10 อรหันต์ในยุค ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่

การย้ายมาเล่นแบบยืมตัวของ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช หัวหอกทีมชาติสวีเดน ถือเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับ เอซี มิลาน อย่างมาก หากมองจากนักเตะในเวลานี้ ทำให้พวกเขามีโอกาสที่จะทำลายอาณาจักรของ อินเตอร์ มิลาน คู่อริร่วมเมืองได้ โดยความสำเร็จในการคว้าตัว อิบรา กลับมาเล่นในลีกเมืองมะกะโรนี ต้องบอกว่าส่วนหนึ่งมาจากความทุ่มเทของ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ เจ้าของทีม ที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ ปีศาจแดง-ดำ กลับคืนสู่ความเป็นเจ้าบัลลังก์วงการลูกหนังเมืองมะกะโรนี รวมทั้งบนเวทียุโรปด้วย งานนี้ลองมายล 10 แข้งที่ดีที่สุดในยุคของ แบร์ลุสโคนี่ ที่ดึงตัวมาค้าแข้งในถิ่นซาน ซิโร่ กันดีกว่า


10.  โรนัลดินโญ่



           ดินโญ่ ซึ่งเป็นเจ้าของตำแหน่งนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลก 2 สมัย เขาเริ่มสร้างความเป็นยอดนักเตะเวิลด์ คลาสกับ ปารีส แซงค์ แชร์กแมง ก่อนจะระเบิดฟอร์มสุดยอดให้ บาร์เซโลน่า ซึ่งที่นี่ทำให้เขากลายเป็นนักเตะหมายเลข 1 ของโลก อย่าไงก็ตาม วัฎจักรแห่งความล้มเหลวก็ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาสู่ โรนัลดินโญ่ ในถิ่นคัมป์ นู เมื่อปี 2008 โดย เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือคนหนุ่มในเวลานั้นเป็นคนที่กดดันทำให้เขาต้องย้ายทีม จนสุดท้ายต้องอำลา เจ้าบุญทุ่ม เพื่อไปหาความท้าทายใหม่กับ เอซี มิลาน ด้วยค่าตัวแสนถูก 21 ล้านยูโร (ราว 840 ล้านบาท) ซึ่งช่วงแรกๆ ดาวเตะเลือดแซมบ้า ยังไม่สามารถปรับตัวกับ ปีศาจแดง-ดำ ได้ แต่สุดท้ายเขาก็สามารถเรียกฟอร์มเก่งกลับคืนมา และกลายเป็นนักเตะที่สุดยอดเกินคำบรรยายตลอด 2 ปีในถิ่นซาน ซิโซ่ โดยในบางครั้งเขาสร้างมิติใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจให้กับสโมสรแห่งนี้








9. อเล็กซานเดร ปาโต้



           ค่าตัว 22 ล้านยูโร (ราว 880 ล้านบาท) ตอนนั้น มิลาน ทำให้ทั่วโลกได้รู้จักสมญานาม เจ้าเป็นน้อยในชั่วเวลาเพียงข้ามคืนเท่านั้น เมื่อพวกเขาตัดสินใจเซ็นสัญญากับ ปาโต้ จาก อินเตอร์นาซิอองนาล ซึ่งขณะนั้นเขาอายุเพียง 17 ปีเท่านั้น โดยตามกฎการย้ายทีมของฟีฟ่า หัวหอกเลือดบราซิเลียน จะลงเล่นได้แค่เพียงเกมอุ่นเครื่องในช่วง 4 เดือนแรกกับ รอสโซเนรี่ ก่อนที่เขาจะระเบิดพรสวรรค์ออกมาในแมตช์เปิดตัวพบ นาโปลี นับตั้งแต่นั้นเจ้าตัวกลายกลายเป็นเพชรน้ำงามของสาวกมิลาน ที่สำคัญยังทำให้ท่าดีใจรูปหัวใจกลายเป็นท่าที่คนนิยมนำมาใช้มากที่สุดด้วย  













8. จานลุยจิ เลนตินี่



             นักเตะรายนี้กลายเป็นผู้เล่นที่หลายๆ สโมสรอยากได้มาร่วมทีมเนื่องจากสร้างผลงานขั้นเทพให้กับ โตริโน่ ก่อนที่ มิลาน จะทุ่มเงินมหาศาล เพื่อดึงปีกหน้าหล่อรายนี้มาร่วมทัพ และทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นที่ค่าตัวแพงที่สุดในโลก เมื่อปี1992 โดยสนนราคาค่าตัวแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยอยู่ที่ 15 ล้านยูโร (ราว 600 ล้านบาท) อย่างไรก็ตาม เลนตินี่ เกือบกลายเป็นศพคารถหรูของเขา หลังเจ้าตัวคะนองซิ่งไม่คิดชีวิตจนประสบอุบัติเหตุรถคว่ำในช่วงปลายปีของปีนั้น ซึ่ง ปีกสายพันธุ์อิตาเลียน ตอนนอนอยู่พะงาบๆ รอความตายอยู่ในห้องไอซียู 2 วัน แม้จะรอดจากเงื้อมมือมัจจุราชได้ แต่จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น เลนตินี่ ก็ไม่เคยเรียกพรสวรรค์ของเขากลับมาได้อีกเลย และหลังจาก 4 ปีกับ มิลาน เขาใช้เวลาที่เหลืออยู่ในอาชีพพ่อค้าแข้งย้ายไปให้หลายๆ สโมสร โดยไม่ประสบความสำเร็จแม้แต่ครั้งเดียว










7. แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด



              ไรจ์การ์ด เป็นนักเตะที่ได้รับการจับตามองอย่างมากตอนที่เล่นให้ อาแจ็กซ์ ก่อนจะย้ายไปค้าแข้งแบบยืมตัวให้ เรอัล ซาราโกซ่า ซึ่งที่นั่นทำให้ ไรจ์การ์ด ให้ลิ้มรสชาติการย้ายออกจากประเทศฮอลแลนด์แบบถาวรเลยทีเดียว โดย ดาวเตะหัวหยิกหยอยเหมือนฝอยขัดหม้อ เป็นหนึ่งในผู้เล่นสำคัญที่ช่วยให้ทัพ อัศวินสีส้ม ผงาดครองแชมป์ ยูโร 88 ที่เมืองเบียร์ ที่สำคัญ ไรจ์การ์ด ยังกลายเป็นหนึ่งในพ่อค้าแข้งที่ร้อนแรงที่สุดอย่างรวดเร็ว งานนี้ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ ต้องรีบเดินหน้าคว้าตัวเขามาร่วมทีม จนทำให้พวกเขาเข้าสู่ยุคมหาอำนาจลูกหนังด้วย 3 ทหารเสือดัตช์ ได้แก่ รุด กุลลิท, มาร์โก แวน บาสเท่น และ ไรจ์การ์ด งานนี้ อาร์ริโก้ ซาคคี่ กุนซือในขณะนั้นได้เปลี่ยนให้ ดาวเตะดัตช์แมน กลายเป็นนักเตะเวิลด์ คลาส ในตำแหน่งกองกลาง และงานนี้ มิลาน ก็กลายสภาพเป็นยอดทีมซึ่งคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ เป็นว่าเล่น










6. ซลาตัน อิบราฮิโมวิช



                มิลาน ต้องประสบกับปัญหาด้านการเงินฝืดเคืองในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ท่านประธาน แบร์รุสโคนี่ ต้องกำชับ อาเดรียโน่ กัลเลียนี่ รองประธานสโมสรพยายามใช้เงนพอประมานในการซื้อนักเตะช่วงซัมเมอร์ โดยพวกเขายืมตัว มาร์โก อเมเลีย และ เควิน พรินซ์ บัวเต็ง มาเล่น เช่นเดียวกับการได้ตัว โซคราติส ปาปาสตาโธปูลอส และ มาริโอ เยเปส มาเสริมทัพ ซึ่งก็ดูเหมือนว่านี่คงเป็นการดึงผู้เล่นที่ดีที่สุดของพวกเขาแล้ว อย่างไรก็ตาม เรื่องที่สุดเซอร์ไพรส์ก็เกิดขึ้น เมื่อพวกเขาจัดการยืมตัว ซลาตัน อิบราฮิโมวิช มาจาก บาร์เซโลน่า ได้สำเร็จ พร้อมกับออปชั่นซื้อขายหลังจบซีซั่นนี้ด้วย งานนี้ถือเป็นการเติมเต็มแนวรุกของสโมสรได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกัน อิบรา ก็ได้กลับมายังบ้านเก่าในเมืองมิลานอีกครั้ง แต่ไม่ใช่ฝั่ง อินเตอร์ มิลาน เท่านั้นเอง


 









5. เดยัน ซาวิเซวิช



                 ซาวิเซวิช เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่สร้างความน่าเหลือเชื่อให้กับ เรด สตาร์ เบลเกรด ในการผงาดคว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ ปี 1991 และได้อันดับ 2 รางวัลบัลลงดอร์ โดยแพ้ฌอง ปีแอร์-ปาแปง ซึ่งกลายมาเป็นเพื่อนร่วมทีมของเขาอีก 12 เดือนหลังจากนั้น เมื่อทั้งคู่เซ็นสัญญาย้ายมาเล่นให้กับ ฟาบิโอ คาเปลโล่ ในมิลาน ซาวิเซวิช ไม่ค่อยได้ลงเล่นมากนักในช่วงปีแรกในถิ่นซาน ซิโร่ แต่กลายเป็นตัวเลือกอันดับแรกที่ทีมขนาดไม่ได้ หลังยจากที่ รอสโซเนรี่ ขาย รุด กุลลิท และ มาร์โก แวน บาสเท่น ตัดสินใจแขวนสตั๊ด








4. ฌอง ปีแอร์-ปาแปง



                หลังจากยุคทองกับ โอลิมปิก มาร์กเซย, ฌอง ปีแอร์-ปาแปง ก็กลายเป็นนักเตะเลือดเฟร้นช์ที่ได้รับการขนานนามอย่างมากกับการเล่นในศึกกัลโช่ เซเรีย อา นับตั้งแต่ที่ มิเชล พลาตินี่ นโปเลียนลูกหนัง ได้สร้างชื่อกระฉ่อนระบือไกลให้กับแข้งน้ำหมอบนแผ่นดินรองเท้าบู้ทกับ ม้าลาย ยูเวนตุส โดยงานนี้ แบร์สุสโคนี่ ทุ่มทุนสร้างมหาศาลยอมเบิกเงินในคลัง มิลาน จำนวน 10 ล้านยูโร (ราว 400 ล้านบาท) เพื่อเซ็นสัญญากับหัวหอกจอมถล่มประตูในปี 1992 โดย อดีตดาวเตะเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ เป็นส่วนสำคัญที่นำ มิลาน กลับมาคว้าแชมป์ลีกมะกะโรนีและ แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปี 1994 อย่างไรก็ตาม ปาแปง ไม่สามารถปรับตัวกับการเล่นในอิตาลีได้ และหลังจาก 2 ปีเขาก็ตัดสินใจเก็บข้าวของไปเล่นให้ เสือใต้ บาเยิร์น มิวนิค











3.  โรแบร์โต้ บาจโจ้



                การตัดสินใจยุติเส้นทางค้าแข้งกับยูเวนตุส เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อสำหรับ เปียทองคำ โรแบร์โต้ บาจโจ้ อย่างมาก โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่เขาต้องอกหักไม่สามารถนำ อิตาลี คว้าแชมป์เวิลด์ คัพ 1994 ได้ เนื่องจากแพ้จุดโทษ บราซิล และก็เป็นเขาที่ยิงไม่เข้าด้วย และหลังจากนั้นเจ้าตัวก็ตัดสินใจย้ายไปเล่นให้ มิลาน ด้วยวัย 28 ปี งานนี้เจ้าตัวโชว์ฟอร์มที่ดีที่สุดของเขากับการเล่นในถิ่นซาน ซิโร่ เมื่อปี 1995 และหลังจากที่โลดแล่นอยู่ในวงการลูกหนังมานาน สุดท้ายก็ฝืนสังขารไม่ไหวก่อนจะตัดสินใจแขวนสตั๊ดกับการเล่นให้ เบรสชา


 







2. รุด กุลลิท



                ค่าตัวจำนวน 7 ล้านยูโร (ราว 280 ล้านบาท) สำหรับ กุลลิท ถือเป็นการทุ่มเงินจำนวนมหาศาลครั้งแรกในการเซ็นสัญญาภายใต้เจ้าของที่มีนามว่า ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ หลังจากที่ทำผลงานน่าจับตามองกับ ฮาร์เล็ม  และ เฟเยร์นูร์ด , ดาวเตะเจ้าของฉายา งูเก็งก็องก็ย้ายไปดังระเบิดเถิดเทิงกับ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น และอยู่สร้างชื่อที่นี่ 2 ปี ก่อนจะย้ายไปกลายเป็นตำนานลูกหนังในถิ่นซาน ซิโร่ เมื่อปี 1987 โดยตลอดระยะเวลา 6 ปีภายใต้สีเสื้อ ปีศาจแดง-ดำเขาคว้าโทรฟี่แชมป์มาเบาะๆ 12 รายการ รวมทั้งแชมป์ยูโรเปี้ยนส์ ลีก 2 สมัย และแชมป์สโมสรโลก 2 สมัยเช่นกัน จากนั้นเจ้าตัวก็ถูกส่งไปเล่นแบบยืมตัว และโดนขายขาดกับ ซามพ์โดเรีย ก่อนที่จะย้ายไปสร้างสีสรรให้กับ สิงโตน้ำเงินคราม เชลซี ในเวลาต่อมา










1. มาร์โก แวน บาสเท่น



                หลังจากที่ มาร์โก แวน บาสเท่น ประสบความสำเร็จอย่างมากมายกับ อาแจ็กซ์ โดยเขาตะบันประตูให้กับสโมสรแห่งนี้ 128 ลูกจาก 133 เกม เจ้าตัวก็ย้ายไปเป็นดาวจรัสแสงกับ มิลาน ในปี 1987 โดยนั่นถือเป็นการเซ็นสัญญาที่ดีที่สุดของ แบร์ลุสโคนี่ จนทุกวันนี้ แม้ หัวหอกเจ้าของฉายา เพชรฆาตพรายกระซิบ ไม่ค่อยได้ลงเล่นมากนักในซีซั่นแรกของเขากับ มิลาน แต่เจ้าตัวก็ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จ และจากนั้นก็กลายเป็นมหกรรมสร้างชื่อเสียงของเขา จนในที่สุดก็กลายเป็นขวัญใจตลอดกาลของสาวก รอสโซเนรี่ ด้วยผลงานนำทีมคว้าแชมป์ถึง 12 รายการ นอกจากนี้ แวน บาสเท่น ยังได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในตัวจบสกอร์ที่ดีที่สุดเท่าที่โลกนี้เคยมีมา แต่หลังจากต้องประสบปัญหาเรื้อรังกับอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้า หัวหอกเลือดดัตซ์ พยายามที่จะรักษาตัวเองเพื่อกลับมาลงสนามให้ได้อีกครั้ง โดยเล่นเกมนัดสุดท้ายในรอบชิงชนะเลิศ ศึกยูโรเปี้ยน คัพ 1993 แต่แพ้ โอลิมปิก มาร์กเซย และหลังจากทู่ซี้มานานกว่า 2 ปี สุดท้ายก็แพ้สังขารทำให้ตัดสินใจแขวนสตั๊ดในวัย 30 ปี









เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์