สุดยอดแมตซ์ระทึกแห่งปี 2007


ลิเวอร์พูล 3 อาร์เซนอล 6 (9 มกราคม)

นานมากถึง 75 ปีที่ลิเวอร์พูลเสียประตูในบ้านถึง 6 ลูกในเกมที่พบกับซันเดอร์แลนด์ในปี 1929-30 หลังถูกอาร์เซนอลบุกมาสอนบอลด้วยเด็กล้วนๆในขณะที่เจ้าถิ่นออกแนวลูกครึ่งนำโดยสตีเฟ่น เจอร์ราร์ด,เคร็ก เบลลามี่และเจมี่ คาร์ราเกอร์ในศึกคาร์ลิ่ง คัพรอบ 8 ทีมสุดท้าย

ชูลิโอ บัปติสต้ามาแวะเคาะสนิมที่อังกฤษและแบกอันความทรงจำกลับมาดริดด้วยการอัดหงส์แดง 4 ลูกโดยเกมนี้เฌเรมี่ อาลิดาดิแยร์หอกชื่อเรียกยากเบิกร่องขึ้นนำตั้งแต่ต้นเกมก่อนที่ร็อบบี้ ฟาวเลอร์จะมาตีเสมอ

แต่บัปติสต้าช็อกเดอะค็อปทั่วโลกด้วยการอัดแฮทริคใน 20 นาทีและยังดีเยอร์ซี่ ดูเด็คที่เกมนี้ปฏิกริยาเชื่องช้ายิงเป็นเข้ามาเซฟจุดโทษกู้หน้าเอาไว้ได้

อย่างไรก็ตามอเล็กซานเดอร์ ซงมาบวกสกอร์เพิ่มก่อนพักครึ่งให้สกอร์บานทะลักอยู่ที่ 5-1 และเหมือนเจ้าถิ่นจะสร้างปรากฏการณ์คัมแบ็คอีกด้วยครั้งสองประตูของซามี่ ฮูเปียและเจอร์ราร์ดแต่ทุกอย่างจบลงด้วยเม็ดสี่ของไอ้เบิ้มก่อนหมดเวลา 6 นาที

สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดคือแฟนบอลที่ใจแข็งยืนปรบมือหลังสิ้นเสียงนกหวีดจบเกมให้แข้งปืนใหญ่ที่เล่นได้สุดตีนและเอาชนะทีมรักอย่างสมศักดิ์ศรี





นิวคาสเซิ่ล 1 เบอร์มิงแฮม 5 (17 มกราคม)

เหล่าทูนอาร์มี่น่าจะได้สุขสมหวังตีตั๋วเข้ารอบสี่เอฟเอ คัพอีกเพียงแค่ 4 นาทีเท่านั้นแต่เจอมารหัวขนเซบาสเตียน ลาร์สสันยิงตีเสมอให้เบอร์มิงแฮมที่เหลือ 10 คนรอดตายที่เซนต์แอนดรูวจนต้องมารีเพลย์กันใหม่

เกจิอาจารย์ฟันธงว่าการมาเยือนถิ่นเซนต์ เจมส์ พาร์คของทีมตราลูกโลกซึ่งตอนนั้นอยู่ในฐานะจ่าฝูงเดอะแชมเปี้ยนชิพไม่รอดสันดอนแน่นอนแต่ลูกทีมของสตีฟ บรูซกลับไม่คิดแบบนั้นแม้แต่นิดเดียว

หารู้ไม่ว่านี่คือหนึ่งในเกมอัปยศที่สุดของนิวคาสเซิ่ลภายใต้ยุคเกล็น โรเดอร์...ประตูตั้งแต่ไก่โห่จากแกรี่ แม็คเชฟรีย์และมาบวกกับความซวยของนอลแบร์โต้ โซลาโน่ทำเข้าประตูตัวเองก่อนพักครึ่งทำให้ทูนอาร์มี่เหยียบ 5 หมื่นคนเริ่มระบายความรู้สึกหงุดหงิดออกมาจนบรรยากาศตรึงเครียด

ความหวังกลับมาเรืองรองอีกครั้งหลังเจมส์ มิลเนอร์ตีไข่แตกอย่างรวดเร็วในนาที 49 แต่สตีเฟ่น เทย์เลอร์ถูกไล่ออกและบรูโน่ เอ็กก็อตตี้มายิงให้ลูกโลกหนีเป็น 3-1 และยิ่งสู้ยิ่งเจ็บถูกลาร์สสันตัวแสบจากนัดแรกและดีเจ แคมป์เบลล์กดปิดท้ายให้เดอะทูนเดินออกจากสนามอย่างเศร้าสร้อยและขมขื่นสุดๆ





สเปอร์ส 3 อาร์เซนอล 5 (24 & 31 มกราคม)

เป็นเกมลอนดอนดาร์บี้แมทช์ตัดเชือกคาร์ลิ่ง คัพที่เล่นกันสองนัดแต่สุดท้ายหวดกันไฟแลบ 210 นาทีกว่าจะได้ผู้ชนะซึ่งแน่นอนอาร์แซน เวนเกอร์ส่งชุดเด็กทั้งหมดในขณะที่มาร์ติน โยลอัด 11 ผู้เล่นที่แข็งแกร่งที่สุดลงเล่นในไวท์ฮาร์ทเลน

เล่นไป 45 นาทีดูเหมือนเจ้าหนูปืนใหญ่จะเอาความเก๋าของผู้เล่นไก่เดือยทองไม่อยู่ ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟเปิดซิงและบัปติสต้าทำเข้าประตูตัวเอง สกอร์ 2-0 ยังไงก็ใสๆสำหรับสเปอร์ส

แต่เวนเกอร์ทนดูไม่ไหวยอมแหกกฏด้วยการส่งเอ็มมานูเอล เอบูเอ้และอเล็กซานเดอร์ คเล็บลงมาแก้เกมก่อนที่เจ้าพ่อคาร์ลิ่งบัปติสต้าจะเบิ้ลสองประตูให้สถานการณ์พลิกผันเสมอ 2-2 ทำให้ลูกทีมโยลต้องบุกไปเอาชนะที่เอมิเรสต์ สเตเดียมสถานเดียว

ไก่เดือยทองยันเอาไว้อยู่นานสองนานจนทำนบแตกก่อนหมดเวลา 13 นาทีจากประตูของเอ็มมานูเอล อเดบายอร์แต่โมฮัมเหม็ด มิโด้เจ้าของฉายาอยู่ที่ไหนหัวหน้าตายหมดมาตีเสมอนาที 85 จนต้องไปยื้อกันถึงต่อเวลา

สุดท้ายแล้วเฌเรมี่ อาลิอาดิแยร์ยิงให้ปืนใหญ่ขึ้นนำก่อนที่ปาสกัล ชิมบงด้าแบ็คจอมสินบนทำเข้าประตูตัวเองให้ละครเรื่องนี้จบลงอย่างง่ายๆ



เวสต์แฮม 3 สเปอร์ส 4 (4 มีนาคม)

ขุนค้อนลงเล่นเกมนี้ต้องการชัยชนะเพื่อหนีตกชั้นสถานเดียวโดยผลงาน 9 นัดหลังห่วยแตกแพ้ถึง 7 และถ้านับเกมกับสเปอร์สจะเหลือโปรแกรมแค่ 10 นัดก่อนไม่มีโอกาสได้แก้ตัวอีกแล้ว

ความตื่นเต้นตลอด 90 นาทีเริ่มต้นด้วยประตูเปิดซิงของมาร์ค โนเบิ้ลในนาที 16 ตามด้วยลูกฟรีคิกสุดเทพของคาร์ลอส เคเบซก่อนหมดครึ่งแรก 4 นาที ตอนนี้แฟนบอลในอัพทั่น พาร์คร้องรำทำเพลงอย่างกึกก้องโดยหารู้ไม่ว่าหายนะในครึ่งหลังกำลังมาเยือน

จุดโทษหลังเล่นไปแค่ 6 นาทีของเจอร์เมน เดโฟก่อนที่ทีมู ไทนิโอจะตามตีเสมอแต่บ็อบบี้ ซาโมร่าขโมยซีนเป็นฮีโร่ของเวสต์แฮมด้วยประตูขึ้นนำ 3-2 ก่อนหมดเวลา 5 นาที ทุกอย่างน่าจะจบลงง่ายๆหากไม่มีฟรีคิกเสียบตาข่ายสุดสวยของเบอร์บาตอฟนาที 89

หนึ่งแต้มก็เอาว่ะ!! ไม่ทันขาดคำพอล สตัลเทรี่มายิงคว้าชัยให้สเปอร์สในนาทีสุดท้ายช็อกแฟนเดอะแฮมเมอร์ทั้งสนาม

อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดแล้วลูกทีมอลัน เคอร์บิชลี่ย์ทำเรื่องปาฏิหารย์ที่ถูกบันทึกว่าเป็นการหนีตกชั้นครั้งใหญ่ในประวัติศาตร์พรีเมียร์ลีกหลังกวาดชัยชนะ 7 จาก 9 นัดซึ่งต้องขอบคุณคาร์ลอส เตเบซที่ช่วยตะบันถึง 6 ประตู



เอฟเวอร์ตัน 2 แมนฯยูฯ 4 (28 เมษายน)

อีกหนึ่งจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญต่อการแย่งแชมป์พรีเมีย์ลีกฤดูกาล 2006-07 ในช่วง 4 นัดสุดท้ายเพราะในระหว่างที่แมนฯยูฯเจองานหนักมาเยือนเอฟเวอร์ตันทีมฟอร์มดีเชลซีเล่นในบ้านพบกับโบลตันที่ฟอร์มเริ่มแผ่ว

สถานการณ์เด่นชัดเมื่อยูไนเต็ดตามหลัง 2-0 และเชลซีนำโบลตัน 2-1 แต่พอจบเกมกลายเป็นปิศาจแดงหนีห่าง 5 แต้มและมือข้างนึงจับหูโทรฟีย์พรีเมียร์ลีกอย่างเหลือเชื่อ

ท๊อฟฟี่ได้สองประตูจากอลัน สตับบ์และมานูเอล เฟอร์นานเดสแต่ทิม ฮาวเวิร์ดซึ่งลงเล่นเกมนี้ไม่ได้ตามเงื่อนไขย้ายทีมในสัญญาทำให้เอียน เทอร์เนอร์ดาวรุ่งมอบโชคให้ทีมเยือนหลังทำพลาดมหันต์ก่อนเป็นโอเชียกินส้มตีไข่แตก

หลังจากนั้นส้มโอหล่นใส่กบาลว่าที่แชมป์อีกครั้งเมื่อฟิล เนวิลล์อดีตศิษย์ก้นกุฏิทำเข้าประตูตัวเองก่อนเป็นเวย์น รูนี่ย์ซัดประตูทีมเก่าให้ยูไนเต็ดแซง 3-2 และเป็นคริส อีเกิ้ลตัวสำรองที่ป๋าส่งมาฆ่าเวลาแต่โชว์พลิ้วปั่นไซด์ยิงนอกเขตลูก 4 ปิดฉากสุดสวย

ละครเช็กสเปียร์สมบูรณ์แบบหลังเชลซีถูกโบลตันตีเสมอจากประตูในช่วงต้นครึ่งหลังของเควิน เดวีส์ ตอนนี้โจเซ่ มูรินโญ่รับสภาพกับตำแหน่งรองแชมป์เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่ปิศาจแดงจะไม่ได้สามแต้มจากสามนัดสุดท้าย



เชฟฯยูฯ 1 วีแกน 2 (13 พฤษภาคม)

นัดสุดท้ายอันสุดตื่นเต้นของฤดูกาลที่เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดขอแค่แต้มเดียวในบรามอลล์ เลนของตัวเองก็จะอยู่รอดปลอดภัยในพรีเมียร์ลีกในขณะที่วีแกนไม่มีทางเลือกนอกจากต้องชนะเพียงอย่างเดียวถึงจะมีแต้มเท่ากันแต่เหนือกว่าด้วยประตูได้เสีย

วีแกนมาเขย่าประสาทเจ้าถิ่นด้วยประตูนาทีที่ 14 ของพอล ชาร์เนอร์แต่ก่อนหมดครึ่งแรกแค่ 7 นาทีจอน สเตดมาตีเสมอให้ดาบคู่กำลังจะเดินเข้าห้องพักท่ามกลางบรรยากาศอันชื่นมื่นทั้งสนาม

เหมือนพระเจ้าเล่นตลกเมื่อไรอัน เทย์เลอร์ของวีแกนเจ็บทำให้เดวิด อันส์เวิร์ธอดีตเด็กเก่าเชฟฯยูฯลงสนามแทนและอีกไม่กี่อึดใจฟิล จากีลก้าทำแฮนด์บอลเสียจุดโทษในนาทีสุดท้ายของครึ่งแรกและเป็นอดีตแข้งเอฟเวอร์ตันซัดผ่านมือหลวงจีนแพ็ดดี้ เคนนี่เข้าไปไม่มีเหลือ

เส้นบางๆของความสุขและความชิบหายบังเกิดขึ้นจากลูกยิงชนเสาของแดนนี่ เวบเบอร์ตัวสำรองและแม้ว่าลี แม็คคูลอชของทีมเยือนถูกไล่ออกก่อนหมดเวลา 16 นาทีแต่ดาบคู่ไม่ได้ประตูมูลค่าหลายสิบล้านปอนด์จนต้องตกชั้นตามชาร์ลตันและวัตฟอร์ดในที่สุด


ฝรั่งเศส 0 สก็อตแลนด์ 1 (12 กันยายน)

ถูกจับฉลากยัดมาอยู่ในสายเดียวกันแชมป์โลกอิตาลีและรองแชมป์โลกฝรั่งเศสทำให้ใครหลายคนฟันธงว่าขุนพลเดอะตาร์ตันไม่รอดสันดอนหมดลุ้นตั้งแต่ไก่โห่

แต่ทีมของอเล็กซ์ แม็คลิชสวนกระแสเมื่อสร้างผลงานที่โลกไม่ลืมกับชัยชนะเหนือตราไก่ถึงปารีสโดยที่เกือบหนึ่งปีก่อนหน้านั้นเคยเช็กบิลฝรั่งเศสในบ้านตัวเอง 1-0 มาก่อนแล้ว

สก็อตแลนด์ต้องขอบคุณเคร็ก กอร์ดอนที่ช่วยเซฟอุตลุตจนถุงมือซอมซ่อไม่ว่าจะลูกยิงของฟร็องค์ ริเบรี่หรือนิโกลาส์ อเนลก้าก่อนที่เจมส์ แม็คฟาดเด้นจะยิงไกลเสียบสามเหลี่ยมแสกหน้ามิคาเอล ลองโดร์มือหนึ่งเข้าไปอย่างเหนือคำบรรยาย

ชัยชนะนัดนี้เองที่ทำให้ขี้เมาทะลุนั่งแท่นจ่าฝูงแต่ท้ายที่สุดแล้วการผจญภัยของพวกเขาต้องพบจุดจบลงอย่างฝันร้ายหลังพ่ายแพ้รวดในสองนัดสุดท้ายให้ทั้งกับจอร์เจียและอิตาลีนั่นเอง



ปอร์ทสมัธ 7 เรดดิ้ง 4 (29 กันยายน)

ปอมปีย์ถล่มเละเรดดิ้งไส้ไหลสร้างสถิติใหม่ยิงประตูในหนึ่งเกมให้พรีเมียร์ลีกแบบไร้คู่แข่งโดยเบนจานี่ เอ็มวารูวารีโชว์เทพด้วยการกดแฮทริคไม่มียั้ง

หอกชาวซิมบับเวจ้วงให้เจ้าถิ่นนำสบายๆสองลูกก่อนที่สตีเฟ่น ฮันท์จะมายิงเผาขนให้เดิ้งไล่มาหนึ่งลูกก่อนพักครึ่งและความระทึกเริ่มต้นขึ้นหลังเขี่ยลูกได้ 3 นาทีเมื่อเดฟ คิทสันยิงตีเสมออย่างรวดเร็ว

แม้ว่าเฮอร์มาน ไฮร์ดาร์สันจะมาโขกขึ้นนำ 3-2 ในนาที 55 แต่จุดพลิกผันสำคัญน่าจะเป็นการที่เดวิด เจมส์เซฟจุดโทษจากนิคกี้ ชอรีย์เพราะหลังจากนั้นเบนจานี่มาตะบันแฮทริคก่อนที่ 5 นาทีต่อมานิโก้ ครันชาร์บวกอีกลูกเป็น 5-2

เดอะรอยัลยังไม่ยอมแพ้มาได้อีกลูกจากเชน ลองแต่ปอมปีย์ไม่รู้เก็บกดมาจากไหนใส่อีกสองเม็ดจากฌอน เดวิสและซุลลีย์ มุนทารีในช่วง 8 นาทีสุดท้ายจนชอรี่ย์มายิงประตูทดเจ็บให้เกมสุดบ้าคลั่ง 11 ประตูในเกมนี้จบลงซักที

แฟนบอลในแฟรตตัน พาร์คสะใจและตั้งความหวังจะได้เห็นนักเตะทิ้งทวนแบบนี้อีกแต่เหลือเชื่อสุดๆเพราะ 4 นัดต่อมาลูกทีมแฮร์รี่ เร้ดแนปป์ยิงประตูใครในบ้านไม่ได้เลย!!!




ลิเวอร์พูล 8 เบซิคตัส 0 (6 พฤศจิกายน)

สามเกมในศึกแชมเปี้ยนส์ลีกรอบแบ่งกลุ่มผ่านไปลิเวอร์พูลเก่งกาจสุดๆเก็บได้แค่แต้มเดียวและส่อแววตกรอบตั้งแต่ไก่โห่เพราะโอลิมปิก มาร์กเซย์คู่แข่งตัวฉกาจบุกมาเอาชนะถึงแอนฟิลด์จนกลายเป็นตัวเต็งตามเอฟซี ปอร์โต้เข้ารอบน็อกเอาท์

อย่างไรก็ตามว่ากันว่าเกมแรกของหงส์แดงเริ่มต้นขึ้นจากวันที่เฝ้าแอนฟิลด์เพื่อล้างแค้นเบซิคตัสตัวแทนจากตุรกีที่ไม่ได้มีจุดเด่นอะไรเลยแต่กลับพลิกล็อกชนะแชมป์ปี 2005 และไฟนอลิสต์เมื่อปีก่อน 2-1

ลิเวอร์พูลทำลายสถิติยิงประตูมากสุดต่อหนึ่งเกมในเวทียุโรปหลังอาร์เซนอลเพิ่งทำไว้ไม่นานหลังอัดสปาตัก ปราก 7-0

ลูกทีมราฟาเอล เบนิเตซเล่นกันอย่างสนุกสนานโดยพวกนักเตะที่ไม่เคยเล่นดีก็มาโชว์เทพหน้าสลอนทั้งยอสซี่ เบนายูนที่กดแฮทริค,ปีเตอร์ เคราช์เบิกร่องลูกแรก,ไรอัล บาเบิ้ลก็เบิ้ลสมชื่อในขณะที่สตีเฟ่น เจอร์ราร์ดมีชื่อแจมก่อนที่เปรตจะมาปิดท้ายนาที 89

สุดท้ายแล้วยอดทีมจากอังกฤษกวาดชัยสองนัดที่เหลือยิงกระจายนัดละ 4 ลูกรวมเบ็ดเสร็จ 3 นัดสุดท้าย 16 ลูก!!!



วีแกน 5 แบล็คเบิร์น 3 (15 ธันวาคม)

เกมที่เกือบๆจะมีทุกอย่าง สองแฮทริค,พลาดจุดโทษ,ไล่ออกและความระทึกขวัญโดยมีมาร์คัส เบนท์และโรเก้ ซานตา ครูซเป็นแม่ทัพทำศึกสงครามครั้งนี้

หลังได้แค่แต้มเดียวจาก 9 นัดหลังสุดวีแกนได้เวลาปลดล็อก นี่เป็นสามแต้มแรกของสตีฟ บรูซหลังพยายามอยู่สามนัด

ประตูของแลนด์ซาร์ท,มาร์คัส เบนท์และพอล ชาร์เนอร์ใช้เวลาเพียงแค่ 37 นาทีให้เดอะลาติกส์นำกระจาย 3-0 โดยที่ทุกอย่างน่าจะเป็นใจให้พวกเขาทั้งหมดสิ้นเมื่อเบนนี่ แม็คคาธี่ของแบล็คเบิร์นยิงจุดโทษไม่เข้า

แต่จากช่วงคริสมาสต์ที่กำลังจะมาถึงอีก 10 วันนักเตะวีแกนน่าจะประกบซานต้าให้แน่นกว่านี้เพราะแข้งทีมชาติปารากวัยวอลเลย์เต็มตีนเตี่ยขู่เจ้าถิ่นก่อนพักครึ่งให้กุหลาบไฟไล่มาเป็น 3-1

ลูกความหวังทันทีที่ลงสนามในครึ่งหลังมาได้ 5 นาทีจากซานตา ครูซทำให้ตอนนี้แฟนบอลและนักเตะเจ้าถิ่นชักอยู่ไม่เป็นสุขแต่เบร็ตต์ เอเมอร์ตันมาทำเซ็งเพราะถูกไล่ออกหลังเตะนอกเกมใส่เทย์เลอร์

อย่างไรก็ตามฝันร้ายมาเยี่ยมเยียนวีแกนในนาที 61จากประตูของหนุ่มหน้ามนคนดีคนเดิมแต่ความสุขของเด็กกุหลาบหมดไปอย่างรวดเร็วหลัง 5 นาทีต่อมาเบนท์ยิงนำ 4-3 และมาทำแฮทริคปิดท้ายก่อนหมดเวลา 9 นาที

นี่เป็นครั้งแรกที่นักเตะทั้งสองทีมสามารถทำแฮทริคพร้อมกันในเกมเดียวจนถูกบันทึกเป็นสถิติในพรีเมียร์ลีกไปเรียบร้อยแล้ว

ที่มา :
http://www.lentee.com/

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์