ย้อนรอย สุดยอดดาวยิงในยุคก่อนๆ





     ถ้าจะเอ่ย ถึงตำแหน่งกองหน้าที่เก่งๆในฟุตบอลโลกซักคน คงจะต้องมีชื่อเขา คนนี้แน่นอน มาร์โก แวน บาสเท่น ยอดศูนย์หน้าชื่อก้องโลกของทีมชาติฮอลแลนด์   แวน บาสเท่น เกิดเมื่อวันที่ 31 ต.ค.ปี 1964  ที่เมืองอูเทร็คท์  และ ได้เริ่มเข้าร่วมทีมอาแจ็กซ์ จากทีมสมัครเล่นอีลิงค์วิก ในปี 1981  ด้วยพรสวรรค์และความเก่งเกินวัยทำให้เขาพุ่งขึ้นมาติดทีมชุดใหญ่ ของอาแจ๊กซ์เมื่ออายุเพียง 17 ปี โดยเป็นตัวสำรองแทน นักเตะเทวดา อย่าง โยฮัน ครัฟฟ์

          แวน บาสเท่น ถูกจับตามองอย่างมากเมื่อเขาติดทีมฮอลแลนด์ ชุดเยาวชนโลกที่เม็กซิโก เมื่อปี 1983 ซึ่งตัวเขาเองสามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม


         ผลงานในสโมสรอาแจ๊กซ์ ของแวน บาสเท่น ไม่ธรรดาเลย เมื่อยิงประตู ได้ทั้งสิ้น 128 ประตู ซึ่งเป็นสถิติที่เฉลี่ยแล้วเกือบยิงทุกนัดที่ลงสนาม ความเป็นดาวซัลโวที่ฉายแสงอย่างสุดยอดของเขาในทีมอาแจ๊กซ์ ทำให้สโมสรขาย วิฟ เคี้ยฟ ดาราเท้าทองแห่งยุโรปในปี 1982 ออกจากทีมไปในปี 1983


         แวน บาสเท่น ยังสำแดงเดช ยิงประตูให้อาแจ๊กซ์เป็นว่าเล่น จนสามารถนำทีมคว้าแชมป์คัพวินเนอร์คัพ มาครองได้ในปี 1987 และในปีนั้นแวน บาสเท่น กดไปถึง 31 ประตู ด้วยผลงนอันยอดเยี่ยมนี่เอง ทำให้ ทีมปีศาจแดงดำ เอซี มิลาน มาซื้อตัวเขาในราคา 1.5 ล้านปอนด์ ( ประมาณ 80 ล้านบาท) โดยต้องแย่งกับสโมสรชั้นนำของยุโรป อย่าง บาร์เซโรน่า,โรม่า,แวร์เดอ เบรเมน  ซึ่งทำให้เอซี มิลาน แข็งแกร่ง และก้าวขึ้นไปเป็นยอดทีมในยุคนั้นทันที


         สำหรับผลงานในระดับชาติ แวน บาสเท่น สร้างชื่อของเขาในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ในปี 1988 ที่ประเทศเยอรมันตะวันตก ซึ่งช่วงแรกๆ เขาต้องเล่นเป็นแค่ตัวสำรอง แต่หลังจากนัดแรก แวน บาสเท่น ได้กลับมาเล่นเป็นตัวจริงและยิงได้ถึง 5 ประตู รวมถึงประตูดับเจ้าภาพเยอรมันในรอบตัดเชือกและลูกสุดสวยกับทีมชาติรัสเซีย ในนัดชิงชนะเลิศ และพาทีมคว้าแชมป์ยุโรปในปี 1988 ด้วย


       ส่วนฟุตบอลโลกสำหรับแวน บาสเท่น ในปี 1990 ที่ประเทศอิตาลี ตอนนั้น ฮอลแลนด์ ไปในฐานะทีมแชม์ยุโรปและตัวเต็งอันดับ ต้นๆ แต่ต้องเจองานหนักตั้งแต่รอบแรกอยู่ร่วมสาย กับ อียิปต์,ไอร์แลนด์ และอังกฤษ ซึ่งฮอลแลนด์สร้างผลงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร แต่ก็สามารถผ่านเข้ารอบสอง ไปเจอกับเยอรมันตะวันตก ซึ่งถือเป็นการล้างตาจากฟุตบอลยูโร 88 ซึ่งคราวนี้ ทีมของแวน บาสเท่น ต้องแพ้ไป 1-2 ทำให้ต้องตกรอบอย่างรวดเร็ว


         หลังจากนั้นแวน บาสเท่น พาทีมเอซี มิลาน คว้าแชมป์เป็นว่าเล่นไม่ว่า แชมป์กัลโช่ เซเรียอา,แชมป์ยูโรเปี้ยนส์ คัพ,แชมป์สโมสรโลก ฯลฯ และตัวเขาเองยังคว้าตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรปได้ถึง 3 สมัยในปี 1988,1989 และ 1992  และนักเตะยอดเยี่ยมของโลก ในปี 1992 เช่นกัน


         แต่หลังจากนั้น โชคชะตา จะเล่นตลกกับ แวน บาสเท่น เมื่อมีปัญหาอาการบาดเจ็บ เล่นงานเรื้อรังไม่ว่าจะผ่าตัดกี่ครั้ง แต่แวน บาสเท่น ก็ไม่สามารถจะกลับมาเล่นฟุตบอลได้อีก แม้ฟุตบอลโลกในปี 1994 แวน บาสเท่น ก็ไม่สามารถฟิตทันได้ และแวน บาสเท่น ทนอาการบาดเจ็บไม่ไหว จนต้องประกาศแขวน สตั๊ดด้วยวัยเพียง 29 ปีเท่านั้น


         แม้ว่า ผลงานในฟุตบอลโลกของแวน บาสเท่น จะมีแค่ในฟุตบอลโลก ปี 1990 แค่ครั้งเดียว แต่ชื่อของเขา ยังเป็นที่รู้จักในวงการลูกหนังโลกและได้รับการยกย่องว่า เป็นกองหน้าที่ดีที่สุดของโลก ที่เคยมีมาอีกด้วย  ปัจจุบัน แวน บาสเท่น กำลังจะกลับเข้าสู่ฟุตบอลโลกอีกครั้งที่ประเทศเยอรมันในปี 2006 แต่มาคราวนี้ เขามาในฐานะกุนซือทีมชาติฮอลแลนด์ ซึ่งพลพรรค อัศวินสีส้มได้รับการคาดหมายว่าเป็นทีมตัวเต็งอันดับต้นๆด้วย 


         ถึงกาลเวลาจะผ่านไปแค่ไหน แต่คงไม่มีใครลืมผลงานถล่มประตูอันสุดยอดของ ยอดศูนย์หน้าระดับโลกในตำนาน อย่าง มาร์โก แวน บาสเท่น คนนี้ได้อย่างแน่นอน

ถ้าจะเอ่ย ถึงตำแหน่งกองหน้าที่เก่งๆในฟุตบอลโลกซักคน คงจะต้องมีชื่อเขา คนนี้แน่นอน มาร์โก แวน บาสเท่น ยอดศูนย์หน้าชื่อก้องโลกของทีมชาติฮอลแลนด์   แวน บาสเท่น เกิดเมื่อวันที่ 31 ต.ค.ปี 1964  ที่เมืองอูเทร็คท์  และ ได้เริ่มเข้าร่วมทีมอาแจ็กซ์ จากทีมสมัครเล่นอีลิงค์วิก ในปี 1981  ด้วยพรสวรรค์และความเก่งเกินวัยทำให้เขาพุ่งขึ้นมาติดทีมชุดใหญ่ ของอาแจ๊กซ์เมื่ออายุเพียง 17 ปี โดยเป็นตัวสำรองแทน นักเตะเทวดา อย่าง โยฮัน ครัฟฟ์

          แวน บาสเท่น ถูกจับตามองอย่างมากเมื่อเขาติดทีมฮอลแลนด์ ชุดเยาวชนโลกที่เม็กซิโก เมื่อปี 1983 ซึ่งตัวเขาเองสามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม


         ผลงานในสโมสรอาแจ๊กซ์ ของแวน บาสเท่น ไม่ธรรดาเลย เมื่อยิงประตู ได้ทั้งสิ้น 128 ประตู ซึ่งเป็นสถิติที่เฉลี่ยแล้วเกือบยิงทุกนัดที่ลงสนาม ความเป็นดาวซัลโวที่ฉายแสงอย่างสุดยอดของเขาในทีมอาแจ๊กซ์ ทำให้สโมสรขาย วิฟ เคี้ยฟ ดาราเท้าทองแห่งยุโรปในปี 1982 ออกจากทีมไปในปี 1983


         แวน บาสเท่น ยังสำแดงเดช ยิงประตูให้อาแจ๊กซ์เป็นว่าเล่น จนสามารถนำทีมคว้าแชมป์คัพวินเนอร์คัพ มาครองได้ในปี 1987 และในปีนั้นแวน บาสเท่น กดไปถึง 31 ประตู ด้วยผลงนอันยอดเยี่ยมนี่เอง ทำให้ ทีมปีศาจแดงดำ เอซี มิลาน มาซื้อตัวเขาในราคา 1.5 ล้านปอนด์ ( ประมาณ 80 ล้านบาท) โดยต้องแย่งกับสโมสรชั้นนำของยุโรป อย่าง บาร์เซโรน่า,โรม่า,แวร์เดอ เบรเมน  ซึ่งทำให้เอซี มิลาน แข็งแกร่ง และก้าวขึ้นไปเป็นยอดทีมในยุคนั้นทันที


         สำหรับผลงานในระดับชาติ แวน บาสเท่น สร้างชื่อของเขาในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ในปี 1988 ที่ประเทศเยอรมันตะวันตก ซึ่งช่วงแรกๆ เขาต้องเล่นเป็นแค่ตัวสำรอง แต่หลังจากนัดแรก แวน บาสเท่น ได้กลับมาเล่นเป็นตัวจริงและยิงได้ถึง 5 ประตู รวมถึงประตูดับเจ้าภาพเยอรมันในรอบตัดเชือกและลูกสุดสวยกับทีมชาติรัสเซีย ในนัดชิงชนะเลิศ และพาทีมคว้าแชมป์ยุโรปในปี 1988 ด้วย


       ส่วนฟุตบอลโลกสำหรับแวน บาสเท่น ในปี 1990 ที่ประเทศอิตาลี ตอนนั้น ฮอลแลนด์ ไปในฐานะทีมแชม์ยุโรปและตัวเต็งอันดับ ต้นๆ แต่ต้องเจองานหนักตั้งแต่รอบแรกอยู่ร่วมสาย กับ อียิปต์,ไอร์แลนด์ และอังกฤษ ซึ่งฮอลแลนด์สร้างผลงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร แต่ก็สามารถผ่านเข้ารอบสอง ไปเจอกับเยอรมันตะวันตก ซึ่งถือเป็นการล้างตาจากฟุตบอลยูโร 88 ซึ่งคราวนี้ ทีมของแวน บาสเท่น ต้องแพ้ไป 1-2 ทำให้ต้องตกรอบอย่างรวดเร็ว


         หลังจากนั้นแวน บาสเท่น พาทีมเอซี มิลาน คว้าแชมป์เป็นว่าเล่นไม่ว่า แชมป์กัลโช่ เซเรียอา,แชมป์ยูโรเปี้ยนส์ คัพ,แชมป์สโมสรโลก ฯลฯ และตัวเขาเองยังคว้าตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรปได้ถึง 3 สมัยในปี 1988,1989 และ 1992  และนักเตะยอดเยี่ยมของโลก ในปี 1992 เช่นกัน


         แต่หลังจากนั้น โชคชะตา จะเล่นตลกกับ แวน บาสเท่น เมื่อมีปัญหาอาการบาดเจ็บ เล่นงานเรื้อรังไม่ว่าจะผ่าตัดกี่ครั้ง แต่แวน บาสเท่น ก็ไม่สามารถจะกลับมาเล่นฟุตบอลได้อีก แม้ฟุตบอลโลกในปี 1994 แวน บาสเท่น ก็ไม่สามารถฟิตทันได้ และแวน บาสเท่น ทนอาการบาดเจ็บไม่ไหว จนต้องประกาศแขวน สตั๊ดด้วยวัยเพียง 29 ปีเท่านั้น


         แม้ว่า ผลงานในฟุตบอลโลกของแวน บาสเท่น จะมีแค่ในฟุตบอลโลก ปี 1990 แค่ครั้งเดียว แต่ชื่อของเขา ยังเป็นที่รู้จักในวงการลูกหนังโลกและได้รับการยกย่องว่า เป็นกองหน้าที่ดีที่สุดของโลก ที่เคยมีมาอีกด้วย  ปัจจุบัน แวน บาสเท่น กำลังจะกลับเข้าสู่ฟุตบอลโลกอีกครั้งที่ประเทศเยอรมันในปี 2006 แต่มาคราวนี้ เขามาในฐานะกุนซือทีมชาติฮอลแลนด์ ซึ่งพลพรรค อัศวินสีส้มได้รับการคาดหมายว่าเป็นทีมตัวเต็งอันดับต้นๆด้วย 


         ถึงกาลเวลาจะผ่านไปแค่ไหน แต่คงไม่มีใครลืมผลงานถล่มประตูอันสุดยอดของ ยอดศูนย์หน้าระดับโลกในตำนาน อย่าง มาร์โก แวน บาสเท่น คนนี้ได้อย่างแน่นอน






























     อลัน เชียเรอร์ เกิดเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 1970 ที่กอสฟอร์ธ ในเมืองนิวคาสเซิล เมื่อเชียเรอร์ยังเด็ก เขเคยได้รับฉายาว่า โสมคกี้ เพราะว่าเขาชอบกินโสมคกี้เบคอนมาก ครอบครัวของเชีบเรอร์นั้น เป็นผู้สนับสนุนทีมนิวคาสเซิ่ลยูไนเต็ดมานานมากแล้ว ซึ่งฮีโร่ของเขาก็คือ ซูเปอร์สตาร์ทีมชาติอังกฤษ เควิน คีแกน เมื่ออายุ12 เชียเรอร์ได้เป็นกัปตันทีมฟุตบอลของโรงเรียนเพราะทักษะเชิงฟุตบอลของเขา นั้นน่าทึ่งเหลือเกิน จนครูของเขากล่าวว่า ถ้าหากแมตช์ไหนไม่มีอลัน แมตช์นั้นเราจะแพ้ แถมเขายังเคยยิงได้13ประตูใน 1เกมส์อีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีสตาฟฟ์โคชคนไหนของ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ดเห็นถึงความสามารถของเด็กคนนี้เลย ซึ่งความผิดพลาดครั้งนี้ ทำให้มันมีมูลค่าถึง15ล้านปอนด์ทีเดียว ซึ่งเสกาท์(แมวมอง)ของทีมเซาท์แทมตันได้เห็นถึงจุดนี้ จึงได้นำตัวเชียเรอร์ไปจ ากนิวคาสเซิ่ล เขาได้ลงสนามเป็นครั้งแรกเมืออายุ17ปี ซึ่งในปีนั้นเอง เขาได้กลายเป็นผู้เล่นที่เด็กที่สุดที่สามารถ ทำแฮตทริก(3ประตูในแมตช์เดียว)ในลีกสูงสุดของอังกฤษได้ ในปี1982 เชียเรอร์ย้ายไปแบล็คเบิร์นด้วยค้าตัว3.6ล้านปอนด์ โดยการซื้ออันชาญฉลาดของเควินคีแกนและแล้วเขาก็ได้กลายเป็นผู้เล่นคนแรกที่สามารถทำประตูได้เกิน30ประตูติดต่อกัน3ฤดูกาล ช่วยให้แบล็คเบิร์นสามารถ เป็นแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษได้ในรอบ81ปี แม้จะมีการบาดเจ็บรบกวนเล็กน้อย แต่เชียเรอร์ก็ยังกลายเป็นดาวซัลโวสูงสุดของฟุตบอลยูโร'96 ด้วยจำนวน5ประตู ในเวลาต่อมา เชียเรอร์ย้ายมานิวคาสเซิลด้วยค้าตัว15ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นการย้ายทีมที่มีค่าตัวแพงที่สุดของเกาะอังกฤษในขนะนั้น แต่โชคร้ายเหลือเกินที่อาการบาดเจ็บรบกวนเชียเรอร์อยู่ตลอดเวลา ทำให้ฟอร์มที่กำลังร้อนแรง ต้องหยุดไป ซึ่งพวกเราก็หวังเหลือเกินว่า เชียเรอร์ต้องงัดฟอร์มเก่งกลับมาได้ในไม่ช้า



























     ริวัลโด หรือชื่อเต็ม ริวัลโด วิเตอร์ บอร์บา เฟอไรรา (Rivaldo Vitor Borba Ferreira) เกิดวันที่ 19 เมษายน ค.ศ. 1972 ที่ประเทศบราซิล เป็นนักฟุตบอลทีมชาติบราซิล ปัจจุบันสังกัดสโมสรฟุตบอลโอลิมเปียกอส ในประเทศกรีซ ริวัลโดเป็นส่วนสำคัญของบราซิลชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 2002 เขายังได้รับตำแหน่งนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรปในปี 1999 และได้ชื่อว่าเป็นผู้เล่นตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุกที่ยอดเยี่ยมตลอดกาลคนหนึ่ง ริวัลโดยังมีชื่อเสียงจากลูกเตะจักรยานอากาศ (bicycle shoot) มีฉายาที่เรียกโดยแฟนฟุตบอลชาวไทยว่า นิเชา

ริวัลโดเริ่มเล่นฟุตบอลเมื่ออายุ 16 ปีกับสโมสรฟุตบอลซานตาครูซ ในบราซิล เมื่อ ค.ศ. 1989 หลังจากนั้นสองปีเขาได้ย้ายไปเล่นให้กับสโมสร Mogi Mirim EC ในลีกสองของบราซิล ริวัลโดเริ่มมีชื่อเสียงเมื่อย้ายไปร่วมทีมสโมสรฟุตบอลโครินเธียนส์ เมื่อ ค.ศ. 1993 และติดทีมชาติบราซิลเป็นครั้งแรกในปีเดียวกัน ปีถัดมาเขาย้ายไปร่วมทีมสโมสรฟุตบอลพาลไมรัส ค.ศ. 1996 ริวัลโดย้ายมาค้าแข้งในทวีปยุโรป โดยเซ็นสัญญาหนึ่งปีกับสโมสรฟุตบอลดีปอร์ติโว ลาคอรุญญ่า ในประเทศสเปน ก่อนที่จะย้ายมาร่วมสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา ด้วยค่าตัว 16.5 ล้านยูโร ช่วงนี้ริวัลโดประสบความสำเร็จกับทีมชาติบราซิลในการคว้าแชมป์โคปา อเมริกา 1997 และเข้าแข่งขันฟุตบอลโลก 1998ที่ประเทศฝรั่งเศส ริวัลโดนำบาร์เซโลนาคว้าแชมป์ลา ลีก้าในปี 1998 และ 1999 ซึ่งในปีนี้ เขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่าและนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรป ค.ศ. 2002 ริวัลโดย้ายมายังสโมสรฟุตบอลเอซีมิลานในกัลโช่ ซีรีส์ เอของอิตาลี ในฤดูกาล 2002-03 เขาได้แชมป์อิตาเลียนคัพและยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกร่วมกับเอซีมิลาน แต่หลังจากนั้นเขาประสบปัญหาฟอร์มตก และย้ายจากมิลานไปเล่นให้สโมสรฟุตบอลเฟเนอร์บาห์นเซในตุรกีได้หนึ่งปี กลับไปเล่นให้สโมสรฟุตบอลครูไซโรในบราซิลเป็นระยะเวลาสั้นๆ และมาอยู่กับสโมสรฟุตบอลโอลิมเปียกอสในประเทศกรีซจนถึงปัจจุบัน

ริวัลโดประสบความสำเร็จสูงสุดกับการเล่นฟุตบอลในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2002 โดยร่วมกับโรนัลโด้และโรนัลดิญโญ่ช่วยพาทีมชาติบราซิลได้แชมป์ทัวร์นาเมนต์ครั้งนั้น โดยในรอบสองที่พบกับอังกฤษ ซึ่งเป็นครั้งแรกด้วยที่ทีมชาติทั้งสองได้พบกันในศึกฟุตบอลโลก ริวัลโด้เป็นผู้ตีเสมอให้ทีม 1:1 ก่อนจะหมดครึ่งแรก ก่อนที่โรนัลดิญโญ่จะเป็นผู้ยิงลูกฟรีคิกข้ามหัว เดวิด ซีแมน ผู้รักษาประตูของอังกฤษ ทำให้บราซิลขึ้นนำ 1:2 ในครึ่งหลัง ก่อนจะชนะอังกฤษเข้ารอบไปได้ในที่สุดด้วยสกอร์นี้
 

    


ขอใครอีกก็ขอมานะครับจะพยายามหาให้ อิอิ ไม่ไหวง่วงเลยทำแค่3คนก่อนครับ


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์