เจาะใจ แอนดี้ โคล : ทำไมผมถึงไม่คุยกับ เชอริงแฮม

บางคนอาจจะพอรู้มาบ้างแล้วว่า แอนดี้ โคล มีเรื่องกินแหนงแคลงใจกับ เท็ดดี้ เชอริงแฮม ถึงขนาดไม่พูดจากัน ทั้งที่เล่นอยู่ทีมเดียวกันในวันเวลาที่สวม ปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่สำคัญคือทั้งที่กินเกาเหลาชามโต ทั้งคู่กลับพิสูจน์ด้วยผลงานในสนามว่า สามารถเล่นเข้าขากันได้เป็นอย่างดี จากการยิงรวม 54 ประตูจาก 4,581 นาทีที่อยู่ด้วยในสนาม หรือเฉลี่ย 84.8 นาทีต่อลูก
 

พอดี แอนดี้ โคล เขียนถึงเรื่องนี้ลงคอลัมน์ของเขาในเว็บไซต์ ดิ อินดิเพนเด้นท์ เลยขออนุญาตินำมาถอดความ และเรียบเรียงให้ได้อ่าน ว่ามันมีที่มาที่ไปยังไง และเกี่ยวข้องกับ อารอน แรมซี่ย์ กับ ไรอัน ชอว์ครอสส์ และ เวย์น บริดจ์ กับ จอห์น เทอร์รี่ ยังไง และด้วยการที่มันเป็นบทความที่ โคล เขียนเอง เลยขออนุญาติถอดความกันตามนั้นเลย... 
 

ผมขอนั่งดื่มชากับ นีล รัดด็อก ที่หักขาผมสะบั้น 2 ท่อนในปี 1996 มากกว่าจะเป็นกับ เท็ดดี้ เชอริงแฮม ซึ่งผมไม่ชอบหน้ามานานกว่า 15 ปี เมื่อผมเล่าให้คุณฟังว่าเพราะอะไร บางทีอาจทำให้คุณเกิดความเข้าใจเล็กๆ ว่าทำไมผมถึงคิดว่า ใครที่ด่วนสรุปประเด็นเรื่องฟุตบอลใหญ่ๆ 2 เรื่อง ในช่วงที่ผ่านมา ควรคิดใหม่อีกที
 

ประเด็นที่ผมเอ่ยถึงคือการบาดเจ็บที่น่ากลัวของ อารอน แรมซี่ย์ นักเตะอาร์เซน่อล ในจังหวะอัดกับ ไรอัน ชอว์ครอสส์ ของ สโต๊ค ซิตี้ และการตัดสินใจของ เวย์น บริดจ์ ที่ถอนตัวจากการเล่นให้ทีมชาติอังกฤษ ตามด้วยการไม่จับมือกับ จอห์น เทอร์รี่    
 

เอาเรื่องจังหวะเสียบสกัดของ ชอว์ครอสส์ ก่อน พวกคุณหลายๆ คนคงได้เห็นหลายรอบแล้ว เช่นเดียวกับผม ผลที่ตามมานั้นน่ากลัว ไม่ใช่สิ่งที่คุณคิดอยากให้เกิดขึ้นกับใคร มันเป็นการเสียบสกัดช้า ? ใช่ ทะเล่อทะล่า ? ใช่ เจตนาทำร้ายร่างกาย ? ไม่ใช่
 

สำหรับนักเตะกองหลังแล้ว ชอว์ครอสส์ มีสถิติใบเหลือง-ใบแดงที่สะอาดมาก และคุณสามารถเห็นได้จากปฏิกิริยาของเขา เขาตกใจ และร้องไห้ และไม่ใช่เพราะเขาถูกไล่ออก แต่เป็นเพราะเขาเสียใจเหมือนคนอื่นๆ ผมเข้าใจพวกเขาทั้งคู่ และผมขออวยพรให้ แรมซี่ย์ หายไวๆ เขายังเด็กอยู่ ใจสู้ และจะกลับมาเป็นนักเตะคนเดิม เขาจะกลับมาได้ 
 

ผมเข้าใจความหงุดหงิดของ อาร์แซน เวนเกอร์ ดี เพราะว่านี่เป็นการบาดเจ็บที่รุนแรงกับนักเตะของเขาเป็นรอบที่ 3 แล้วในระยะเวลาไม่นาน แต่ถ้าเขาคิดจริงๆ ว่า ชอว์ครอสส์ จงใจเล่นงาน แรมซี่ย์ ผมเกรงว่าเขาจะหลงประเด็น
 

ผมเคยโมโห ยิ่งกว่าโมโหเสียอีก ตอนที่ รัดด็อก อัดผมในเกมทีมสำรอง และผมถูกวินิจฉัยหลังจากนั้นว่าผมขาหัก 2 ท่อน และข้อเท้าหัก และต้องหยุดพักหลายเดือน เราเห็นไม่ตรงกันว่ากับเรื่องที่ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง เขาบอกว่าเจตนาสกัดแบบบริสุทธิใจ ผมรู้สึกแย่ และบอกว่ามันเป็นการเสียบสกัดช้า และหละหลวม
 

แต่แม้ตอนนั้นผมจะโมโหมากๆ บวกกับความหงุดหงิดที่จะไม่ได้เล่นไปอีก ก็ไม่เคยมีแม้แต่วินาทีเดียวที่ผมคิดว่า รัดด็อก จงใจอัดผมให้เจ็บ กะเอาให้กระดูกหัก เพราะมันไม่มีนักเตะอาชีพคนไหนหรอกที่จะทำแบบนั้นกับเพื่อนร่วมอาชีพ เว้นเสียแต่ว่ามีอะไรบิดๆ เบี้ยวในสมองของเขาเท่านั้น ผมไม่ได้รู้จัก รัดด็อก ดีเท่าไหร่นักทั้งก่อน และหลังจากนั้น แต่ผมยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นส่วนหนึ่งในเกมฟุตบอล กีฬาที่มีการปะทะกัน และทำให้เกิดการบาดเจ็บรุนแรง ซึ่งโชคดี ที่มันไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ       
 

เอาเถอะ ขอผมเคลียร์การเกริ่นนำของผมก่อน ผมไม่ได้เรียกร้องการพูดคุยหวานๆ กับ รัดด็อก นะ ! แต่ผมไม่มีความรู้สึกเป็นศัตรูกับเขาแบบที่ผมมีกับ เชอริงแฮม
 

บางคนอาจรู้ภูมิหลังของเรื่องนี้แล้ว แต่อาจไม่รู้รายละเอียดทั้งหมด ส่วนบางคนอาจจะเซอร์ไพรส์ที่การทะเลาะกันของเราเป็นเรื่องของกิเลศของมนุษย์ แต่นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น
 

มันเป็นช่วงต้นปี 1995 ผมเพิ่งเซ็นสัญญากับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเป็นเกมทีมชาติอังกฤษนัดแรก กับ อุรุกวัย ผมเป็นตัวสำรอง รอลงมาเล่นแทน เชอริงแฮม (ตอนนั้นเล่นกับ สเปอร์ส) หลังเกมผ่านไปได้สัก 70 นาที คุณจะต้องเข้าใจว่าตอนนั้นในหัวของผมคิดอะไร เพื่อทำความเข้าใจปฏิกิริยาของผมกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้น
 

ผมตื่นเต้น และแข้งขาสั่นไปหมด นี่คือสุดยอดของสิ่งที่คุณใฝ่ฝัน คุณคุ้นเคยกับคำพูดเกร่อๆ ที่ว่า การเล่นให้ทีมชาติมีความหมายกับผมมาก แต่เชื่อผมเถอะ มันเป็นแบบนั้นจริงๆ มันไม่ใช่แค่ตัวผมเท่านั้น แต่ทั้งกับครอบครัวของผม โดยเฉพาะพ่อแม่ของผม ที่ตรากตรำสู้ความยากลำบากเพื่อให้พวกเราได้รับโอกาสอย่างที่ได้รับ การเป็นนักเตะอาชีพมันน่าเหลือเชื่อ การเล่นให้ทีมชาติอังกฤษ เป็นสิ่งที่คุณอธิบายออกมาไม่ได้ และช่วงเวลานั้นของผมก็มาถึง
 

ผมก้าวเท้าลงสนาม โดยมีแฟนบอลกว่า 60,000 คนดูอยู่ เชอริงแฮม เดินมาเปลี่ยนตัว และคาดหวังถึงการจับมือสั้นๆ แบบว่า โชคดี โคลอี้ - ประมาณนั้น ผมพร้อมจะจับมือ แต่เขาเมินผม เขาเมินผม ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่างที่ผมไม่รู้เลยจนกระทั่งตอนนี้ เขาเดินออกมา ผมไม่รู้จักเขา เขาจะมามีเรื่องอะไรกับผม เราเป็นนักเตะอังกฤษเหมือนกัน มันเป็นเกมแรกของผม และเขาเมินผม    
 

รู้มั้ยว่าความคิดแวบนั้นของผมคืออะไร ? โอ้ พระเจ้า ! จะมีคนมากมายขนาดไหนฟ่ะที่เห็น เท็ดดี้ เชอริงแฮม ทำแบบนี้กับเรา ! ผมหละโคตรอาย ผมสับสน และจากนั้นมา ผมรู้แล้วว่า เชอริงแฮม เข้ากันไม่ได้ หลังจากนั้นสองปี ในช่วงซัมเมอร์ปี 1997 หลังจาก เอริก คันโตน่า อำลา ยูไนเต็ด ไป เชอริงแฮม ย้ายมา เราเล่นด้วยกันหลายปี เรายิงประตูได้เยอะแยะ แต่ผมไม่เคยพูดกับเขาเลยสักคำ 
 

หลายคนสงสัยว่าเราเล่นด้วยกันได้ยังไง ครั้งหนึ่ง แกรี่ พัลลิสเตอร์ พูดว่า ฉันรู้ว่าแกไม่คุยกับ เท็ดดี้ และเขาก็ไม่พูดกับแก แต่อย่างน้อยพวกแกก็เล่นด้วยกันได้ดี มันก็แบบนั้นจริงๆ และผมไม่เคยดูถูก เชอริงแฮม ในฐานะหนึ่งในนักเตะชั้นยอดทั้งในระดับสโมสร และทีมชาติ ผมแค่ไม่ชอบเขาเป็นการส่วนตัวมา 15 ปี
 

นั่นนำเรามาสู่กรณีของ บริดจ์ กับ เทอร์รี่ ผมเดาว่าคงมีหลายคนเลยที่เห็น บริดจ์ เมินจับมือ เทอร์รี่ และคิดว่า เจ๋งวะ ทั้งหมดที่ผมอยากบอกคือ ผมรู้ว่า การโดนปฏิเสธการจับมือมันเป็นยังไง และถ้าหาก บริดจ์ คิดว่าสิ่งที่เขามันถูกต้องแล้วสำหรับเขา ณ เวลานั้น ผมก็ไม่ว่าอะไร ผมยังเคยปฏิเสธที่จะจับมือผู้ตัดสิน ไมค์ ดีน เลยสมัยเล่นอยู่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เขาชอบจดชื่อผมแบบงี่เง่าๆ หลายครั้ง และตามมุมมองของผมคนเดียว เขาไม่ควรได้มาตัดสินเลย ผมเลยไม่จับมือเขา    
 

ส่วนการตัดสินใจของ บริดจ์ ที่จะไม่เล่นให้ทีมชาติอังกฤษ คนอื่นๆ มีสิทธิอะไรที่จะไปบอกเขา ? เขาไม่ได้เป็นหนี้ทั้งของผม และของพวกคุณ มันเป็นการตัดสินใจของเขาเอง และเขายังมีสิทธิเปลี่ยนได้ 

http://www.siamsport.co.th/Column/100320_047.html


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์