สัมภาษณ์แกรี่ เนวิลล์ Part I : ทำไมผมถึงแขวนสตั๊ด

สัมภาษณ์แกรี่ เนวิลล์ Part I : ทำไมผมถึงแขวนสตั๊ด

หลังจากประกาศแขวนสตั๊ดไปเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ แกรี่ เนวิลล์ ก็ได้มาให้สัมภาษณ์ถึงสาเหตุการตัดสินใจแขวนสตั๊ดของเขากับ MUTV

คุณทำให้ทุกคนประหลาดใจกันมากกับการประกาศเลิกเล่นในครั้งนี้ คุณพอจะบอกเราได้มั๊ยว่าเหตุการณ์มันเป็นมายังไงคุณถึงได้ออกมาประกาศแขวนสตั๊ดในตอนนี้
มันไม่ใช่การตัดสินใจเพียงช่วงเวลาวันสองวันหรอกนะ มันเกิดขึ้นจากการรวบรวมหลายๆ เหตุการณ์ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมามานั่งคิด และจากการได้พูดคุยกับผู้จัดการทีมเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน แต่ผมก็ไม่ได้ด่วนตัดสินใจอะไรหรอกนะ ผมก็กลับบ้านไปคิดอีกเป็นอาทิตย์เลยถึงได้ข้อสรุป และผมก็รู้สึกว่านี่แหละคือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว และเวลาของผมก็หมดแล้ว เมื่อมันหมดเวลาของคุณแล้ว ยังไงมันก็คือหมดนั่นแหละ

คุณยังสามารถเล่นได้จนจบฤดูกาล แต่ทำไมคุณถึงเลิกเล่นเอากลางฤดูกาลแบบนี้ล่ะ
บางครั้งสัญชาตญาณของคุณเองก็บอกว่ามันหมดเวลาของคุณแล้ว ซึ่งผมก็เป็นแบบนั้น หลังจากการได้พูดคุยกับผู้จัดการทีมมันก็เป็นไปได้ว่าผมสามารถลงเล่นจนจบฤดูกาล แต่ความสามารถของผมมันไม่เหมือนตลอด 19 -20 ปีที่ผ่านมาแล้ว ผมอาจได้ลงเล่นกับนักเตะอายุน้อยหลายๆ คนแต่นั่นก็จะถึงแค่จบฤดูกาลนี้เท่านั้น ผมได้ลงเล่นนัดสุดท้ายในเกมกับเวสต์ บรอม และหลังเกมผมก็ได้บทสรุปค่อนข้างเร็วทีเดียว เพราะตลอดการลงสนามผมรู้สึกไม่ถูกที่ถูกทาง และก็คิดว่าเวลาของผมมาถึงแล้ว ดังนั้นผมก็ไม่อยากจะยื้อไปอีก 4 เดือน ในความคิดของผม ผมแค่รู้สึกว่ามันไม่ใช่ทางที่เหมาะสมสำหรับผมอีกแล้ว และผมก็รู้ว่าผู้จัดการทีม และสโมสรเองก็รู้สึกแบบนี้เช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงยอมรับในการตัดสินใจของผม

งั้นก็หมายความว่าคุณตัดสินใจหลังเกมกับเวสต์ บรอม ในวันปีใหม่นี้น่ะเหรอ
มันไม่ใช่หลังเกมหรอกนะ แต่เป็นในระหว่างลงสนามเลยล่ะ (หัวเราะ) แต่จริงๆ แล้วผมคิดไว้ก่อนหน้านั้นเป็นเดือนแล้วล่ะ มันไม่ใช่ว่าคุณจะยอมแพ้เพียงเพราะการเจอเกมแย่ๆ แค่ 1 เกมหรอก ผมรู้สึกว่าผมพอแล้วกับเวลา 20 ปี สิ่งที่ผมรู้สึกในช่วงต้นฤดูกาลหลังจากที่ได้รับบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ น่ะ คือการกลับมาลงสนามให้ได้อีกครั้ง ซึ่งนั่นคือจิตวิทยาที่เกิดขึ้นในสโมสรอยู่เสมอ แต่คุณก็รู้สึกด้วยตัวคุณเองว่าคุณไม่สามารถไปต่อได้อีกแล้ว และเวลานี้ของผมมาถึงแล้ว ตลอด 2 ฤดูกาลที่ผ่านมา ผมได้ลงเล่น 25 - 30 เกมต่อฤดูกาล มีหลายเกมที่ผมรู้สึกมีส่วนร่วมในทีม แต่เมื่อใดที่คุณไม่มีส่วนร่วมในทีมแล้ว ผมก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ และผมไม่อยากเป็นเพียงผู้โดยสารของทีม

บางทีคุณอาจจะต้องการได้ขึ้นไปชูถ้วยแชมป์ในตอนท้ายฤดูกาล หรือว่าตอนนี้มันไม่สลักสำคัญอะไรแล้ว
มันไม่ใช่ว่ามันไม่สำคัญหรอกนะ แต่นี่คือชีวิตจริง ซึ่งบางครั้งมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างที่คุณต้องการ แน่นอนว่าในโลกแห่งความฝัน ผมอาจเป็นคนที่เดินไปชูถ้วยแชมป์ แต่ยังไงมันก็เป็นจริงไปไม่ได้หรอก บางอย่างในชีวิตที่คุณไม่ต้องการให้เกิดบางครั้งมันก็เกิดขึ้นกับคุณ และเวลาของผมก็มาถึงแล้ว เพียงแต่คุณจะไปมองย้อนกลับ แล้วมานึกเสียใจไม่ได้หรอก อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด

คุณปรึกษาใครเมื่อคุณตัดสินใจเรื่องนี้
ผมไม่ได้ปรึกษาใคร ผมตัดสินใจของผมเอง ผมบอกพ่อ แม่ และภรรยาของผมถึงการตัดสินใจของผม พวกเขาก็ไม่ได้บอกให้ผมเปลี่ยนใจหรอกนะ พวกเขารู้ดีว่าผมคิดอย่างไร บางครั้งเมื่ออาการบาดเจ็บมันรุมเร้าคุณมากๆ พวกเขาก็รู้ว่าคุณรู้สึกอย่างไร ผมไม่เชิงปรึกษาใครหรอกนะ เพียงแต่พูดให้หลายๆ คนฟังเท่านั้นแหละ และพวกเขาทุกคนก็รู้จักผมดี และยอมรับการตัดสินใจนี้ พวกเขาอาจจะผิดหวังบ้าง แต่ก็นี่แหละชีวิต

ผู้จัดการทีมพูดอะไรกับคุณบ้าง 
เขาก็โอเคนะ ที่จริงแล้วเขาบอกผมว่าให้กลับไปคิดให้ดีมันไม่ใช่การตัดสินใจอะไรง่ายๆ เขาช่วยเหลือผมมาก และมีคำแนะนำดีๆ ให้อยู่เสมอ แต่อย่างไรก็แล้วแต่เวลามันก็มาถึงแล้ว นักเตะที่ดีกว่าผมหลายๆ คนก็ลาออกมาแล้ว ดังนั้นมันไม่ใช่จุดจบของโลกหรอก แม้มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผมแต่สิ่งสำคัญกว่าก็คือทีม ซึ่งตอนนี้เรามีแต้มนำอยู่ 5 แต้มแล้ว และหวังว่าเราจะคว้าแชมป์ลีกได้ในปีนี้

คุณได้พูดคุยกับเพื่อนร่วมทีมบ้างมั๊ย 
ผมได้คุยกับพอล (สโคลส์) และ ไรอัน (กิ๊กส์) บางทีพวกเขาอาจจะรู้ก่อนหน้านี้แล้วล่ะ เราเล่นฟุตบอลด้วยกันมา 25 ปีแล้ว และผมก็รู้จักสโคลซี่ตั้งแต่อายุได้ 12 ปี และรู้สึกกิ๊กซี่ตั้งแต่อายุ 14 ดังนั้น ผมจึงพูดคุยกับพวกเขา แต่พวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่ต่างจากผมโดยสิ้นเชิง พวกเขาเป็นนักฟุตบอลที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง และยังมีฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยม ผมหวังว่าจะได้เห็นพวกเขาเล่นได้อีกหลายปีเลยล่ะ

คุณต้องเดินทางมาที่แมนฯ ยูไนเต็ด ทุกวันตลอด 20 ปีมานี้เพื่อมาซ้อมหรือลงเล่น แล้วตั้งแต่นี้ไปชีวิตคุณจะเปลี่ยนไปทันที คุณคิดว่าจะรับมือกับมันยังไง
ใช่ แต่มันก็ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงกระทันหันหรอกนะ กับสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา คุณก็เริ่มยอมรับแล้วว่าช่วงบั้นปลายอาชีพมันมาถึงแล้ว ผมเกือบเลิกเล่นตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว แต่ก็ยังเล่นให้สโมสรมาอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง เดวิด กิลล์ และผู้จัดการทีมโทรหาผมตอนนั้น และขอให้ผมเล่นต่ออีกปีนึง เป็นคุณก็ปฏิเสธไม่ได้หรอก ผมจึงคิดว่า ผมคือแกรี่ เนวิลล์นะ และผมจะเล่นให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั่นแหละคือสิ่งที่ผมต้องทำ ผมสนับสนุนสโมสรนี้มาทั้งชีวิต ในช่วงปิดฤดูกาลผมจึงฝึกซ้อมเพื่อเตรียมลงเล่นอีก 1 ฤดูกาล แต่แล้วผมก็ได้รับบาดเจ็บในเกมพรีซีซั่น ต้องพัก 4 สัปดาห์ ผมก็กลับมาฝึกซ้อมเพื่อเรียกความสมบูรณ์กลับคืนมา แต่ผมก็ได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้าอีก ที่เดิมที่เป็นปัญหาเมื่อ 4 ปีก่อน และนั่นแหละผมถึงคิดว่าพอแล้ว ผมควรเลิกเล่นได้แล้ว

สัมภาษณ์แกรี่ เนวิลล์ Part II : 20 ปีกับแมนฯ ยูไนเต็ด

ครั้งแรกที่คุณได้ร่วมทีมแมนฯ ยูไนเต็ด ทีมที่คุณเชียร์มาตั้งแต่เด็ก คุณเคยนึกฝันมั๊ยว่าคุณจะได้ลงเล่นให้ทีมนี้ถึง 600 นัดน่ะ
ไม่เลย ตอนที่ได้ร่วมทีมครั้งแรกผมคิดว่าแค่ได้ลงเล่น 10 เกมผมก็ดีใจแล้ว ถ้าตอนนั้นมีใครบอกผมว่าผมจะได้ลงเล่นให้แมนฯ ยูไนเต็ด 600 เกม ผมคงต้อบกลับไปว่า 'ไม่มีทางหรอก' และผมก็ไม่คิดว่าจะมีใครในสโมสรในตอนนั้นที่คิดว่าผมจะได้ลงเล่นมากขนาดนี้ ในตอนนั้นผมอยู่ท่ามกลางเด็กเก่งหลายๆ คนอย่างเบน ธอร์นลี่ย์, เดวิด เบ็คแฮม, พอล สโคลส์, ไรอัน กิ๊กส์, นิกกี้ บัตต์, คริส แคสเปอร์, คีธ กิลเลสพี และน้องชายผม พวกเขาทุกคนต่างก็มีพรสวรรค์อย่างมาก เมื่อผมมองไปรอบๆ ตัวแล้วก็คิดว่า ผมไม่แน่ใจว่าผมเก่งเท่าเขาเหล่านี้หรือเปล่า ผมรู้ว่าผมไม่เก่งเท่าพวกเขา แต่เราก็ได้เล่นด้วยกัน เรามีความเชื่อมั่น และเราต่างก็รักที่จะเล่นให้แมนฯ ยูไนเต็ด เราอยากลงเล่นให้ทีมมาก และก็ตั้งใจฟังสิ่งที่โค้ชสอนเรา

เรามีโค้ชที่ยอดเยี่ยมทั้งอีริค แฮร์ริสัน, น๊อบบี้ สไตล์ และไบรอัน คิดด์ เราติดค้างคำขอบคุณพวกเขามากเหลือเกิน พวกเขาแนะนำเรา และเราก็แค่ออกไปเล่นให้ได้อย่างที่พวกเขาสอน เราเชื่อในหลักเกณฑ์ต่างๆ ที่พวกเขาสอน หลังจากนั้นผู้จัดการทีมซึ่งอยู่มาก่อนผม 6 - 7 ปีก็มีเป้าหมายที่จะนำนักเตะอายุน้อยไปร่วมเล่นในทีม เขาให้โอกาสเรา คุณไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าหลายสิ่งหลายอย่างจะเข้ามาพอเหมาะพอเจาะแบบนี้ แต่มันก็มาถึงเรา และเมื่อคุณเข้าไปมีส่วนร่วมกับมัน คุณก็จะรักมัน มันเยี่ยมมาก คุณมีทั้งช่วงเวลาที่ขึ้น และลง แต่มันก็เป็นประสบการณ์ที่ดี สิ่งที่ผมได้รับมันเหลือเชื่อจริงๆ

สิ่งที่ดีที่สุดคือการได้ปฏิสัมพันธ์กับผู้คนที่นี่ เรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก หลายคนที่ทำงานที่ประเทศนี้แล้วไม่ค่อยมีความสุขกับงานของตัวเอง แต่ผมโชคดีเพราะผมรักทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ ที่ผมทำมาตลอด 20 ปี ผมแค่โชคดีจริงๆ ที่ได้อยู่ในจุดนี้

คุณคิดมั๊ยว่าทีมชุดปี 92 น่ะเป็นกลุ่มนักเตะที่ไม่เหมือนใคร
ถ้าตอนที่เราอายุ 16 - 17 น่ะไม่นะ แต่เมื่อเราอายุได้ 18 มันก็มี 2 - 3 อย่างที่บ่งบอกนะ อย่างที่ไบรอัน ร๊อบสัน ได้เขียนบทความบอกว่าเขาคงแปลกใจมากถ้าเขาไม่ได้กลายเป็นนักเตะระดับสุดยอด ที่นี่นายใหญ่ให้โอกาสเราลงเล่น มีชื่อในทีมชุดใหญ่ และได้ร่วมเดินทางไปเล่นในเกมยูโรเปี้ยนเพื่อให้เรามีประสบการณ์ อีริค แฮร์ริสันบอกเราว่าเมื่อเรามีโอกาสลงเล่นเราก็จะได้ความมั่นใจจากมัน ความมั่นใจที่สำคัญที่สุดมาจากการฝึกซ้อมร่วมกับทีมชุดใหญ่ และคุณรู้ว่าคุณสามารถไต่ระดับขึ้นไปได้เพราะคุณสามารถผ่านอุปสรรคต่างๆ ได้ แต่ตอนที่อายุ 17 น่ะเราไม่มีความคิดแบบนี้หรอก ตอนที่อายุได้ 18 และได้ลงเตะในเช้าวันเสาร์มีคนมาดูเราเตะถึง 1,500 คน นอกจากนี้พวกเขาทีมชุดใหญ่ก็มานั่งดูเล่นเราด้วย ตอนนั้นผมคิดว่า มันต้องมีอะไรดีๆ ที่นี่แน่นอน และเราก็เล่นได้ดีมากจริงๆ ถ้าคุณได้ติดตามดูทั้งทีมชาติ และฟอร์มการลงสนามของทีมเยาวชนในยุคนั้นคุณจะรู้เลยว่าผู้คนจะพูดถึงแต่ร๊อบบี้ ซาเวจ เขาเป็นคนที่ควรได้รับการยกย่องจริงๆ และก็เนื่องจากการฝึกซ้อมตั้งแต่ทีมเยาวชนนี่แหละที่ทำให้เขายังเล่นได้จนถึง 35 หรือ 36 รวมทั้งคีธ กิลเลสพี ด้วยนะ

คุณมีความรู้สึกเหมือนเป็นจุดสิ้นสุดของยุคทำนองนี้หรือเปล่า 
ผมไม่รู้ว่ามันรู้สึกเหมือนเป็นจุดสิ้นสุดของยุคหรือเปล่านะ คุณแค่คิดว่ายุคใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เมื่อเดนนิส (เออร์วิน) และรอย (คีน) ออกไปจากทีม มันก็รู้สึกเหมือนเป็นจุดสิ้นสุดของยุค แต่จากนั้นก็มีผม, กิ๊กซี่, สโคลซี่ และเอ็ดวิน ขึ้นมาเป็นกลุ่มใหม่ แต่ตอนนี้หลังจากเราก็เป็นเนมานย่า วิดิช, ริโอ เฟอร์ดินานด์, ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์, ไมเคิล คาร์ริค, จอห์น โอเชีย และเวย์น รูนี่ย์ ซึ่งพวกเขาก็ขึ้นมาในยุคนี้ ซึ่งดูเหมือนว่าสายพานลำเลียงนักเตะของเราไม่เคยหยุดทำงานเลย ผู้จัดการทีมจะสร้างนักเตะที่มีความหลากหลายทั้งวัย และประสบการณ์ ตั้งแต่เด็กอายุ 17 ไปจนถึงนักเตะมากประสบการณ์ที่อายุ 37 และเมื่อนักเตะอายุมากลาออกจากทีม สายพานก็จะลำเลียงนักเตะในรุ่นต่อๆ ไปขึ้นมาแทนที่ และพวกเขาก็จะกลายเป็นนักเตะที่มีประสบการณ์ต่อไป

ตอนที่รอยออกไป คุณก็คิดว่าคงไม่สามารถหานักเตะแบบเขาได้อีกแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันก็ต่างออกไป คุณไม่สามารถหาใครที่เหมือนกันทั้งหมดมาแทนที่คนๆ หนึ่งได้หรอก มันก็เหมือนกันเมื่อสโคลส์ และกิ๊กส์ออกไป แม้ผมจะไม่รู้เลยจริงๆ ว่าจะหาใครมาแทนที่ 2 คนนี้ได้ มันเป็นเรื่องยากจริงๆ พวกเขาพิเศษมากๆ รวมถึงผู้จัดการทีมของเราด้วย แต่สโมสรก็ต้องเดินหน้าต่อไป มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีต นักเตะคนอื่นๆ ก็จะขึ้นมาแทนที่พวกที่จากไป และพวกเขาต้องทำให้ได้เพื่อให้สโมสรประสบความสำเร็จ

คุณพอจะจำนัดแรกที่คุณลงเล่นในเกมที่พบกับ Torpedo Moscow ในปี 1992 ได้มั๊ย
ผมจำได้นิดหน่อยนะ ผมได้ลงเล่นแค่ 3 นาทีเอง และแทบไม่ได้จับบอลเลย ผมคิดว่าผมได้ทุ่มบอลครั้งนึงนะ มันเป็นช่วงเวลาพิเศษสำหรับผมที่ได้ลงเล่นนัดแรก และอาจเป็นช่วงเวลาพิเศษที่สุดของผมในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เลยก็ว่าได้ เพราะการเล่นให้แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นความฝันของผม ดังนั้นการได้ลงเล่นแม้จะแค่ 3 นาทีมันก็สำคัญสำหรับผมนะ อาจถือว่าเป็นสิ่งยอดเยี่ยมที่สุดที่ผมได้รับเลยล่ะ เพราะเมื่อคุณได้ลงสนามไปแล้ว แน่นอนว่าคุณย่อมไม่อยากให้ช่วงเวลาแบบนี้หลุดลอยไป มันทำให้คุณรู้สึกดี อะดรีนาลีนพุ่งพล่านแบบที่ไม่มีที่ไหนให้คุณได้อีกแล้ว

จากได้คว้าแชมป์มามากมาย มีช่วงเวลาไหนที่คุณชื่นชอบเป็นพิเศษไหม
ที่เห็นได้ชัดที่สุดคงเป็นช่วงท้ายเกมที่บาร์เซโลน่าในปีที่เราได้ 3 แชมป์นั่นแหละ มันไม่มีคำบรรยายเลยจริงๆ คุณไม่สามารถสรรหาคำพูดได้มาบรรยายความรู้สึกที่มีในวันนั้นได้เลย เพราะมันไม่สามารถบอกเล่าได้ด้วยคำพูดสั้นๆ หรือเหตุการณ์ในชั่วขณะ มันเป็นความรู้สึกที่สุดยอดมาก และเป็นความสุดยอดที่เหลือเชื่อจริงๆ เราไม่ได้แชมป์ลีกมา 3 ปี แล้วเราก็มาได้อีกทีในปี 2006/07 คืนที่เราได้แชมป์ การได้ออกไปฉลองกับเพื่อนๆ ค่ำคืนเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิต ไม่มีอะไรจะมาแทนที่ได้เลย

นักฟุตบอลอย่างไรอัน กิ๊กส์ เคยบอกว่าความผิดหวังช่วยขับเคลื่อนเขาให้ก้าวไปข้างหน้ามากกว่าความสำเร็จเสียอีก แล้วคุณล่ะรู้สึกแบบนี้มั๊ย
ความผิดหวังมักจะเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทั้งที่วาสโก เดอ กาม่าในปี 2000 ที่สนามเมนโรดในปี 2002 และที่ลีดส์เมื่อปีที่แล้ว มันเป็นหายนะจริงๆ ช่วงเวลาเหล่านั้นมักจะชัดเจนในความทรงจำของคุณ แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำ คุณคงไม่ได้อยู่กับแมนฯ ยูไนเต็ด หรอกหากคุณไม่เคยเจอความผิดหวังที่แท้จริง นั่นแหละคือสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งกับโมนาโก, ดอร์ทมุนด์, เลเวอร์คูเซ่น ทุกเหตุการณ์มันจะเป็นสิ่งที่คุณจดจำไปอีกนาน แต่ความจริงก็คือมีเพียงทีมเดียวเท่านั้นที่จะเป็นแชมป์ในแต่ละรายการ ความตื่นเต้น และจุดผลิกผันมันก็เกิดขึ้นเสมอในการเดินทางตลอด 20 ปีของผม มันก็เหมือนกับการแต่งงานนั่นแหละ!

สัมภาษณ์แกรี่ เนวิลล์ Part III : อิทธิพลของเซอร์ อเล็กซ์

คุณอยากจะพูดอะไรถึงเซอร์ อเล็กซ์ และอิทธิพลของเขาต่อทีมบ้าง

เขาถือเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลที่ดีที่สุดที่ผมเคยเจอเลยล่ะ สำหรับผมแล้วการได้เล่นภายใต้การคุมทีมของเขาเป็นระยะเวลานานขนาดนี้ถือเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก เขาให้โอกาสผมเสมอ เขามักจะบอกว่าเขาจะให้โอกาสผมถ้าผมดีพอ เขามักจะให้โอกาสนักเตะทุกคน ผมติดค้างเขาในทุกๆ เรื่องเลย เขาสานต่องานที่แมตต์ บัสบี้ทำไว้เมื่อ 50 ปีที่แล้ว คือการให้โอกาสนักเตะอายุน้อย นักเตะท้องถิ่นที่รักในสโมสร และนักเตะตัวหลักของทีมมาร่วมเล่นให้กับสโมสร เขาสามารถสร้างให้เป็นไปอย่างที่เขาต้องได้ คุณไม่สามารถแทนที่นักเตะท้องถิ่นได้ แต่คุณก็มีทักษะอื่นที่ทีมต้องการ ดังนั้น นักเตะต่างชาติก็มาเป็นส่วนเติมเต็มในสโมสร 

ตลอด 20 ปีมานี้ คุณพอจะบอกได้ไหมว่าทีมชุดไหนที่ดีที่สุด
คงต้องเป็นทีมชุด 1994 ล่ะ ทั้งพลกำลัง ความแข็งแกร่ง และร่างกายของทีมชุดนั้นยอดเยี่ยมมาก นอกจากนี้ทีมชุด 1999 และ 2006/07 ก็ยอดเยี่ยมนะ ทีมที่มีทั้งโรนัลโด้ และรูนี่ย์ รวมถึงวิดิช และเอฟร่า ที่ต่างก็มีฟอร์มที่คงที่มากขึ้น มันถือเป็นช่วงเวลาที่พิเศษตลอด 6 - 8 เดือนนั้นเลยล่ะ ผมได้รับบาดเจ็บในช่วงท้ายฤดูกาล แต่ผมก็คิดว่าเรายอดเยี่ยมมาก และผมก็ไม่แปลกใจเลยที่เราได้แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ แต่ถ้าพูดจริงๆ แล้วทีมที่ดีที่สุดก็คงต้องเป็นชุดปี 1999 ล่ะ

คุณพูดถึงการบาดเจ็บในปี 2007 ในเกมกับโบลตัน ในตอนนั้นคุณต้องพักนานทีเดียว นั่นคือจุดเริ่มต้นของความคิดจะเลิกเล่นหรือเปล่า
คุณจะบอกว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นก็ได้นะ ตอนนั้นผมจับบอลได้ไม่ดี และแกรี่ สปีดก็เข้ามาสกัดบอล ซึ่งถ้าผมอยู่ในจุดเดียวกับเขาผมก็คงทำแบบนั้นแหละ หลังจากนั้นผมก็ได้รับบาดเจ็บลงสนามไม่ได้ 12 เดือน ข้อเท้าของผมต้องใช้เวลา 5 - 6 เดือนให้หายกลับมา แต่หลังจากนั้นผมก็มาเจ็บซ้ำอีก ฟุตบอลในยุคนี้ก้าวหน้าไปเร็วมาก จากนั้นก็เป็นยุคที่โรนัลโด้, รูนี่ย์ และนักเตะอย่างราฟาเอล ก้าวขึ้นมา และทีมก็ก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง เมื่อคุณกลับมาคุณก็ต้องพยายามทำตัวให้คุ้นเคยกับทีมอีกครั้ง จากนั้นในอีก 2 ฤดูกาลผมก็คิดว่าจะได้เล่นปีละ 25 - 30 เกม แต่คุณก็ไม่ได้ลงเล่นมากแบบนั้น เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับนักเตะอายุมากคนอื่นๆ ด้วย การได้ลงเล่นอย่างสม่ำเสมอในแนวรับทำให้เรามีความมั่นใจมากขึ้น และเรียกความฟิตได้ด้วย แต่ผมกลับได้รับบาดเจ็บแบบโง่ๆ ซึ่งทำให้ผมต้องพักอีก 3 - 4 สัปดาห์ มันจึงเหมือนเป็นจุดเริ่มต้นของการยุติอาชีพนักฟุตบอลของผม แม้ว่าผมจะมีความสุขมากในฤดูกาลที่แล้ว และก่อนหน้านั้นก็ตาม

คุณได้เล่นร่วมกับนักเตะที่ยอดเยี่ยมหลายคน พอจะบอกได้มั๊ยว่าคือนักเตะที่ดีที่สุดที่คุณเคยเล่นด้วย
มันยากที่จะบอกนะ ยังไงตอนนี้ก็มี 2 คนที่ยังเล่นอยู่ก็คือกิ๊กซี่ และสโคลซี่ คุณจะตัดสินพวกเขาทั้งสองคนได้อย่างไรล่ะ แต่ถ้าพูดถึงนักเตะที่สามารถจูงใจผู้เล่นคนอื่นๆ ได้ดีที่สุดก็ต้องเป็นรอย คีน และไบรอัน ร็อบสัน ส่วนฟอร์มการเล่นของโรนัลโด้ก็ยอดเยี่ยมมากเช่นกัน อีริค คันโตน่า ในปีที่เราได้ดับเบิ้ลแชมป์ และฟอร์มของเขาหลังจากกลับมาจากโทษแบนนั่นน่ะ เขาทำได้ 6 - 7 ประตูติดต่อกันเลยนะ นอกจากนี้ก็ยังมีปีเตอร์ ชไมเคิ่ล ที่ก็ยอดเยี่ยมมาก มันยากนะที่จะให้ผมเลือกมาแค่คนเดียวน่ะ นอกจากนี้ยังมีใครอีกล่ะที่ผมไม่ได้พูดถึงน่ะอย่างพัลลี่, ย๊าป สตัม, เบ็คส์ และคนอื่นๆ อีกมากมาย ผมถือว่าผมโชคดีมากที่ได้เล่นกับนักเตะที่ยอดเยี่ยมมากมาย

อนาคตของคุณจะเป็นอย่างไรต่อไป
ในอนาคตอันใกล้นี้ผมยังจะไปที่แมนฯ ยูไนเต็ด อยู่เพื่อช่วยงานโค้ช ผมยังมีงานต้องทำอีกหลายอย่างเพื่อให้ได้ตราโค้ช ตอนนี้ผมยังไม่คิดถึงการเป็นโค้ชหรือผู้จัดการทีมจริงๆ จังๆ หรอกนะ เพียงแต่ 20 ปีมานี้ผมอยู่กับสโมสรเสมอ ผมจึงต้องการรักษาสัมพันธภาพที่มีต่อสโมสรไว้ แม้จะแค่ในฐานะแฟนบอลคนหนึ่งก็เถอะ ผมอาจไม่ทำงานประจำเป็นโค้ช ผมต้องการเวลา 12 เดือนเพื่อจัดสรรตัวเอง ผมไม่อยากเร่งรีบอะไรนักหรอก ผมอยากใช้ชีวิตสบายๆ และพักผ่อนบ้าง แม้ว่าผมจะไม่ใช่คนประเภทที่ชอบพักผ่อนมากนักนะ แต่อย่างไรก็แล้วแต่ ผมยังต้องการอยู่กับสโมสร แมนฯ ยูไนเต็ดให้ทุกอย่างที่ผมมีในชีวิตนี้

คุณอยากให้แฟนแมนฯ ยูไนเต็ด จดจำคุณแบบไหน
ท่าดีใจฉลองประตูที่เรายิงลิเวอร์พูลได้คงเป็นสิ่งหนึ่งที่ทุกคนนึกถึงเวลาคิดถึงผมนะ แต่การเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ประสบความสำเร็จนั่นก็เพียงพอแล้ว การที่ผมทุ่มเทให้ทีมแค่ไหนนั้นก็แล้วแต่คนจะคิด แต่การที่ผมได้เป็นส่วนหนึ่งของทีม และได้คว้าแชมป์กับทีมเป็นสิ่งที่ผมหวังไว้ตั้งแต่เด็ก สาเหตุที่คุณเข้ามาสู่ฟุตบอลอย่างแรกเลยก็คือต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่คุณประทับใจ สำหรับผมมันคือแมนฯ ยูไนเต็ด เหตุผลที่ 2 คือคุณรักที่จะเล่นฟุตบอล และหลังจากนั้นเมื่อคุณได้เลื่อนระดับขึ้นไปเล่นในทีมชุดใหญ่ เป้าหมายต่อมาของคุณก็คือการคว้าแชมป์ แต่สิ่งที่ผมอยากให้ทุกคนจดจำผมก็คือ ผมเป็นส่วนหนึ่งของทีมนี้ ทีมฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จทีมหนึ่ง

ท่าดีใจกับประตูในเกมกับลิเวอร์พูลน่ะดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่แฟนๆ จดจำได้ดีเลยนะ
หลายคนบอกว่ามันเป็นการกระทำแบบไม่ได้คิด แต่ผมว่าไม่ใช่นะ มันเป็นการกระทำโดยสัญชาตญาณต่างหาก แต่เกมที่ดีที่สุดสำหรับผมน่าจะเป็นเกมเอฟเอ คัพรอบรองชนะเลิศกับอาร์เซน่อลในปี 1999 นะ เพราะผมถือว่ามันเป็นนัดสุดท้ายที่เราจะเรียกได้ว่าเป็นฟุตบอลในยุคเก่า เป็นเกมที่แข่งตอนกลางคืน เป็นการแข่งนัดรีเพลย์และอะไรก็เกิดขึ้นได้ หลังเกมแฟนๆ ลงมาในสนาม และจับนักเตะโยนขึ้นไป สำหรับผมแล้วถือว่าเป็นแมตช์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตเลยล่ะ อาจนับได้ว่าเป็นเกมฟุตบอลจริงๆ เกมสุดท้ายที่ผมเล่น แต่ตอนนี้เนื่องจากการรักษาความปลอดภัยที่มากขึ้น ทำให้มันยากที่จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้

สำหรับผม เมื่อแมนฯ ยูไนเต็ดทำประตูได้ คุณก็ย่อมฉลองประตูที่ได้ ถ้าคุณเป็นแฟน คุณก็ฉลอง หรือคุณเป็นนักเตะคุณก็ฉลอง ถ้าเราไม่ฉลองประตูผู้จัดการทีมคงโกรธเราแน่ๆ แต่อย่าเข้าใจผิดนะ เขาไม่ใช่คนที่บอกให้ผมได้ฉลองประตูหน้ากองเชียร์ลิเวอร์พูลหรอก แต่มันเป็นสัญชาตญาณน่ะ พอทีมเราทำประตูได้ผมก็ฉลองแค่นั้นแหละ



เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์