เกาะติด ยูโร 2008 ตรุกี & สเปน

ตุรกี : ถึงเวลาที่จะพิสูจน์ฝีเท้าอีกครั้งหนึ่งแล้ว

กลุ่ม A

โปรแกรมการแข่งขัน รอบแรก
7 มิ.ย. 2008 โปรตุเกส-ตุรกี 01.45 น.
11 มิ.ย. 2008 สวิตเซอร์แลนด์-ตุรกี 01.45 น.
15 มิ.ย. 2008 สาธารณรัฐเช็ก-ตุรกี 01.45 น.

ผลงานในรอบคัดเลือก

แข่ง 12, ชนะ 7, เสมอ 3, แพ้ 2, ได้ 25, เสีย 11, แต้ม 24

วัน/เดือน/ปี 6 ก.ย. 2006, สถานที่ เหย้า, คู่แข่งขัน ชนะ มอลตา, ผล 2-0
วัน/เดือน/ปี 7 ต.ค. 2006, สถานที่ เยือน, คู่แข่งขัน ชนะ ฮังการี, ผล 1-0
วัน/เดือน/ปี 11 ต.ค. 2006, สถานที่ เหย้า, คู่แข่งขัน ชนะ มอลโดวา, ผล 5-0
วัน/เดือน/ปี 24 มี.ค. 2007, สถานที่ เยือน, คู่แข่งขัน ชนะ กรีซ, ผล 4-1
วัน/เดือน/ปี 28 มี.ค. 2007, สถานที่ เหย้า, คู่แข่งขัน เสมอ นอร์เวย์, ผล 2-2
วัน/เดือน/ปี 2 มิ.ย. 2007, สถานที่ เยือน, คู่แข่งขัน แพ้ บอสเนีย-เฮอร์เซโกวินา, ผล 2-3
วัน/เดือน/ปี 8 ก.ย. 2007, สถานที่ เยือน, คู่แข่งขัน เสมอ มอลตา, ผล 2-2
วัน/เดือน/ปี 12 ก.ย. 2007, สถานที่ เหย้า, คู่แข่งขัน ชนะ ฮังการี, ผล 3-0
วัน/เดือน/ปี 13 ต.ค. 2007, สถานที่ เยือน, คู่แข่งขัน เสมอ มอลโดวา, ผล 1-1
วัน/เดือน/ปี 17 ต.ค. 2007, สถานที่ เหย้า, คู่แข่งขัน แพ้ กรีซ, ผล 0-1
วัน/เดือน/ปี 17 พ.ย. 2007, สถานที่ เยือน, คู่แข่งขัน ชนะ นอร์เวย์, ผล 2-1
วัน/เดือน/ปี 21 พ.ย. 2007, สถานที่ เหย้า, คู่แข่งขัน ชนะ บอสเนีย-เฮอร์เซโกวินา, ผล 1-0

ข้อมูลจำเพาะตุรกี


กัปตันทีม :
ฮาคาน ซูเคอร์
อันดับโลกล่าสุด : 16
ผลงานที่ดีที่สุดในยูโร : รอบก่อนรองชนะเลิศ ยูโร 2000
สถิติการแข่งขันในรอบที่ผ่านมา : 1960-1992 - ไม่ผ่านรอบคัดเลือก, 1996 - รอบแรก, 2000 - รอบก่อนรองชนะเลิศ, 2004 - ไม่ผ่านรอบคัดเลือก, 2008 - เข้ารอบสุดท้าย

ตุรกี ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายฟุตบอลยูโร 2008 ในฐานะอันดับ 2 ของ กลุ่ม C รองจาก กรีซ แชมป์เก่าจากยูโร 2004 อย่างใจหายใจคว่ำ ทั้งที่เริ่มต้นได้อย่างสวยงาม โดยชนะรวด 3 นัดแรก โดยไม่เสียประตูเลย และยอดดาวยิง ฮาคาน ซูเคอร์ ทำได้ 4 ประตู เป็นสถิติยิงให้ทีมชาติตุรกี ครบ 50 ประตู ในนัดชนะมอลโดวา 5-0 หลัง จากนั้นพวกเขายังบุกไปเอาชนะแชมป์เก่า กรีซ ได้ถึงถิ่นเอเธนส์ 4-1 แต่พอย่างเข้ากลางปี 2007 ตุรกี กลับฟอร์มตกอย่างต่อเนื่อง เอาชนะได้เพียงนัดเดียวใน 6 นัดต่อมา เริ่มจากเสมอนอร์เวย์ในบ้าน 2-2 ออกไปแพ้ บอส เนีย 2-3 และเสมอกับทีมรองบ่อนอย่าง มอลตา นอกบ้าน 2-2

สถานการณ์ดูจะดีขึ้นเมื่อเปิดบ้านเอาชนะฮังการี 3-0 แต่กลับทำได้แค่เสมอในการไปเยือนมอลโดวา 1-1 และเข้าสู่ภาวะวิกฤติเมื่อเล่นในบ้านแพ้กรีซ 0-1 ทำให้กรีซได้คะแนนมากพอที่จะผ่าน เข้าสู่รอบสุดท้ายอย่างแน่นอน แต่ตุรกีกลับตกไปอยู่อันดับ 3 ตามหลังคู่แข่งขันสำคัญคือ นอร์เวย์ ทำให้พวกเขามีงานหนักต้องเอาชนะให้ได้ทั้งหมดในอีก 2 นัดที่เหลือ นัดชี้ชะตาก็คือการออกไปเยือนนอร์เวย์ที่ออสโล เมื่อ 17 พ.ย. 50 ถือเป็นนัดตัดสินการเข้ารอบทั้งสองทีม ซึ่งพวกเขาเอาชนะได้หวุดหวิด 2-1 และปิดท้ายด้วยการเปิดบ้านเอาชนะ บอสเนีย 1-0 ได้ คะแนนเหนืออันดับ 3 คือ นอร์เวย์ เพียงคะแนนเดียวเท่านั้น

ตุรกีดวงตกอย่างต่อเนื่องติดต่อกันโดยหลังจากได้อันดับ 3 ในฟุตบอลโลก 2002 ที่ญี่ปุ่น-เกาหลี ก็ต้องตกรอบคัดเลือกอย่างน่าเสียดายทั้งในยูโร 2004 และฟุตบอลโลก 2006

ในรอบคัดเลือก ยูโร 2004 ตุรกีเอาชนะเพื่อนร่วมกลุ่มได้หมดทั้งเหย้าเยือนไม่ว่าจะเป็น สโลวาเกีย มาเซโดเนีย และลิกเตนสไตน์ และออกไปพ่ายคู่แข่งสำคัญคืออังกฤษ ทั้งที่ยันสกอร์ 0-0 ไว้ได้ถึง 75 นาที ในการเล่นที่สเตเดี้ยม ออฟ ไลท์ของซันเดอร์แลนด์ โดยที่ ดาริอุส วาสเซลล์ ยิงให้อังกฤษได้ในนาทีที่ 76 ตามด้วยลูกโทษที่จุดโทษของ เดวิด เบคแคม ก่อนหมดเวลา 2 นาที แม้ว่าในนัดสุดท้ายพวกเขาจะมีโอกาสเป็นที่ 1 ของกลุ่ม เมื่อเปิดบ้านรับการไปเยือนของอังกฤษแต่ก็ไม่สามารถเอาชนะได้ ผลลงเอยด้วยการเสมอกัน 0-0 ทำให้ตุรกีได้อันดับ 2 เป็นรองอังกฤษเพียงคะแนนเดียว ต้องไปเล่นเพลย์ออฟกับลัตเวียทั้งที่ฟอร์มดูเป็นต่ออย่างมากแต่พวกเขาก็ออกไปพ่ายลัตเวียที่ ริกาจากประตูโทนของ มาริส เวอร์ปาคอฟสกี ในนัดที่ 2 ของการเตะเพลย์ออฟ ตุรกี ดูเหมือนจะได้ฉลองการผ่านเข้ารอบสุดท้าย อยู่แล้ว เมื่อยิงนำไปก่อน 2-0 จากประตูของ อิสฮาน มานซิล นาทีที่ 20 และ ฮาคาน ซูเคอร์ นาที ที่ 64 แต่เพียง 1 นาทีต่อมาพวกเขาก็ฝันสลายเมื่อยูริส ไลซาน ยิงให้ลัตเวียไล่มา 1-2 ในนาทีที่ 65 ทำให้ตุรกีต้องบุกหนักในเวลาที่เหลือ เพราะต้องยิงประตูเพิ่มให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะตกรอบด้วยกฎอเวย์โกล ทำให้เปิดช่องว่างให้ เวอร์ปาคอฟสกี หลุดเข้าไปยิงได้อีกในนาทีที่ 76 ตุรกีจึงต้องตกรอบไปอย่างพลิกความคาดหมาย

ในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2006 ตุรกีอยู่ร่วมกลุ่มกับแชมป์ยูโร 2004 อย่าง กรีซ, เดนมาร์ก, ยูเครน, จอร์เจีย, แอลเบเนีย และคาซัคสถาน พวกเขาเอาชนะได้ 6 นัด เสมอ 5 และแพ้เพียงครั้งเดียวต่อยูเครนในถิ่นตัวเองทำให้หลุดไปเป็นที่สองของกลุ่มตามหลังยูเครน ซึ่งกำลังอยู่ในยุคที่ อังเดร เชฟเชนโก ที่กำลังรุ่งโรจน์ ต้องไปเล่นเพลย์ออฟ กับสวิตเซอร์แลนด์ แม้ว่า 2 นัด จะมีประตูเสมอกัน 4-4 แต่ตุรกีก็ต้องตกรอบไปเพราะกฎประตูทีมเยือน

ตุรกีได้ลงเล่นรอบคัดเลือกฟุตบอลยูโรมาตลอดทั้ง 13 ครั้ง แต่เพิ่งได้ผ่านเข้ารอบสุดท้ายครั้งแรก เมื่อปี 1996 และเข้าไปพ่ายรวดทั้ง 3 นัด ในรอบแรก ในฟุตบอลยูโร 2000 ตุรกีได้อันดับ 2 ของกลุ่มในรอบคัดเลือก ต้องเล่นเพลย์ออฟกับไอร์แลนด์ และผ่านเข้ารอบสุดท้ายได้ด้วยกฎประตูทีมเยือน ในรอบแรกพวกเขาทำได้ 4 คะแนน จาก 3 นัด กับ เบลเยียม อิตาลี และสวีเดน ได้เข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ และไปพ่ายให้กับ โปรตุเกส 0-2 ตกรอบไป

จาก 13 ครั้งของฟุตบอลยูโร นับถึงสิ้นสุดรอบคัดเลือกครั้งนี้ ตุรกี ลงเล่น 95 นัด ชนะ 35 เสมอ 22 แพ้ 38 ยิงได้ 110 ประตู และเสีย 135 ประตู

กลยุทธ์ของทีม

ตุรกี ซึ่งเคยรุ่งเรืองที่สุดเมื่อคว้าตำแหน่งที่ 3 ในฟุตบอลโลก 2002 แต่ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการฟลุกมากกว่าฝีมือที่แท้จริง พวกเขาไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้ เพราะหลังจากนั้นก็ตกรอบคัดเลือกฟุตบอลรายการใหญ่มาตลอด จนกระทั่ง ปีนี้ จึงสามารถกลับมาผ่านเข้ารอบสุดท้ายยูโร 2008 ได้ และคราวนี้คงเป็นโอกาส พิสูจน์ฝีมือของพวกเขาอีกครั้ง

ในตำแหน่งผู้รักษาประตู รุสตู เร็คเบอร์ รับบทมือ 1 ในตอนเริ่มต้นรอบคัดเลือก แต่ประสบปัญหาการบาดเจ็บจนต้องให้ โวลคาน เดมิเรล เข้ามาแทน และ ในรอบสุดท้ายนี้ เตริม น่าจะเลือก โวลคาน เป็นมือ 1 มากกว่า

ในแดนหลังคู่กลาง เซอร์เวต เซติน และ กอคคาน แซน มีจุดเด่นที่ความสูง และการยืนตำแหน่งที่ดี แต่ยังขาดความเร็ว ซึ่งทำให้ทีมเสียถึง 4 ประตู จากลูกทุ่มในรอบคัดเลือก ทำให้ อิบราฮิม โทรามาน และ เอมเร อาซิค อาจได้เข้ามาเสริมแทน

แบ๊กขวา น่าจะลงตัวที่ กอคคาน โกนัล วัย 23 ปี ที่มีผลงานโดดเด่นในช่วง 12 เดือนหลัง แต่แบ๊กซ้ายยังมีปัญหา เพราะตัวหลัก อิมราฮิม อูซุลเมซ ฟอร์มตกมากในระยะหลัง จนอาจต้องเลือกใช้ ฮาคาน บัลตา หรือ โวลคาน ยามาน ส่วนในแดนกลางตุรกี มี ฮามิต อัลตินท็อป และ เมห์เม็ต ออเรลิโอ เป็นตัวหลักและกำลังเสริมจาก กอคเดนิซ คาราเดนิซ, อาร์ดา ตูราน และตูเมอร์ เมติน ในขณะที่แดนหน้าและกองกลางตัวรุก มีทั้ง ยิลดิราย บาสเติร์ก, ฟาติห์ เท็กเก, นิฮัต คาห์เวซี, ตุนกาย ซานลี, กอกคาน อูนาล, อูมิต คาราน, เซมิห์ เซนเติร์ก และ เมห์เมต ยิลดิซ.


   โค้ช : ฟาติห์ เตริม

     ฟาติห์ เตริม ซึ่งได้รับสมญานามจากแฟนบอลตุรกีว่า “จักรพรรดิ” เข้ารับหน้าที่คุมทีมชาติตุรกีเป็นครั้งที่ 2 ตั้งแต่ปี 2005 แต่ไม่สามารถพาทีมเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 2006 ได้ เพราะเตะแพ้เพลย์ออฟ ให้สวิตเซอร์แลนด์

     เตริม สมัยเล่นฟุตบอลรับตำแหน่งกองหลังตัวกลาง เคยอยู่กับกาลาตาซาราย ยอดทีมสโมสรของตุรกีกว่า 10 ปี และติดทีมชาติตุรกี 51 ครั้ง โดยรับหน้าที่กัปตันทีม 31 ครั้ง

     เขาเริ่มเป็นโค้ชกับทีม เอ็มเคอี อังการา กูคู ต่อด้วย โกซเตเป และเข้ารับหน้าที่ผู้ช่วยโค้ชทีมชาติให้ เซปป์ ปิออนเทค ในเวลาต่อมา เขาได้รับ มอบหมายให้คุมทีมชาติอายุต่ำกว่า 21 ปี ในปี 1991

     เตริม ได้เข้ารับหน้าที่เป็นโค้ชทีมชาติชุดใหญ่เมื่อปี 1993 และพาทีมเข้ารอบสุดท้าย ที่อังกฤษ ได้สำเร็จแม้จะแพ้รอบแรกทั้ง 3 นัด แต่นั่นคือความสำเร็จสูงสุดของทีมชาติตุรกี เพราะเป็นรอบสุดท้ายฟุตบอลยูโรครั้งแรกของพวกเขา

หลังฟุตบอลยูโร 1996 เขากลับมารับหน้าที่โค้ชทีมกาลาตาซาราย พา ทีมคว้าแชมป์ลีกตุรกี 4 ครั้ง และขึ้นครองถ้วยยูฟ่าคัพในปี 1999-2000 เขาออกนอกประเทศไปเป็นโค้ชให้ฟิออเรนตินา ในอิตาลี ต่อด้วยช่วงสั้น ๆ กับเอซีมิลาน แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร จึงกลับมาอยู่กับกาลาตาซารายใหม่ แต่ด้วยปัญหาหลายอย่างที่ถาโถมเข้ามา เขาจึงหยุดงานโค้ชฟุตบอลไปชั่วคราวในปี 2004 และมาเริ่มงานใหม่ด้วยการคุมทีมชาติตุรกีอีกครั้ง.

ดาราทองตุรกี : ฮาคาน ซูเคอร์

ตุรกีเลือกส่งชื่อ ฮาคาน ซูเคอร์ เป็นผู้เล่นที่เด่นที่สุดในรอบ 50 ปี ให้แก่ยูฟ่า ซึ่งเชื่อว่าแฟนบอลทั้งหลายจะเห็นด้วยอย่างแน่นอน เพราะตั้งแต่ตุรกีเริ่มมีผลงานเป็นที่รู้จักตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมา ชื่อของฮาคาน ซูเคอร์ ก็ดีขึ้นมาพร้อมกันในฐานะยอดดาวยิง ที่ประสบความสำเร็จทั้งในและนอกประเทศ

เขาครองสถิติผู้เล่นที่ยิงประตูให้ทีมชาติตุรกีได้มากที่สุด เป็นนักเตะตุรกีที่ยิงประตูในฟุตบอลสโมสรยุโรปได้มากที่สุด และเป็นดาวยิงสูงสุดของลีกตุรกีหลายสมัย เขายังเป็นผู้ครองสถิตินักเตะที่ทำประตูได้เร็วที่สุดในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย โดยยิงได้ในเวลาเพียง 11 วินาที ในเกมชิงที่ 3 ฟุตบอลโลก 2002 กับเกาหลีใต้ ซึ่งตุรกีเอาชนะไปได้ 3-2

เขาเกิดที่เมือง ซาคาร์ยา เมื่อ 1 กันยายน 1971 และเริ่มเล่นฟุตบอลกับทีมบ้านเกิด ซาคาร์ยาสปอร์ โดยลงเล่นฟุตบอลลีกนัดแรกหลังอายุครบ 17 ปี ได้ไม่นาน ในปี 1990 เขาย้ายไปเล่นกับ เบอร์ซาสปอร์ และได้ลงเล่นทีมชาติครั้งแรกในนัดกระชับมิตรกับลักเซมเบิร์ก เมื่อ มีนาคม 1992 และเริ่มยิงประตูได้ในการลงทีมชาตินัดที่ 2 พบกับ เดนมาร์ก และได้ลงเล่นรอบสุดท้ายฟุตบอลสำคัญ ทั้งยูโร 1996, ยูโร 2000 และฟุตบอลโลก 2002

ด้วยความสูง 1.91 เมตร ลูกโหม่งอันโดดเด่น และความสามารถในการยิงประตูในหลายรูปแบบ ทำให้เป็นที่สนใจของสโมสรใหญ่อย่างกาลาตาซาราย ที่ดึงตัวเขาเข้าร่วมทีมในปี 1992 และสร้างผลงานสุดยอดให้กับทีมอย่างต่อเนื่อง โดยยิงให้กับสโมสรแห่งกรุงอิสตันบูล มากกว่า 200 ประตูในการลงเล่นเกือบ 400 นัด ครองตำแหน่งดาวยิงสูงสุดของลีกตุรกี 3 ครั้ง ผลงานของกาลาตาซารายช่วงที่มี ซูเคอร์ ร่วมทีม ได้แก่ แชมป์ลีก ตุรกี 6 ครั้ง ฟุตบอลเตอร์กิชคัพ 4 ครั้ง โดยเป็นดับเบิลแชมป์ 2 ปี ติดต่อกัน และยังคว้าถ้วย ยูฟ่าคัพมาครองได้เป็นทีมแรกของตุรกี ในฤดูกาล 1990/00

ซูเคอร์ ได้รับสมญานามจากสื่อมวลชนในยุโรปว่า “กระทิงแห่งบอสฟอรัส” และออกไปเล่นนอกประเทศที่อิตาลี กับอินเตอร์ มิลานและปาร์มา แต่ไม่ประสบความสำเร็จ และไปเล่นในอังกฤษกับแบล็กเบิร์น โรเวอร์ส ในฤดูกาล 2000-03 หลังจากลงเล่นได้ 9 นัด ยิงได้ 2 ประตู เขาก็ขอย้ายกลับบ้านไปอยู่กับ กาลาตาซาราย และยิงได้ถึง 12 ประตู จาก 28 นัดใน ฤดูกาลแรก

แม้จะไม่ประสบความสำเร็จในต่างประเทศ แต่กับกาลาตาซารายและทีมชาติตุรกี เขาคือผู้ทำประตูสำคัญมากมาย เช่นลูกโหม่งอันสวยงาม ในฟุตบอลยูโร 2000 กับเบลเยียม

ฮาคาน ซูเคอร์ ลงเล่นทีมชาติครบ 100 ครั้ง ในการเล่นรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2006 กับยูเครน เมื่อกันยายน 2005 และจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2008 เขาลงเล่นในทีมชาติตุรกีมาแล้ว 112 นัด ยิงได้ 51 ประตู.

รายชื่อนักเตะทีมชาติตุรกีที่คาดว่าจะติดทีมไปออสเตรีย-สวิตเซอร์แลนด์

 



ผู้รักษาประตู :
โวลคาน เดมิเรล (เฟเนร์บาห์เช), รุสตู เร็คเบอร์ (เบซิคตัส), ตอลกา เซนกิน (แทร็บซอนสปอร์)

กองหลัง : กอคคาน โกนัล (เฟเนร์บาห์เช), อูเกอร์ โบราล (เฟเนร์บาห์เช), ซาบรี ซาริโอกลู (กาลาตาซาราย), เซอร์เวต เซติน (กาลาตาซาราย), คาเดียร์ บัลตา (กาลาตาซาราย), กอคคาน แซน (เบซิคตัส), อิบราฮิม คาส (เบซิคตัส), เอ็มเร อาซิค (อันคาราสปอร์)

กองกลาง : เมห์เม็ต ออเรลิโอ (เฟเนร์บาห์เช), คาซิม คาซิม (เฟเนร์บาห์เช), เมห์เม็ต โตปาล (กาลาตาซาราย), อายฮาน อัคมาน (กาลาตาซาราย), อาร์ดา ตูราน (กาลาตาซาราย), เอ็มเร เบโลโซกลู (นิวคาสเซิล/อังกฤษ), ทูเมอร์ เมติน (ลาริสซา/กรีซ), ยิลดิราย บาสเติร์ก (สตุตการ์ต/เยอรมนี), ฮามิต อัลตินท็อป (บาเยิร์น มิวนิก/เยอรมนี), ตุนกาย ซานลี (มิดเดิลสโบรห์/อังกฤษ)

กองหน้า : กอคเดนิซ คาราเดนิซ (รูบิน คาซาน/รัสเซีย), นิฮัต คาห์เวซี (บียาร์รีล/สเปน), ฮาลิล อัลตินท็อป (ชาลเก 04/เยอรมนี), เซมิห์ เซนเติร์ก (เฟเนร์บาห์เช), เมฟลุต เออร์ดินซ์ (โซโชซ์/ฝรั่งเศส)


สเปน : ถ้าไปไม่ถึงรอบชิง 'กระทิง' ก็ล้มเหลว


กลุ่ม D


โปรแกรมการแข่งขัน ยูโร 2008
10 มิ.ย. 2008 สเปน - รัสเซีย 23.00 น.
14 มิ.ย. 2008 สวีเดน - สเปน 23.00 น.
18 มิ.ย. 2008 กรีซ - สเปน 01.45 น.

ผลงานในรอบคัดเลือก
แข่ง 12, ชนะ 9, เสมอ 1, แพ้ 2, ได้ 23, เสีย 8, แต้ม 28

วัน/เดือน/ปี 2 กันยายน 2549, สถานที่ เหย้า, คู่แข่งขัน ชนะ ลิกเตนสไตน์, ผล 4-0
วัน/เดือน/ปี 6 กันยายน 2549, สถานที่ เยือน, คู่แข่งขัน แพ้ ไอร์แลนด์เหนือ, ผล 2-3
วัน/เดือน/ปี 7 ตุลาคม 2549, สถานที่ เยือน, คู่แข่งขัน แพ้ สวีเดน, ผล 0-2
วัน/เดือน/ปี 24 มีนาคม 2549, สถานที่ เหย้า, คู่แข่งขัน ชนะ เดนมาร์ก, ผล 2-1
วัน/เดือน/ปี 28 มีนาคม 2550, สถานที่ เหย้า, คู่แข่งขัน ชนะ ไอซ์แลนด์, ผล 1-0
วัน/เดือน/ปี 2 มิถุนายน 2550, สถานที่ เยือน, คู่แข่งขัน ชนะ ลัตเวีย, ผล 2-0
วัน/เดือน/ปี 6 มิถุนายน 2550, สถานที่ เยือน, คู่แข่งขัน ชนะ ลิกเตนสไตน์, ผล 2-0
วัน/เดือน/ปี 8 กันยายน 2550, สถานที่ เยือน, คู่แข่งขัน เสมอ ไอซ์แลนด์, ผล 1-1
วัน/เดือน/ปี 12 กันยายน 2550, สถานที่ เหย้า, คู่แข่งขัน ชนะ ลัตเวีย, ผล 2-0
วัน/เดือน/ปี 13 ตุลาคม 2550, สถานที่ เยือน, คู่แข่งขัน ชนะ เดนมาร์ก, ผล 3-1
วัน/เดือน/ปี 17 พฤศจิกายน 2550, สถานที่ เหย้า, คู่แข่งขัน ชนะ สวีเดน, ผล 3-0
วัน/เดือน/ปี 21 พฤศจิกายน 2550, สถานที่ เหย้า, คู่แข่งขัน ชนะ ไอร์แลนด์เหนือ, ผล 1-0

ข้อมูลจำเพาะสเปน

กัปตันทีม : อิเกร์ กาซิยาส
อันดับโลกล่าสุด : 4
ผลงานดีที่สุดในยูโร : แชมป์ ปี 1964
ผลงานของสเปนในการแข่งขันฟุตบอล ยูโร รอบสุดท้าย : 1960 ไม่ผ่านรอบคัดเลือก, 1964 แชมป์, 1968 ไม่ผ่านรอบคัดเลือก, 1972 ไม่ผ่านรอบคัดเลือก, 1976 ไม่ผ่านรอบคัดเลือก, 1980 รอบแรก, 1984 รองแชมป์, 1988 รอบแรก, 1992 ไม่ผ่านรอบคัดเลือก, 1996 รอบรองชนะเลิศ, 2000 รอบรองชนะเลิศ, 2004 รอบแรก, 2008 ผ่านเข้ารอบสุดท้าย

สเปน เริ่มต้นรอบคัดเลือกได้ไม่ดีนัก โดยออกตัวชนะทีมรองบ่อนอย่าง ลิกเตนสไตน์ได้ในบ้าน 4-0 แต่กลับออกนอกบ้านไปแพ้ 2 นัด ติดต่อกัน ทำให้ได้เพียง 3 คะแนน จาก 3 นัดแต่หลังจากได้พักยาว 5 เดือนเศษ ขึ้นปีใหม่ 2550 พวกเขากลับมาสร้างผลงานได้อย่างโดดเด่น เอาชนะได้ 8 ใน 9 นัดและเสมอ 1 เข้าเป็นที่ 1 ของกลุ่ม

ผลงานในฟุตบอลโลก 2006

สเปนผ่านรอบคัดเลือกได้เป็นอันดับ 2 ของกลุ่มทั้งที่ไม่แพ้ใครเลย โดยชนะ 5 เสมอ 5 แต่เป็นรองเซอร์เบียแอนด์มอนเตเนโกรที่ชนะ 6 เสมอ 4 อยู่ 2 คะแนน ต้องเล่นเพลย์ออฟกับสโลวาเกีย โดยนัดแรกที่มาดริด สเปนถล่มคู่แข่งได้ถึง 5-1 ด้วยแฮตทริกของ หลุยส์ การ์เซีย ในนาทีที่ 10, 18 และ 75 นัดที่สองในบราติสลาวา พวกเขาจึงเล่นประคองตัวเองเสมอ 1-1 ได้ผ่านไปเล่นรอบสุดท้ายที่เยอรมนี

รอบแบ่งกลุ่มพวกเขาทำได้ดีมาก โดยชนะรวด 3 นัดพิชิต ยูเครน 4-0 ถล่มตูนิเซีย 3-1 และเฉือนซาอุดีอาระเบีย 1-0 แต่ในรอบน็อกเอาต์ พวกเขากลับพ่ายฝรั่งเศสหมดรูป 1-3 โดย 9 ประตูที่ทำได้มาจาก เฟอร์นานโด ตอร์เรส และ ดาบิด บียา คนละ 4 ประตู

ผลงานในยูโร 2004

สเปนเล่นรอบคัดเลือก 8 นัดแพ้เพียงครั้งเดียวในบ้านที่สนามลาโรมาเรดา ของ ซาราโกซา จากประตูโทนของกรีซ ซึ่งทำได้โดย สเตลิออส ยานนาโคปูลอส ทำให้จบเป็นที่ 2 รองจากกรีซ ต้องเล่นเพลย์ออฟ กับนอร์เวย์ โดยนัดแรกในฐานะเจ้าบ้าน กลับถูก สเตฟเฟน อีเวอร์เซน ยิงนำไปก่อนตั้งแต่นาทีที่ 15 โชคดี ที่ตีคืนได้ 2 ประตู จาก ราอูล กอนซาเลซ นาทีที่ 21 และ รูเบน บาราฆา ในช่วงท้ายนาทีที่ 85 เอาชนะได้อย่าง ใจหายใจคว่ำ แต่ทำให้นัดเยือนที่ออสโล พวกเขาเล่นได้สบายขึ้น และเอาชนะได้ถึง 3-0 จากประตูของ ราอูล กอนซาเลซ นาที 34 บิเซนเต โรดริเกวซ นาทีที่ 50 และ โฆเซบา เอตเซเบเรีย นาทีที่ 56

ในรอบสุดท้ายที่โปรตุเกส แม้พวกเขาจะเริ่มต้นได้ดี โดยเฉือนรัสเซีย 1-0 จากประตูของ ฆวน คาร์ลอส บาเลรอน แต่ทำได้แค่เสมอ 1-1 กับกรีซคู่ปรับเก่า และปิดฉากด้วยการพ่ายเจ้าบ้านโปร ตุเกส ตกรอบด้วยประตูได้-เสียเป็นรองกรีซ ซึ่งเข้าที่ 2 ของกลุ่ม

สเปนได้ลงเล่นฟุตบอลยูโรมาแล้วครบทั้ง 13 ทัวร์นาเมนต์ มีแมตช์ที่เล่น 123 แมตช์สูงสุดเหนือทุกทีม และประสบความสำเร็จสูงสุดในฟุตบอลยูโร 1964 ที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพ โดยเอาชนะสหภาพโซเวียตได้ที่มาดริด ในรอบ 2-1

กลยุทธ์การเล่นของสเปน

แม้จะมีดาราดังอยู่มากมายในทีมชาติสเปน แต่ผลงานของทีมกลับไม่ค่อยคงเส้นคงวาในช่วงแรกของรอบคัดเลือก แต่ในที่สุดก็ดูเหมือนว่า หลุยส์ อราโกเนส จะหาสูตรที่ลงตัวสำหรับสเปนได้แล้ว

ในตำแหน่งผู้รักษาประตู อิเกร์ กาซิยาส ของ รีล มาดริด ยังคงได้รับความไว้วางใจให้เป็นมือหนึ่งต่อไป โดยมีเพื่อนร่วมทีม เซร์คิโอ รามอส เป็นตัวเลือกในตำแหน่งแบ๊กขวา เพราะแม้จะเล่นรุนแรงจนถูกจับฟาวล์บ่อย ๆ แต่เขาก็มีข้อดีที่ยังหนุ่มแน่น แข็งแรง มีความเร็วสูง มีความเชื่อมั่นในตัวเอง และยังสามารถหนุนสูงขึ้นมาช่วยเกมรุก พร้อมทั้งสามารถยิงประตูได้ดีอีกด้วย ส่วนตำแหน่งแบ๊กซ้ายน่าจะเป็น โจน กัปเดบียา ของ บียาร์รีล โดย กาลอส มาร์เชนา ยืนคู่กับ คาร์ลอส ปูโยล กัปตันทีมบาร์เซโลนา เป็นปราการหลังตัวกลาง

ในแดนกลางสเปนมี มาร์กอส เซนนา จากบียาร์รีล เป็นตัวหลัก มี ชาบี เอร์นันเดซ จากบาร์เซโลนา และ เชส ฟาเบรกาส จาก อาร์เซนอล เป็นคู่กลางที่สร้างสรรค์เกมรุก ป้อนลูกให้แก่ศูนย์หน้า และสอดเข้าไปยิงประตูได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันเดรส อิเนียสตา จากบาร์เซโลนา ที่มีความเร็วสูง จะคอยรับหน้าที่ในการเคาน์เตอร์แอตแทค สลับกับมิดฟิลด์ความเร็วสูงอีกคนหนึ่ง คือ ดาบิด ซิลบา ของ บาเลนเซีย จากรอบคัดเลือกที่ผ่านมา ชาบี เอร์นานเดซ และ อิเนียสตา ยิงประตูได้รวมกันถึง 7 ประตู

ส่วนในแดนหน้า หาก อราโกเนส ยังใช้รูปแบบ 4-5-1 เหมือนช่วงหลังของรอบคัดเลือก ดาบิด บียา ของ บาเลนเซีย ซึ่งยิงได้ 7 ประตูในรอบคัดเลือก น่าจะยังได้รับความไว้วางใจเป็นอันดับแรก แต่ถ้าเปลี่ยนเป็น 4-4-2 ผู้ที่จะมายืนคู่ หรือแย่งตำแหน่งกับ บียา ก็คงจะเป็น เฟอร์นานโด ตอร์เรส ของลิเวอร์พูล, ดาเนียล กีซา เซร์คิโอ จาก รีล มายอร์กา และ เซร์คิโอ การ์เซีย จากรีล ซาราโกซา ส่วน ราอูล กอนซาเลซ กัปตันทีมรีล มาดริด ที่มีเสียงเรียกร้องจากแฟนบอล ให้กลับมาติดทีมชาติใหม่ หลุดโผ ชวดไป ออสเตรียและสวิตเซอร์แลนด์ตามคาดหมาย

ในศึกยูโร 2008 นี้ สเปน ถูกจับสลากมาอยู่ร่วมสายกับ รัสเซีย, สวีเดน และ กรีซ แชมป์เก่าจากยูโร 2004 ดูแล้วเป็นงานหนักไม่น้อย แต่กระนั้นก็ดีแลดโบรกส์ ดอตคอม เว็บพนันชื่อดังในอังกฤษ ก็ยังออกราคามาให้ สเปน เป็นเต็ง 2 สำหรับการครองแชมป์ยูโร 2008 รองจาก เยอรมนี ที่เป็นเต็ง 1 และตั้งราคาให้เป็นเต็ง 1 ของการเป็นแชมป์กลุ่ม D โดยมี สวีเดน เป็นเต็ง 2 ตามด้วยกรีซ เต็ง 3 และ รัสเซีย บ๊วยสุด

ขุนพลนักเตะจากแดนกระทิงดุที่ อราโกเนส เลือกติดทีมไปออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์ หนนี้ ไม่มี ราอูล กอนซาเลซ ศูนย์หน้าตัวเก่งจากรีล มาดริด ที่ยืนหยัดรับใช้ชาติมายาวนานติดทีมไปด้วย โดย อราโกเนส เชื่อมั่นในความสามารถของ เฟอร์นานโด ตอร์เรส และ ดาบิด บียา อย่างเต็มเปี่ยม ว่าจะช่วยกันยิงประตูคู่แข่งขัน ทั้งสวีเดน, กรีซ และรัสเซียได้อย่างสนุกสนาน ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย เรื่อยไปถึงรอบรองชนะเลิศ และเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ

สเปน เป็นเต็ง 2 ของการจะเป็นแชมป์ เพราะฉะนั้น ผลงานที่จะบอกว่า พวกเขาประสบความสำเร็จในฟุตบอลยูโร 2008 ที่กำลังใกล้จะระเบิดแข้งกันในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ก็คือ จะต้องเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศเป็นอย่างน้อย

ถ้าผลงานออกมาต่ำกว่านี้ ถือว่า อราโกเนส และนักเตะ “กระทิงดุ” ล้มเหลว.

     โค้ช : หลุยส์ อราโกเนล

     ยอดโค้ชชาวสเปน เกิดในปี 1938 ที่ฮอร์ตาเลซา ในกรุงมาดริด และเล่นฟุตบอลอาชีพให้กับทีม รีล เบติส, รีล โอเบียโด และ เรเครอา ติโบ อูเอลบา แต่มาโด่งดังเมื่อเข้าร่วมทีมแอตเลติโก มาดริด ในปี 1964 ด้วยบทบาทดาวยิงและ การเล่นลูกเซตพีซที่ยอดเยี่ยมจนได้รับสมญาว่า “ซาปาโตเนส” ซึ่งแปลว่า “บู๊ตใหญ่”

     หลังเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพใน 1974 เขาเริ่มอาชีพโค้ชทันทีด้วยวัยเพียง 36 ปี ด้วยความมุ่งมั่นสูงและการมีอารมณ์ร่วมกับเกม ทำให้เขาเป็นโค้ชจอมเครียด จนต้องหยุดพักงานไประยะหนึ่งในช่วงปี 1986 ด้วยปัญหาสุขภาพจิต

เขากลับมาอีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการพา แอตเลติโก มาดริด คว้าถ้วย โคปา เดลเรย์ ในฤดูกาล 1991/92 และพาแอตเลติโก มาดริด เป็นดับเบิลแชมป์คว้าทั้งลาลีกาและโคปา เดลเรย์ ในฤดูกาล 1995/96 หลังจากนั้นเขาย้ายไปคุมหลายทีมทั้ง บาร์เซโลนา, เซบีญา, บาเลนเซีย, เอสปันญอล, รีล เบติส, รีล โอเบียโด และ มายอร์กา ก่อนจะเข้ารับงานคุมทีมชาติสเปนต่อจาก อินากิ ซาเอซ หลังรอบสุดท้ายฟุตบอลยูโร 2004

งานแรกของเขาคือการพาทีมสเปนลงเล่นรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2006 ซึ่งสเปนทำได้แค่อันดับ 2 ของกลุ่มทั้งที่ไม่แพ้ใครเลยต้องเล่นเพลย์ออฟชนะสโลวาเกีย และชนะรวด 3 แมตช์ ในรอบแบ่งกลุ่มที่เยอรมนีก่อนจะพ่ายฝรั่งเศส ในรอบสอง 1-3 ซึ่งนับเป็นการพ่ายแพ้ครั้งแรกของทีมสเปนจาก 25 แมตช์ ที่อราโกเนสเข้ามาคุมทีม.

ดาราทองของสเปน : อัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน

แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ชาวสเปนโดยกำเนิด แต่ด้วยทักษะและศิลปะการเล่นฟุตบอลอันเป็นเลิศ การยิงประตูที่เฉียบคม การประสานงานอันยอดเยี่ยมกับเพื่อนร่วมทีม ทำให้เขาเป็นผู้เล่นที่โดดเด่นและเป็นที่ชื่นชอบมากที่สุดในสเปน เป็นตำนานลูกหนังที่ไม่มีใครลืมและได้รับเลือกเป็นดาราทองของสเปนในรอบ 50 ปี อย่างไม่มีข้อกังขา

ดิ สเตฟาโน เกิดเมื่อ 4 กรกฎาคม 1926 ในย่านบาราคาส ของบัวโนส ไอเรส เมืองหลวงของอาร์เจนตินา โดยเป็นลูกคนโตของลูกชาย 3 คน ในครอบครัวชาวไร่ และเริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่วัยเด็ก จนได้เข้าร่วมทีมเยาวชนริเวอร์เพลต ตั้งแต่อายุได้เพียง 13 ปี คาร์ลอส บูเซลเล โค้ชคนแรกของเขาที่ริเวอร์เพลตพูดถึงเขาในภายหลังว่า “ผมไม่เคยเห็นนักฟุตบอลคนใดมีความแข็งแรง และความมุ่งมั่นเท่า และไม่เคยเจอใครพัฒนาฝีเท้าได้รวดเร็วเท่าเขา” ความมุ่งมั่นตั้งใจของ ดิ สเตฟาโน คือ สิ่งที่ติดตัวเขาตลอดชีวิต และทำให้ประสบความสำเร็จสูงสุดในอาชีพนักฟุตบอลตลอดมา

ในช่วงแรกเขาไม่ติดเป็นตัวจริงของริเวอร์เพลต เพราะทีมมี อดอลโพ พีเดอร์เนรา ครองตำแหน่งเดียวกันอยู่ ทำให้พ่อของเขาต้องพยายามผลักดันให้เขาได้มีโอกาสลงแสดงฝีเท้าอันโดดเด่น ในที่สุดทีมจึงให้ ฮูราคาน ยืมตัวไปเล่นก่อน และดิ สเตฟาโน ก็สามารถโชว์ผลงานได้โดดเด่นมากในปี 1946 ฤดูกาลต่อมาเขาจึงถูกดึงกลับมาเล่นให้ริเวอร์เพลต โดยทีมขาย พีเดอร์เนรา ออกไป ทำให้เขาได้เป็นส่วนหนึ่งของกองหน้าที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากของริเวอร์เพลตร่วมกับ มูนอซ มอเรโน, ลาบรูนา และลูสเทา เขาได้รับสมญาว่า “เจ้าเยอรมัน” เนื่องจากผมทองอันสวยงามของเขา แต่บางทีก็มีคนเรียกเขาว่า “เจ้าลูกศรผมทอง”

เขาเป็นผู้ค้นคิดและริเริ่มใช้การส่งบอลด้วยลูกตอกส้น ทำให้ยอดกองหน้าที่เขาชื่นชอบและได้ร่วมเล่นด้วย โฮเซ มาเรีย มอเรโน บอก กับเขาว่า “เธอจะเป็นนักฟุตบอลผู้ยิ่งใหญ่ในวันหน้า เจ้าลูกชาย แต่อย่าหวังว่ามันจะได้มาโดยง่าย”

ในเกมสุดท้ายของ ดิ สเตฟาโด กับ ริเวอร์เพลต เขายิงได้ 2 ประตู ในการเล่นกับ ซาน ลอเรนโซ และอำลาจากทีมด้วยเสียงเชียร์อันกึกก้องของแฟนบอลติดตรึงอยู่ในความทรงจำตลอดมา การสไตรก์หยุดงานของนักบอลอาชีพอาร์เจนตินา ทำให้เขาต้องออกไปเล่นในโคลอมเบีย กับทีมมิลโลนาริออส โบโกตา ซึ่งศิลปะการเล่นบอลอันสวยงามของเขาทำให้ได้สมญานามใหม่จากแฟนบอลว่า “นักเต้นรำสีน้ำเงิน”

ในปี 1952 เขาได้มีโอกาสลงเล่นในสนามชามาร์ติน ซึ่งเป็นแมตช์ฉลอง 50 ปี ของสโมสร รีล มาดริด และโชว์ฝีเท้าได้ประทับใจท่ามกลางเสียงเชียร์อย่างชื่นชอบของแฟนบอล หลังจากนั้นก็เกิดศึกการแย่งตัว ดิ สเตฟาโน ระหว่างสองคู่แข่ง รีล มาดริด กับ บาร์เซโลนา ในที่สุดเขาก็เซ็นสัญญาร่วมทีม รีล มาดริด เมื่อ 26 กันยายน 1993 โดยที่บาร์เซโลนา ปฏิเสธข้อเสนอไกล่เกลี่ยที่จะให้เขาลงเล่นทีมละครึ่งฤดูกาล

ผลที่เกิดขึ้นก็คือการผูกขาดเป็นยอดทีมอันดับหนึ่งสเปน ของ “บาร์ซา”อย่างยาวนานต้องจบลง รีล มาดริด ที่มี ดิ สเตฟาโน ร่วมทีมด้วยกลายเป็นยอดทีมไร้เทียมทาน โดยคว้าแชมป์ลีกสเปนได้ทันทีในปีแรกที่เขาเข้าร่วมทีม และคว้าแชมป์ได้อีก 7 ครั้งในช่วง 1995 ถึง 1996 โดยครองดับเบิลแชมป์สเปน ในปี 1961/62 และทีมยอดเยี่ยมที่สุด คือ การครองแชมป์สโมสรยุโรป ติดต่อกัน 5 ครั้ง โดย ดิ สเตฟาโน ยิงได้ในรอบชิงทั้ง 5 ครั้ง โดยเฉพาะการทำแฮตทริก ในชัยชนะ 7-3 เหนือทีม ไอน์ทรัค แฟรงก์เฟิร์ต เมื่อพฤษภาคม 1960

เขาได้รับสัญชาติสเปนในปี 1956 และได้เล่นในทีมชาติสเปน 31 ครั้ง ยิงได้ 23 ประตู ด้วยบุคลิกภาพอันสงบเสงี่ยม แต่ก็มีทักษะการเล่นฟุตบอลที่โดดเด่นเหลือเชื่อ ทำให้เขาเป็นหนึ่งในสุดยอดนักเตะของ รีล มาดริดระดับซูเปอร์สตาร์ ร่วมกับ เรย์มอนด์ โคปา และ เฟอเรนซ์ ปุสกาส ที่ยังได้รับการยกย่องและเป็นแบบอย่างแก่รุ่นน้อง ๆ มาจนถึงปัจจุบัน.

รายชื่อ 23 นักเตะทีมชาติสเปน ที่จะไปออสเตรีย-สวิตเซอร์แลนด์



ผู้รักษาประตู : อิเกร์ กาซิยาส (รีล มาดริด), โฆเซ เรนา (ลิเวอร์พูล), อันเดรส ปาล็อป (เซบีญา)

กองหลัง : เซร์คิโอ รามอส (รีล มาดริด), คาร์ลอส ปูโยล (บาร์เซโลนา), อัลบาโร อาร์เบลัว (ลิเวอร์พูล), ฆวนนิโต (รีล เบติส), เฟร์นานโด นาบาร์โร (รีล มายอร์กา), กาลอส มาร์เชนา (บาเลนเซีย), ราอูล อัลบิโอน (บาเลนเซีย), โจน กัปเดบียา (บียาร์รีล)

กองกลาง : เชส ฟาเบรกาส (อาร์เซนอล), อันเดรส อิเนียสตา (บาร์เซโลนา), ชาบี เอร์นานเดซ (บาร์เซโลนา) , ดาบิด ซิลบา (บาเลนเซีย), ซานติอาโก กาซอร์ลา (บียาร์รีล), เบน เด ลา เรด (เกตาเฟ), มาร์กอส เซนนา (บียาร์รีล), ชาบี อลอนโซ (ลิเวอร์พูล)

กองหน้า : ดาบิด บียา (บาเลนเซีย), เซร์คิโอ การ์เซีย (รีล ซาราโกซา), เฟอร์นานโด ตอร์เรส (ลิเวอร์พูล), ดาเนียล กีซา (รีล มายอร์กา)


เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์