หงส์,สิงห์,ปืนมาแล้ว.. แต่ผีล่ะทำอะไรอยู่ !!!!!


~เจี๊ยบ เคเอฟซี เดลิเวอรี่!!~
 


ในขณะที่ลมพัดเอื่อยๆในยามเย็น แต่หัวสมองผมกลับกลั่นกรองแต่ภาพที่วนซ้ำไปซ้ำมา ณ เทิร์ฟ มัวร์...

สนามเล็กๆถูกปกคลุมไปด้วยกองเชียร์เต็มสนาม.. ไม่มากเท่าสนามเลื่องชื่อเช่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด , สแตมฟอร์ด บริดจ์ , เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม หรือแอนฟิลด์ แต่ก็ดูอบอวลไปด้วยศรัทธาของแฟนบอล เดอะ คลาเร็ตส์ ที่ได้ฤกษ์เฝ้าบ้านในอาณาบริเวณลีกสูงสุด ครั้งแรกในรอบ 34 ปี..

มันอาจสำคัญสำหรับแฟนเบิร์นลี่ย์ แต่สำหรับแฟนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด.. หลายคนเลือกที่จะข้ามเกมนี้ไปเพื่อพักผ่อนหย่อนใจบนที่นอน พร้อมกับบวกอีก 3 คะแนนเข้าไปในจินตนาการซะตั้งแต่ก่อนแข่ง..

ผมเองก็เกือบอยู่ในกลุ่มนั้น.. แต่สุดท้ายพอเห็นทีมชีทเป็นไมเคิ่ล โอเว่นถูกเลือกมาจับคู่กับเวย์น รูนี่ย์ ผมเลือกเดินลงไปเปิดทีวีเบื้องล่าง.. และชมเกมที่ เบบี้โกล์ ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงนัดแรกอย่างเป็นทางการให้กับยูไนเต็ด..

แต่หลายสิ่งที่คิดไว้ว่าจะสวยงามกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด..

ยูไนเต็ดต้องการเกมนี้เพื่อเรียกความมั่นใจ.. สามแต้มในบ้านกับเบอร์มิงแฮมอาจดูดีแต่ถ้าเค้นให้ลึกไปถึงเนื้อในใครๆก็รู้ว่าทีมมีปัญหา..

แม้ว่าจะพยายามปฏิเสธท่าเดียวว่าไม่เกี่ยวกับคริสติอาโน่ โรนัลโด้.. แต่คงต้องก้มหน้ายอมรับว่ารูโบ๋ของแข้งบัลลงดอร์ 2008 ทำให้ทรงโดยรวมของยูไนเต็ดทรุดลงอย่างเห็นได้ชัด..

ในเกมอุ่นเครื่องเรายังไม่เห็นกัน.. หนึ่งคือคู่แข่งยังไม่เอาจริงเพียงพอ.. และสองคือความมั่นใจและแรงกดดันที่ต้องรับในการแข่งขันจริง มีมากกว่า..

และภาพก็ถูกคลี่ออกให้เห็นชัดขึ้นในเกมกับสองน้องใหม่..

กับเบอร์มิงแฮม.. แชมป์พรีเมียร์ลีกขึ้นเกมบุกแบบไร้ไอเดีย.. ในยามที่ไม่มีโรนัลโด้.. นานี่ยังไม่สามารถทดแทนได้.. ส่วนพาร์ค ชี ซองก็สร้างประโยชน์ให้กับทีมได้น้อยเกินไป..

ประตูที่ได้ก็มาจากความแข็งแกร่งและความขยันของเวย์น รูนี่ย์เพียงคนเดียว และหลังจากนั้นก็หมดสิทธิ์พิฆาตทีมเยือนให้สิ้นซาก.. จนกระทั่งเกือบตาค้างถูกตีเสมอ..

ถ้ากวาดตามองไปทั่วสนามก็ไม่น่าจะเห็นใครที่เล่นได้อย่างประทับใจ.. โดยเฉพาะแดนกลางที่ดูยวบยาบกันไปหมด.. ไมเคิ่ล คาร์ริค ฟอร์มตก.. พาร์ค ชี ซอง ไม่อาจกลับไปสู่จุดที่เคยยืน ในขณะที่นานี่ก็ยังดันตัวเองขึ้นมาบนทีมชุดใหญ่ได้ไม่เต็มตัว..

ตัวสำรองที่เฟอร์กี้หวังว่าจะส่งลงมาพลิกสถานการณ์อย่างอันโตนิโอ วาเลนเซีย ก็ยังไร้ความสร้างสรรค์เท่าที่ควร.. อาจเปลี่ยนสไตล์การบุกของทีมในแนวกว้างได้แต่เมื่อเจอแนวรับที่ซ้อนสองสามชั้นก็พลิกแพลงไม่ออก..

แต่สิ่งเหล่านี้ยังคงถูกมองข้ามไป.. เพราะแน่นอนทีมได้ผลการแข่งขันที่ต้องการ.. รวมทั้งสื่อต่างๆก็ยังยกยอปอปั้นยูไนเต็ดว่า.. เอาตัวรอดได้สำเร็จ..

ผู้เขียนเองเห็นต่าง.. เพราะอาจมองได้ว่า พวกเขาแค่โชคดี..

โชคดีที่ไม่ถูกเบอร์มิงแฮมวิ่งมาขโมยแต้มเมื่อวันอาทิตย์.. และเมื่อคืนที่ผ่านมา พวกเขาก็โชคดีที่แพ้ !!

ยูไนเต็ดแพ้ทุกอย่างในเกมเมื่อคืน.. พวกเขาแพ้ความตั้งใจของเบิร์นลี่ย์ , แพ้เสียงเชียร์แฟนบอล , แพ้แผนการอันแยบยลของโอเว่น คอยล์ และที่สำคัญที่สุด พวกเขาแพ้ตัวเอง..

แพ้ตั้งแต่จัด 11 ตัวแรกลงสนาม..

ปัญหาหนึ่งที่ดูจะหายไปแต่กำลังจะกลับมาคือเกมรับ.. ตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่เนมานย่า วิดิชเข้ามาจับมือกับริโอ เฟอร์ดินานด์ ปัญหาแผงหลังรั่วก็ดูจะไม่มีอีก..

แต่ในยามที่ทั้งสองไม่อยู่ในสนาม.. สุดท้ายแล้วมันเริ่มจะกลับมา..

เวส บราวน์ ที่เพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บถูกเฟอร์กี้จับมาเข้าคู่กับจอนนี่ อีแวนส์ นี่คือปัญหาอย่างแรก..

บราวน์ ยังไม่อยู่ในช่วงฟิตสมบูรณ์ ในขณะที่อีแวนส์ก็เป็นกองหลังสไตล์บุ๋นไม่ใช่บู๊ และเมื่อเอาสองคนที่ไม่เคยเล่นด้วยกันมาจับคู่ แม้แต่บอลง่ายๆก็ป้องกันได้ยาก..

เบิร์นลี่ย์ก็เล่นบอลแบบเบิร์นลี่ย์.. มันคือความเคยชินที่พวกเขาทำมาตลอดในเดอะ แชมเปี้ยนชิพ.. ไดเร็กท์ เพลย์.. การโยนบอลจากแดนหลังโดยไม่ผ่านกองกลาง.. สาดบอลบอมบ์เข้าไปในเขตโทษให้กองหน้าเก็บบอล รอแนวรับคู่ต่อสู้พลาด..

สกัดได้ก็สกัดไป พอเคลียร์มาก็บอมบ์เข้าไปใหม่.. รอเพียงแค่จังหวะเดียวที่คู่ต่อสู้พลาด.. และเพียงแค่ 18 นาที.. แผนการของโอเว่น คอยล์ ได้ผล.. พวกเขาเปิดบริสุทธิ์แชมป์เก่าได้อย่างง่ายๆ..

ง่ายแบบไม่น่าเชื่อ.. สองสามจังหวะที่ยูไนเต็ดถูกบอมบ์ก่อนหน้าก็เกือบเสียไปแล้ว แต่มาโดนเอาจังหวะที่สี่เมื่อเอวร่าหมดแรงข้าวต้มโหม่งบอลย้อยมาให้ร็อบบี้ เบล็ค วอลเลย์แบบโล่งๆ..

น่าผิดหวังจริงๆที่ทีมระดับแชมป์ลีกสูงสุดแต่กลับผิดพลาดในการคุมคนเช่นนี้..

คงจะโทษใครไม่ได้นอกจากไมเคิ่ล คาร์ริค เพราะยืนเท้าตายตาละห้อยไม่ยอมเข้าไปสร้างความกดดันให้กับเบล็คเลยซักนิดเดียว.. ในขณะที่บราวน์ , อีแวนส์ และเอวร่าจนปัญญาเพราะต่างก็มีตัวประกบเป็นของตัวเอง..

สาบานได้ครับท่านผู้อ่านว่าวินาทีนั้น ผมยังคิดว่ายูไนเต็ดจะกลับมาได้.. แม้กระทั่งลูกจุดโทษที่ได้ ผมก็มั่นใจว่าคารร์ริคจะยิงเข้า.. แต่สุดท้ายก็ไม่..

ใช่ครับ.. อยู่เฉยๆไม่ได้แล้ว..

ตอนนี้มันถึงเวลาจะต้องโฟกัสไปที่เกมรุกแล้ว.. เพราะพวกเขาตามหลังอยู่..

หากเอื้อมมือไปสะกิดถามเชลซี , ลิเวอร์พูล หรืออาร์เซน่อลว่าจะเจาะเบิร์นลี่ย์ให้เข้าได้ยังไง.. ทั้งสามทีมคงยักไหล่.. แต่ยูไนเต็ดในเกมเมื่อคืนไม่ได้สร้างจังหวะอะไรที่ระแคะระคายเบิร์นลี่ย์เลย..

ไม่ได้พับสนามบุก.. ไม่ได้ครองเกม.. ไม่ได้สร้างโอกาสสวยๆ.. และไม่ได้กดดันไบรอัน แยนเซ่นด้วยลูกยิงแบบจังๆซักครั้ง..

เป็นบทเรียนของเฟอร์กี้อีกครั้งในการ ลองของ เพราะอยู่ดีไม่ว่าดีจับอันแดร์สัน ที่ทะลุทะลวงตรงกลางไปเล่นเป็นปีกซ้าย.. แล้วใช้ไรอัน กิ๊กส์ที่เริ่มโรยรา และไมเคิ่ล คาร์ริคที่เล่นบอลอ่อนช้อยนางรำเป็นกองกลางสองคน..

ท่ามกลางผู้เล่นเบิร์นลี่ย์ที่เข้าประกบเร็วตลอด.. แถมยังวางแผนคุมโซนมาดีด้วยการตั้งรับซ้อนถึง 3 ชั้น !!

เมื่อยูไนเต็ดได้บอลในแดนกลาง.. จะถูกแข้งเดอะ คลาเรตส์ เข้าถึงตัวอย่างรวดเร็ว พอเสี่ยงจ่ายทะลุช่องไปก็จะโดน ด่านที่สอง คือมิดฟิลด์ตัวรับที่ยืนหน้ากองหลัง.. คอยสกรีนบอลอยู่..

จะเลือกเจาะด้านข้างก็ยาก.. เพราะวันนี้เฟอร์กี้ดันจิ้มชื่อไปที่อันแดร์สันในตำแหน่งปีกซ้าย.. เมื่อมิดฟิลด์แซมบ้าได้บอลก็ทำได้แค่โยนไปตรงกลางซึ่งก็จะโดน ด่านที่สาม อย่างพวกเซ็นเตอร์เคลียร์ทิ้งไปได้หมด..

พอย้ายไปด้านขวา.. พาร์ค ชี ซองที่อยู่ในช่วงโสมรสฝืดก็ไม่สามารถผ่านแบ็กซ้ายของเบิร์นลี่ย์เข้าไปโยนได้เลยซักครั้ง.. พอหาจังหวะโยนไปได้รูนี่ย์กับโอเว่นก็เข้าหาบอลได้ยาก เพราะมีปัญหาเรื่องความสูง.. บอลเสร็จอังเดร บิเคย์ กองหลังตัวใหม่ป้ายแดงที่ปัดกวางแดนหลังได้หมด..

พูดง่ายๆก็คือ จนปัญญาตั้งแต่ครึ่งแรก แล้วยิ่งเปิดไปดูอีกช่องที่แอนฟิลด์ อารมณ์หมดอาลัยตายอยากยิ่งกระหน่ำซัด.. เพราะเกล็น จอห์นสันเพิ่งยิงประตูที่สองให้กับลิเวอร์พูล..

ในขณะที่ หงส์แดง เพลิดเพลินอยู่ในสวนสนุกแห่งสโต๊ค แต่ยูไนเต็ดกลับหาทางออกจากเขาวงกตอันน่าเบื่อของตัวเองไม่ได้.. เพียงแค่จะทวงประตูตีเสมอจากทีม เต็งบ๊วย ยังยาก..

เกมในครึ่งหลังก็ยังไม่ดีขึ้น.. การแก้เกมในเมนหลักคือการเปลี่ยนอันโต วาเลนเซียลงมาประจำการทางด้านขวาแทนอันแดร์สัน.. โยกพาร์คมาอยู่ฝั่งซ้ายแทน..

แต่ก็ไร้ผล.. พาร์คยังคงตายสนิทแม้จะเปลี่ยนฝั่ง.. ในขณะที่วาเลนเซียก็โดนเข้าทีสองสามคนสุดท้ายทำอะไรไม่ได้นอกจากโยนติดออกหลังเรียกเตะมุม หรือไม่ก็ถ่ายบอลคืนไป-มา..

นาฬิกาก็เดินไปตามหน้าที่ของมัน.. พอเวลาเริ่มน้อยลงก็คงเป็นคิวของดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ ที่ต้องลงมาแทนไมเคิ่ล โอเว่นตามแท็กติก..

เห็นได้ชัดว่าเกมนี้ เบบี้โกล์ ยังสลัดภาพฝันร้ายในพรีเมียร์ลีกกับนิวคาสเซิ่ลไม่ออก.. ยังไม่กล้าเข้าหาบอล.. จมูกไม่ไวเหมือนเดิม.. และไร้ความมั่นใจที่จะยิงประตู..

เหล่าแฟนผีคงทำได้แค่รอเวลากันต่อไป.. รอเวลาที่โอเว่นจะกลับมาโชว์พลังแห่งหมายเลข 7.. และรอเวลาที่เซนต์ไมเคิ่ล จะตื่นจากฝัน.. กลับมาเป็นคนเดิม..

ส่วนในเกมส์นี้ เมื่อเรี่ยวแรงหมดก็คงต้องส่งไม้ต่อ.. เบอร์บาตอฟลงมาเปลี่ยนแนวทางของเกมได้พอสมควร.. การทำชิ่งหาโอกาสจบสกอร์กับเวย์น รูนี่ย์มีให้เห็นประปราย แต่จังหวะสุดท้ายก็ทำกันไม่ผ่านไบรอัน แยนเซ่น..

ไรอัน กิ๊กส์ , เบอร์บาตอฟ มีโอกาสเข้าทะลุทะลวงไปคนละครั้ง แต่ประตูน้องใหม่รายนี้ก็ไวพอที่จะเข้าแย่งก่อนที่จะเป็นประตู.. ซึ่งเมื่อมองภาพรวมทั้งเกม ก็คงไม่แปลกที่เขาจะได้รับรางวัล แมน ออฟ เดอะ แมตช์..

จนเวลาเลยล่วงมาถึงวาระสุดท้ายของเกม.. ไพ่ใบสุดท้ายของยูไนเต็ดคือการเปลี่ยนแกรี่ เนวิลล์ ลงมาแทนเวส บราวน์ ด้วยเหตุผลแรก.. บราวน์ยังไม่สมบูรณ์.. และเหตุผลที่สอง.. คือใช้ลูกโยนของแกรี่ให้เป็นประโยชน์..

ในช่วงท้ายจะสังเกตว่าเกมรุกยูไนเต็ดจะเซทกันที่แกรี่.. บอลจากเท้าของกัปตันวัย 34 ปีถูกโยนเข้ามาแบบตายเอาดาบหน้า.. แต่สุดท้ายก็ไม่อาจพิชิตกองหลังของเบิร์นลี่ย์ที่ตั้งรับกันอย่างมีวินัยได้..

มองด้วยความละเหี่ย(อีกครั้ง) เมื่อพลิกกลับไปดูอีกคู่ สกอร์ขาดวิ่นที่ 4-0..

ลิเวอร์พูลหลุดพ้นจากความผิดหวัง.. พวกเขาเริ่มค้นพบตัวเอง.. ในขณะที่ยูไนเต็ดซังกะตาย.. แทบจะไม่มีความกระหายประตู.. เดินเกมรุกกันอย่างเอื่อยเฉื่อย.. ไร้แรงกระตุ้น..

เร้ด เดวิลส์ แพ้น้องใหม่อีกคราอย่างน่าขายหน้า.. แต่มองในแง่ดีมันคือการฉีกหน้ากากที่ดูสว่างสุกใสออกไป.. ให้เห็นเนื้อร้ายในทีมที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็ว..

ยูไนเต็ด ไม่สามารถเอาชนะทุกทีมได้อย่างง่ายๆอีกต่อไป.. พลังแห่งชัยชนะต้องกลับมา.. ความพ่ายแพ้นัดนี้จะนำมากระตุ้นทีมให้ฮึดกลับมาสู้อีกครั้งก็ย่อมได้..

เมื่อมาพิจารณาในเรื่องผู้เล่น.. ตัวทีเด็ดมีน้อยไป.. โอเว่นไม่ใช่คนที่จะพลิกเกมได้ตลอด.. และแฟนบอลก็ไม่สามารถเรียกร้องประตูจากเบอร์บาตอฟได้ทุกครั้งที่ต้องการ.. ในขณะที่เวย์น รูนี่ย์ก็ต้องระวังความกดดันทับตัว..

กองกลางก็ยังคงขาดศูนย์รวม.. มีตัวคายบอลอย่างคาร์ริค และอันแดร์สัน , มีตัวเก็บกวาดอย่างดาร์เรน เฟล็ตเชอร์เพียงคนเดียว.. แต่ไม่มีมิดฟิลด์ตัวรับธรรมชาติที่จะเล่นแทนโอเว่น ฮาร์กรีฟส์..

ช่องโหว่นี้ใครๆก็มองเห็น.. มันคือทางเลือกของเฟอร์กี้ ที่จะเดินเข้าสู่ตลาดอีกครั้ง หรือถ้าไม่.. ก็ต้องหาวิธีจูนเครื่องเท่าที่มีให้ติดให้ได้..

เพราะเมื่อเหลือบไปดูตาราง.. อาร์เซน่อลเริ่มต้นอย่างน่าสะพรึง.. สิงห์เชลซีที่แข็งแกร่งวิ่งไปข้างหน้าแล้ว.. ในขณะที่ลิเวอร์พูลกำลังกลับมา..

สามทีมผู้ท้าชิงมาแล้ว พวกเขาพร้อมเต็มที่..


แล้ว แชมป์เก่า มัวทำอะไรอยู่ครับ ???!!!!


เจี๊ยบ เคเอฟซี

ปล.ขอบคุณรูปภาพจากพี่เบน ฟรีคิกครับ


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์