แมนฯยูฯ-เชลซี ผีน่าจะเป็นเจ้ายุโรป

ฟุตบอลยูฟา แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดชิงชนะเลิศ “อิงลิช ไฟนั่ล”
 
กลายเป็นการพิสูจน์คุณภาพของฟุตบอลจากสองสโมสรที่พึ่งตัดสินผลแพ้ชนะฟุตบอลลีกภายในเมื่อ 11 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยศึกยกแรกนั้นปรากฏว่า “ปีศาจแดง” แมนฯยูไนเต็ด ชนะ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกไปครอง ด้วยมาตรฐานของพวกเขาเอง



 ทว่าเกมนัดนี้ เชลซี ย่อมมีโอกาสนึกถึงชัยชนะของพวกเขาบ้างเช่นกัน ขอเพียงแต่พวกเขาคว่ำ แมนฯยูฯ ได้พวกเขาก็จะสร้างประวัติศาสตร์ ทันที ไม่เหมือนพรีเมียร์ลีกที่ โชคชะตาฝากเอาไว้กับวีแกน แต่เกมนี้พวกเขาสามารถทำมันด้วยมือของตัวเอง


 เทียบผลงานประสบการณ์ในสโมสรยุโรปแล้ว เชลซี เป็นรอง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฐานะที่พวกเขาไม่เคยเข้ามาถึงนัดชิงชนะเลิศเลย “ปีศาจแดง” ชิงชนะเลิศมาแล้วสองครั้งได้แชมป์ทั้งสองครั้ง ขณะที่เชลซี กว่าจะผ่านด่านรอบตัดเชือกมาได้ก็ต้องลุ้นถึงสามปีในรอบ 4 ฤดูกาลหลัง


 พวกเขาล้มลิเวอร์พูลอย่างสุดยอดในรอบตัดเชือกนัดที่สอง ต่อหน้าแฟนตัวเองส่งผลให้ “สิงห์บลู” เตรียมพร้อมสำหรับการสร้างประวัติศาสตร์


 โดยสถิติระหว่าง แมนฯยูฯ-เชลซี ตลอดกาลต้องยอมรับว่า ผีแดงยังเหนือกว่า


 

แมนฯยูฯ ชนะ

เสมอ

เชลซี ชนะ

ลีกสูงสุด

55

40

37

เอฟเอ คัพ

8

1

2

คาร์ลิ่ง คัพ

2

1

1

อื่นๆ

0

2

1

Total

65

44

41



 ส่วนผลงานในแชมเปี้ยนส์ ลีก ตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม


รอบ

แมนฯยูไนเต็ด

เชลซี

แบ่งกลุ่ม

แชมป์

แชมป์

16 ทีม

ชนะ ลียง รวม 2-1

ชนะ  โอลิมเปียกอส รวม 3-0

8 ทีม

ชนะ โรมา รวม 3-0 

ชนะ เฟเนร์บาห์เช รวม 3-2

รอบรองฯ

ชนะ บาร์เซโลนา รวม 1-0

ชนะ ลิเวอร์พูล รวม 4-3


"ปีศาจแดง" สร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในแชมเปี้ยนส์ ลีกตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มเป็นต้นมา พวกเขาออกตัวโดยชนะรวด 5 นัดเข้ารอบก่อนที่จะจบโปรแกรมด้วยซ้ำ แม้นัดสุดท้ายเสมอโรมา แต่นั่นก็ไม่มีผลอะไรสำหรับการเข้ารอบ ทั้งการยิงและเสียประตูถือว่าสุดยอดมาก ซัดไป 13 เสียแค่ 4


 ส่วน "สิงห์บลู" ถือว่าผลงานไม่คงเส้นคงวา ชนะ 3 เสมอ 3 รอบแบ่งกลุ่ม ส่วนรอบน็อคเอาต์ถือว่ากระท่อนกระแท่นกว่า มาออกฟอร์มช่วงรอบตัดเชือกนัดสอง ชิงดำด้วยการถล่มลิเวอร์พูล 3-2 หลังจากนำห่าง 3-1 ด้วยกัน

 ถือว่าเกมชนะลิเวอร์พูลนั้นคือเกมที่ยอดเยี่ยมของเชลซีนับตั้งแต่เล่นรอบแบ่งกลุ่มเป็นต้นมา


สภาพทีม

 “ปีศาจแดง” พร้อมลงสนามด้วยความมั่นใจทั้งร่างกายและจิตใจหลังจากฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีกมาก่อนหน้านี้แล้ว นักเตะทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่มีปัญหาร่างกาย เนมานยา วีดิช , เวย์น รูนีย์ โอเค สำหรับเกมนัดสำคัญของพวกเขาในชีวิต


 ส่วนเรื่องการจัดทีมในเกมนี้คาดว่า เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน คงไม่พลิกแพลงและปรับเปลี่ยนอะไรมาก เพราะดูเหมือนว่าขุนพลชุดล้มบาร์เซโลนา ควรเป็นกำลังสำคัญในการชิงเจ้ายุโรปกับเชลซี แดนหลังก็เป็นชุดเดิมที่แน่นปึ้กตั้งแต่ เอดวิน ฟาน เดอ ซาร์ ไปจนถึง บราวน์, ริโอ, วิดีช และเอวรา


 ส่วนแดนกลางวินาทีนี้ พอล สโกลส์ กับ ไมเคิล คาร์ริค ยึดมั่นพื้นที่แดนกลางได้และอีกคนหนึ่งเชื่อว่า เซอร์ อเล็กซ์ จะส่งลงสนามเพราะฟอร์มเข้าตามนับตั้งแต่หายเจ็บ นั่นก็คือ พาร์ค ชี ซอง ซึ่งเล่นได้เด่นในเกมเขี่ยบาร์เซโลนาตกรอบ


 ทำให้ทั้ง กิ๊กส์, อันแดร์สัน และ ฮาร์กรีฟส์ สำรอง ส่วนแนวรุก 3 ประสาน โรนัลโด-เตเวซ-รูนีย์ ลงเล่นตั้งแต่แรกเลย

 ทางฝั่งเชลซีนั้นข่าวล่าสุดยืนยันออกมาแล้วว่า จอห์น เทอร์รี่ ปราการหลังตัวหลักของพวกเขา หายจากการบาดเจ็บที่บริเวณหัวไหล่จากนัดสุดท้ายที่พบกับ โบลตัน ในพรีเมียร์ลีก ส่วน ริคาร์โด คาร์วัลโญ ไม่น่ามีปัญหาเช่นกัน


 ดิดีเยร์ ดรอกบา ก็พร้อมสำหรับลงเล่นที่มอสโก นั่นก็หมายความว่าทีม “สิงห์บลู” ไม่มีปัญหาจากการจัดทีมเพื่อลุยกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเกมนี้


 คาดว่าอัฟราม แกรนต์ คงเลือกใช้ มิคาเอล เอสเซียง เล่นแบ๊กขวา เพื่อส่ง โคล้ด มาเกเลเล, บัลลัค และ แลมพาร์ด เล่นด้วยกันตรงกลาง นี่คือสูตรในช่วงหลัง ส่วนแนวรับชุดเดิม ขณะที่แดนหน้าสามคน ดรอกบา, โจ โคล และเกมนี้น่าจะเป็น กาลู แทนที่ มาลูด้า


เซอร์ อเล็กซ์ vs อัฟราม แกรนต์

 เปรียบเทียบผลงาน ฝีมือและประสบการณ์แล้ว แกรนต์ เป็นรองหลายก้าวเลยทีเดียว ไม่มีมุมไหนมาพลิกชนะ เซอร์ อเล็กซ์ ได้ นอกเสียจากวันนั้น แกรนต์พกดวงมาเต็มกระเป๋า ว่ากันตามตรงแล้วชั่วโมงนี้ แกรนต์ ยังใช้แรงเฉื่อยในฟอร์มการเล่นและตัวผู้เล่นของ โชเซ มูรินโญ ที่พามาถึงจุดนี้ได้

 สิ่งสำคัญยิ่งในการตัดสินแชมป์คือประสบการณ์ของ ผจก. ซึ่งเซอร์ อเล็กซ์ ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่า น่าจะนำมาใช้ได้ดีกว่า ในทุกๆ สถานการณ์ของเกม


เกร็ดน่ารู้ก่อนดูเกม


- 1 -
 มีนักเตะ 10 คนจากสองฝั่งเคยคว้าแชมป์รายการนี้มาแล้ว แมนฯยูไนเต็ด มี เอดวิน ฟาน เดอ ซาร์ สมัยอยู่อาแจกซ์ (1995) โอเวน ฮาร์กรีฟส์ กับบาเยิร์น มิวนิค (2001) ไรอัน กิ๊กส์ กับ แกรี เนวิลล์ หลงเหลือจากชุดแชมป์ปี 1999 ขณะที่ เวส บราวน์ มีชื่อสำรองแต่ไม่โดนเปลี่ยนตัวลงมา ส่วน พอล สโกลส์ โชคร้ายติดโทษพักแข้งนัดชิงชนะเลิศพอดี

 ทางฝั่งเชลซีมีหลายคน ริคาร์โด คาร์วัลโญ, เปาโล แฟร์รารา เป็นชุดแชมป์ของปอร์โต้ปี 2004 ที่ มูรินโญ เป็นเทรนเนอร์ อังเดร เชฟเชนโก ของ เอซี มิลาน ปี 2003 โคล้ด มาเกเลเล อยู่ในทีมเรอัล มาดริด ปี 2002 ซึ่งเป็นเกมที่ชนะทีมเลเวอร์คูเซน ซึ่งมี มิชาเอล บัลลัค ลงเล่นด้วย

- 2 - นี่คือถ้วยใหญ่ครั้งที่สาม ซึ่งแมนฯยูฯ กับเชลซี ชิงชนะเลิศกัน หลังจาก แมนฯยูฯ ถล่มเชลซีเละเทะ 4-0 ในเอฟเอ คัพนัดชิงชนะเลิศปี 1994 ซึ่งปีนั้น แมนฯยูฯ คว้าดับเบิ้ลแชมป์มาครองด้วย แต่ปี 2007 ล่าสุดเชลซีเฉือนเอาชนะในการชิงถ้วยเอฟเอ คัพได้เช่นกัน

- 3 - แมนฯยูฯ ยังไม่เคยทำประตูบนแผ่นดินรัสเซียได้เลย สองเกมล่าสุดพวกเขาเคยตกรอบยูฟา คัพ เพราะทีมจากรัสเซีย ไม่ว่าจะเป็น ทอร์เปโด มอสโก (แพ้จุดโทษ) โรเตอร์ โวโกกราด เสมอ 0-0 แต่ สนามลุซนิกี้ สเตเดี้ยม นั้น เนมานยา วีดิช คุ้นเคยเป็นอย่างดีเพราะเคยร่วมทีม สปาร์ทัค มอสโก นั่นเอง (เล่น 39 นัดยิง 4 ลูก)

- 4 - ถ้าแมนฯยูฯ คว้าแชมป์ยุโรปเที่ยวนี้ พวกเขาจะเป็นสโมสรที่ 4 ในประวัติศาสตร์ที่ เป็นแชมป์โดยไม่แพ้ทีมไหนตั้งแต่เกมแรกมาเล่ย ก่อนหน้านี้มี อาแจกซ์ (ปี 1971-72, 1994-95), ลิเวอร์พูล (1980-81,1983-84), เอซี มิลาน 1988-89,1993-94

- 5 - ซาโลมอน กาลู , ดิดีเยร์ ดรอกบา จะเป็นนักเตะไอวอรีโคสต์ คนแรกที่ได้แชมป์รายการนี้ เช่นเดียวกันกับ พาร์ค ชีซอง หลังจาก คิม ดอง จิน ได้แชมป์ยูฟา คัพเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์นักเตะเกาหลีใต้แล้ว


ตัดสินเจ้ายุโรป

 เกมนี้ขึ้นอยู่กับจังหวะการเล่นของทั้งสองทีมวันนั้นว่าใครชิงจังหวะมาเข้าแผนตัวเองได้ดีกว่า เพราะทุกขุมกำลังต้องบอกว่าเสมอกันหมด เก่งเท่ากันไม่มีใครเหนือกว่ากันมากนัก เกมอาจอึดอัดเล่นด้วยความยากลำบาก ประตูเดียวเพียงพอต่อการตัดสินเกม


 ชั่วโมงนี้ เทความมั่นใจให้ แมนฯยูไนเต็ด ซึ่งมีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจเหนือกว่า แถมยังมีโค้ชที่เหนือกว่า อัฟราม แกรนต์


 ปีศาจแดง จะก้าวขึ้นครองบัลลังก์ยุโรปปีนี้ เพื่อประกาศความยอดเยี่ยมอย่างสมบูรณ์แบบของพวกเขา

แชมป์พรีเมียร์ลีก และตามด้วย แชมป์ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ ลีก...


บทความโดย "แจ็คกี้" อดิสรณ์ พึ่งยา


ขอบคุณข้อมูลข่าวดีๆจาก


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์