีนั้นคือปีทองของเขาอย่างแท้จริงเพราะยังได้รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำรายการ ซึ่งถือเป็นผู้เล่นคนแรกที่ไม่ใช่คนบราซิลที่ได้รางวัลนี้นับตั้งแต่ปี 1976 และยังได้รางวัลขวัญใจแฟนบอลอีกด้วย

ทว่าช่วงเวลาที่สวยงามของเขาก็ค่อยๆหมดลงอย่างรวดเร็ว ผลงานที่ตกต่ำของโครินเธียนส์ รวมถึงปัญหาความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับเอเมอร์สัน เลเอา โค้ชจอมเฮี้ยบชาวบราซิลที่ยึดปลอกแขนกัปตันทีมไปพร้อมแสดงท่าทีรังเกียจสุดชีวิต ทำให้เตเวซ ซึ่งจบศึกฟุตบอลโลกด้วยความชีช้ำเพราะต้องกระเด็นตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายทั้งที่เป็นถึงทีมเต็งระดับต้นๆ ประกาศไม่ขอลงเล่นให้โครินเธียนส์อีกทันที

ก่อนที่เขาและฮาเวียร์ มาสเคราโน่เพื่อนรักที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขในทีมโครินเธียนส์ด้วยกัน จะสร้างเซอร์ไพรซ์อีกครั้งด้วยการย้ายมาอยู่กับทีมระดับกลางๆอย่างเวสต์แฮมในวันสุดท้ายของตลาดการซื้อขายนักเตะ จนเป็นที่น่าสงสัยของหลายฝ่ายว่าเหตุใดนักฟุตบอลที่จัดว่าเป็นตัวท็อปของโลกจึงเลือกมาอยู่ที่นี่

เหตุผลคือเรื่องของการที่เคีย ชูรับเชียน อดีตประธาน MSI ซึ่งยังเป็นเจ้าของสิทธิ์ในตัวเตเวซและมาสเคราโน่อยู่ต้องการจะเทคโอเวอร์ทีมเวสต์แฮมจึงได้นำสองคนนี้ที่ไม่มีความสุขพอดีในบราซิลมามอบให้เป็นของมัดจำไว้ก่อน แต่สุดท้ายการเทคโอเวอร์ก็ไม่เกิดขึ้น และการย้ายทีมครั้งนี้ก็กลายเป็นการย้ายทีมอื้อฉาวที่สุดครั้งหนึ่งจนมีการสั่งลงโทษเวสต์แฮมอย่างรุนแรง ซึ่งขณะนี้คดีก็ยังไม่จบเพราะมีสโมสรที่ไม่พอใจกับบทลงโทษแค่การปรับเงิน ไม่ใช่การตัดแต้ม

สำหรับผลงานในสนามของเตเวซกับเวสต์แฮมนั้น เขาเริ่มต้นได้ไม่ดีนักเนื่องจากสภาพร่างกายไม่ฟิตและยังมีปัญหากับการปรับตัวให้เข้ากับเกมฟุตบอลอังกฤษ ทั้งอลัน พาร์ดิว ผู้จัดการทีมคนแรกในช่วงต้นฤดูกาล และอลัน เคอร์บิชลี่ย์ คนที่เข้ามาแทนที่ก็ไม่ไว้ใจนัก ทำให้แทบไม่มีโอกาสได้ลงสนามเท่าไหร่

แต่ในช่วงท้ายฤดูกาล เตเวซ ก็พิสูจน์ตัวเองได้อีกครั้งด้วยการกลับมาเป็นความหวังสูงสุดของทีมในการช่วยให้แฮมเมอร์ส รอดพ้นจากการตกชั้นได้ในบั้นปลายของฤดูกาล และได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของนิตยสารทางการของสโมสรเวสต์แฮม

ฟอร์มร้อนแรงของเตเวซในช่วงปลายฤดูกาลทำให้ชื่อของเขากลับมาเป็นที่ต้องการของทีมชั้นนำของยุโรปอีกครั้ง ซึ่งล่าสุดก็มีหลายทีมที่แสดงท่าทีสนใจไม่ว่าจะเป็นเชลซี ,อาร์เซนอล ,แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ,ลิเวอร์พูล ,เรอัล มาดริด ,บาร์เซโลน่า และอินเตอร์ มิลาน ทีมล่าสุดที่มีการฟันธงกันว่าน่าจะเป็นทีมทีได้ตัว การ์ลิตอส คนนี้ไปร่วมทีม

ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อ : คาร์ลอส อัลแบร์โต้ เตเวซ
วันเกิด : 5 กุมภาพันธ์ 1984
เกิดที่ : ซิอูดาเดลา ,บูเอโนส ไอเรส ,อาร์เจนติน่า
ตำแหน่ง : กองหน้า
ส่วนสูง : 170 ซม.
สโมสรปัจจุบัน : แมนฯยูฯ
หมายเลขเสื้อ : 32
สโมสรอาชีพ
ปี                  สโมสร      ลงเล่น ประตู()

2001 - 2004 โบคา จูเนียร์ส 75 (25)
2005 - 2006 โครินเธียนส์ 38 (25 )
2006 - 2007 เวสต์แฮม 26 (7)
2007 - ปัจจุบัน แมนฯยูฯ - -

ทีมชาติ
2004 - ปัจจุบัน อาร์เจนติน่า 29 (6)










 




แกเบรียล โอมาร์ บาติสตูต้า เกิดเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 1969 นับเป็นนักฟุตบอลที่ได้รับความนิยมสูงสุดคนหนึ่งของโลกเลยทีเดียว ชีวิตในระดับสโมสร บาติโกล์ เป็นตำนานที่ไม่เคยตายของ “ม่วงมหากาฬ” ฟิออเรนตินา จนเรียกได้ว่าโลหิตจะกลายเป็นสีม่วงตามสัญลักษ์สโมสรอยู่แล้ว นอกจากนี้ ยังเป็นดาวยิงสูงสุดของทีมชาติอาร์เจนตินาด้วย

จากเด็กหนุ่มลูกชายช่างรับเหมา ส่วนคุณแม่เป็นเลขาในบริษัทเล็กๆ บาติโกล์ มีความรักตอนอายุ 16 ปีตกหลุมพลางภรรยาคนปัจจุบัน กลอเรย ก่อนจะได้แต่งงานกันในปี 1990 และย้ายสู่ ฟลอเรนซ์ ปี 1991 จากนั้น 1 ปีก็ได้ลูกชายคนแรก ไทโก้

สำหรับชีวิตบาติโกล์ ที่หลังจากหันมาทุ่มเทให้ต้นสังกิด ฟิออเรนตินา เต็มที่ พาทีมคว้าแชมป์ลีก และโชว์ฟอร์มดีให้กับทีมชาติ บรรดารายการทีวี สื่อต่างๆก็พากันให้ความสนใจมากขึ้นตามลำดับ แต่ บาติโกล์ ก็ไม่เคยคิดลากเอาครอบครัว เข้ามาแจมในสปอตไลต์ ที่ตัวเองถูกจับจ้องอยู่

ในวัยเด็กด้วยใจรักกีฬาและความสูงที่ได้ส่วน บาติโกล์ มุ่งมั่นมากกับการเล่น บาสเก็ตบอล แต่หลังจากได้เห็น อาร์เจนตินา คว้าแชมป์โลกเมื่อปี 1978 ซึ่งเจ้าตัวได้ดูด้วยและเกิดความประทับใจในทักษะของ มาริโอ เคมเปส อีกหนึ่งนักเตะระดับตำนานของ อาร์เจนตินา ก็เบนเข็มมาสนใจฟุตบอลทันที

เช่นเดียวกับนักเตะระดับพรสวรรค์สูงแต่ยากจนคนอื่นๆ บาติโกล์ ได้แต่เล่นฟุตบอลแถวบ้านตามถนนกับเพื่อนๆ จนได้เข้ารวมกลุ่มกับ กรูโป อาเลเกรีย ตามด้วยทีมระดับท้องถิ่นอย่าง พลาเทนส์ ซึ่งเป็นทีมระดับจูเนียร์

และขณะที่อยู่กับ พลาเทนส์ นี่เอง บาติโกล์ ได้รับเลือกติดทีมระดับจังหวัด ก่อนคว้าแชมป์ได้สำเร็จหลังชนะ นิวเวลล์ โอลด์ บอยส์ จาก โรซาริโอ จากนั้นได้ย้ายไปอยู่กับ ซานตา เฟ่ ก่อนซัดสองประตู ได้เซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพกับทีมทันทีในปี 1988

หลังจากแววความเป็นนักเตะยิ่งใหญ่เริ่มฉายแสงขึ้นเรื่อยๆ บาติโกล์ ได้ย้ายไปอยู่กับ นิวเวลล์ โอลด์ บอย ที่มี มาร์เซโล่ บิเอลซ่า เป็นโค้ช ในเวลาต่อมาบิเอลซ่า ก็ได้มาเป็นโค้ชทีมชาติฟ้าขาวเช่นกัน

อย่างไรก็ตามความสำเร็จล้นหลามไม่ได้มาง่ายๆตั้งแต่ปีแรก บาติโกล์ ต้องห่างบ้านและครอบครัวไปอยู่ที่สโมสร เล่นเอาน้ำหนักลดฮวบฮาบต่ำกว่าเกณฑ์ จนกระทั้งฟอร์มตก สิ้นปี บาติโกล์ โดนปล่อยให้สโมสรเล็กๆอย่าง เดปอร์ติโบ อิตาเลียโน่ ทีมใน บัวโนส ไอเรส ยืมตัวแต่ก็นับเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยน เมื่อจบฤดูกาลด้วยตำแหน่งดาวซัลโว 3 ประตู

และกลางปี 1989 ก็ได้ย้ายมาอยู่กับหนึ่งในสโมสรชั้นนำของอาร์เจนตินา อย่าง ริเวอร์ เพลต ที่ยิงไป 17 ประตู แต่กลางฤดูกาล โค้ช แดเนียล พาสซาเรลล่า ก็ดร็อปบาติโกล์ ออกจากทีมชนิด ไม่มีใครเข้าใจเหตุผล

ถัดมาปี 1990 บาติสตูต้า ได้เซ็นสัญญากับ โบคาจูเนียร์ แต่ก็ปรับตัวไม่ได้ จนกระทั้งการมาของ โค้ช ออสการ์ ตาบาเรซ ที่ให้กำลังใจและสนับสนุนเต็มที่จนความมั่นใจเริ่มมา และจบฤดูกาลด้วยตำแหน่งดาวซัลโว พร้อมพาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุด

บาติโกล์ ติดทีมชาติอาร์เจนตินา เมื่อปี 1991 ลุยศึก โคปาอเมริกา ที่ชิลี พาทีมคว้าแชมป์อีกแล้วพร้อมตำแหน่งดาวซัลโวทัวร์นาเมนต์ 6 ประตู ระหว่างนั้น เส้นทางบาติสตูตา กับ ฟิออเรนตินา ก็เริ่มขึ้น แต่ไม่ราบเรียบนักในช่วงแรก ม่วงมหากาฬตกชั้น สู่ เซรี่ บี แม้บาติโกล์ จะยิงไป 13 ประตูก็ตามที แต่ในปีที่ 2 ภายใต้การทำทีมของ เคลาดิโอ รานิเอรี่ พาฟิออฯ เลื่อนชั้นสู่ เซรี่ อา สำเร็จ พร้อมตำแหน่งดาวซัลโวอีกคั้ง ของ บาติสตูต้า

อาร์เจนตินา และ บาติสตูต้า กลับสุ่หน้าที่ของ โคปา อเมริกา อีกครั้งที่เอกวาดอร์ และป้องกันแชมป์สำเร็จ ก่อนจะไปอกหักอย่างแรงกับทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลก 1994 ที่อเมริกา อาร์เจนตินา ตการอบชนิดช็อคคนทั้งโลกจากน้ำมือทีม “ผีดิบ” โรมาเนีย ในรอบควอเตอร์ ไฟนัล โดยทั้งทีมได้รับผลโดยตรงจากคดี ดีเอโก้ มาราโดนา เสพโคเคน และติดโทษแบน

บาติโกล์ และอาร์เจนตินา มาเริ่มต้นใหม่กับรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 1998 ที่จะไปแข่งกันที่ฝรั่งเศส ทว่าความหวังที่จะได้แก้มือของบาติโกล์ หลุดลอยเมื่อไม่ค่อยจะได้ลงเล่นเต็มเม็ดเต็มหน่วยนักภายใต้การทำทีมของ พาสซาเรลล่า แต่เมื่อทีมได้ผ่านเข้ารอบสุดท้าย บาติโกล ยิงไป 5 ประตูก่อนที่จะพ่าย เนเธอร์แลนด์ ตกรอบควอเตอร์ ไฟนัล อีกครั้ง

อีกช่วงของบาติโกล์ กับทีมฟ้าขาวและเป็นช่วงสุดท้ายคือการพาทีมลุยศึกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2002 ซึ่งบาติโกล์ เป็นตัวหลักและทำผลงานได้ดีโดยตลอด ไม่แพ้เกือบ 2 ปี แต่ในที่สุดเจ้าตัวก็ประกาศข่าวร้ายให้ทุกคนได้รับรู้ คือโครงการอำลาทีมชาติแน่นอนหลังจบทัวร์นาเมนต์ พร้อมตั้งเป้าหมายคว้าแชมป์เป็นการอำลาให้จงได้

ทว่า อาร์เจนตินา โดนจับติ้วมาอยู่ในกลุ่มหิน ที่เรียกได้ว่าเป็น “กรุ๊ป ออฟ เดธ” เลยก็ว่าได้ และในที่สุดก็ตกรอบตั้งแต่รอบสองเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1962 หลังชนะไนจีเรีย แพ้อังกฤษ และ เสมอ สวีเดน

นับเป็นการจูบลาทีมชาติที่เจ็บปวดที่สุดของนักเตะระดับฮีโร่ อย่าง บาติโกล์

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์