รำลึก ถึงตำนาน เบอร์ 7

ถือเป็นความโศกเศร้าอย่างยิ่งสำหรับข่าวการเสียชีวิตของเทพบุตรมหาภัย จอร์จ เบสต์ ด้วยอายุ 59 ปี

อัจฉริยะลูกหนังที่ถือกำเนิดในกรุงเบลฟาสต์ เป็นหนึ่งในสุดยอดนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกจะได้พบอย่างไม่มีข้อกังขา และในความคิดเห็นของหลายๆ คนเขาคือสุดยอดนักเตะที่ดีที่สุดตัวจริง




แม้กระทั่งเปเล่ ผู้ที่มีชื่อเสียงเพียงคนเดียวในด้านฟุตบอลที่ดีพอที่จะมาท้าชิงกับเบสต์ ได้ก็กล่าวเช่นกันว่า เขาคิดว่าไม่มีใครจะมาเปรียบเทียบกับจอร์จ ได้อีกแล้วในประวัติศาสตร์ฟุตบอล คำสรรเสริญที่สูงส่งกว่านี้คงไม่มีอีกแล้ว

คงไม่มีใครที่จะปฏิเสธว่าตลอดอาชีพค้าแข้ง เขามีพรสวรรค์โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ที่ประกอบไปด้วยความยิ่งใหญ่ตั้งแต่เริ่มต้นอาชีพเลยทีเดียว บางคนอาจจะบอกว่าสแตนลี่ย์ แมทธิวส์ เป็นนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ในขณะที่คนอื่นๆ อาจจะพูดถึงทอม ฟินนี่ย์ หรือดิเอโก้ มาราโดน่า ก็อาจจะได้รับเลือก รวมทั้งยอดนักเตะอย่างโยฮัน ครัฟฟ์ และอัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ ก็น่าจะถูกกล่าวถึงในการสนทนา มันเป็นเรื่องที่พูดยากอยู่แล้วในการเอานักเตะต่างยุคต่างสมัยมาเปรียบเทียบกัน แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจอร์จ เบสต์ จะต้องเป็นผู้ขโมยฉากเด็ดมาโชว์อย่างแน่นอน

เขาเป็นสิ่งที่พิเศษสุดในโลกของฟุตบอล เขาถูกกำหนดชะตาชีวิตให้มาเป็นยอดนักเตะคนแรกที่มีชื่อเสียงเป็นที่ชื่นชอบที่สุดอย่างแท้จริง แต่อาชีพอันรุ่งโรจน์ของเขาในเกมอันสวยงามก็เกือบจะไม่ได้อุบัติขึ้นแล้ว

เบสต์ เข้ามาสู่เมืองแมนเชสเตอร์ในฐานะนักเตะวัยรุ่นคนหนึ่งในปี 1961 โดยมาพร้อมกับเอริค แม็คมอร์ดี้ เพื่อนของเขาซึ่งไปลงเล่นให้กับมิดเดิ้ลสโบรซ์ แต่เขากลับเกรงกลัวชีวิตในเมืองใหญ่ที่เร่งรีบและวุ่นวายจนเขาถึงกับรีบจะลงเรือเพื่อกลับไปยังกรุงเบลฟาสต์ ทำให้เซอร์ แม็ตต์ บัสบี้ และจิมมี่ เมอร์ฟี่ คู่หูตำนานในการจัดการทีมของปิศาจแดง ต้องออกแรงชักจูงอย่างสุดฤทธิ์เพื่อที่จะดึงเขากลับไปที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด อีกครั้ง และก็ประสบความสำเร็จซะด้วย ซึ่งนั่นก็เป็นหนึ่งในการทำงานอันยอดเยี่ยมที่สุดของพวกเขาในช่วงการคุมทีมยุครุ่งเรืองที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

แรกเริ่มนั้นเบสต์ ถูกดึงเข้ามาสู่การเป็นยอดนักเตะโดยบ็อบ บิช็อป แมวมองในไอร์แลน์เหนือที่ได้รับการยอมรับอย่างมากของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แล้วเขาก็ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วไปสู่จุดสูงสุด เบสต์ ลงประเดิมสนามนัดแรกด้วยวัย 17 ปี ในเกมที่พบกับเวสต์ บรอมวิช อัลเบี้ยน ในเดือนกันยายน 1963 ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่กี่เดือน เขาเพิ่งจะช่วยให้ทีมเยาวชนปิศาจแดง คว้าแชมป์เอฟเอ ยูธ คัพ เป็นสมัยที่ 6 แฟนบอลในโอลด์ แทรฟฟอร์ด รับเอาเขาเป็นยอดนักเตะในดวงใจในทันที และเขาก็เป็นที่รักของแฟนบอลตลอดช่วง 10 ปี ต่อมา

สโมสรยังอยู่ในช่วงการสร้างทีมขึ้นมาใหม่หลังจากการสูญเสียแกนหลักของทีมที่ยิ่งใหญ่ของทศวรรษ 1950 ในเหตุการณ์โศกนาฏกรรมทางเครื่องบินที่เมืองมิวนิค และเบสต์ ก็ได้พิสูจน์ว่าเขาคือจิ๊กซอว์ชิ้นที่หายไปร่วมกับเพื่อนร่วมทีมที่ยิ่งใหญ่อย่างบ็อบบี้ ชาร์ลตัน, เดนิส ลอว์, แพ็ดดี้ ครีแรนด์, น็อบบี้ สไตลส์ และบิลล์ โฟลกส์

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกหลังจากเหตุการณ์ที่เมืองมิวนิคในปี 1965 และได้แชมป์ลีกอีกครั้งในอีก 2 ปีต่อมา และในปี 1968 ปิศาจแดง ก็คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ได้สำเร็จซึ่งเป็นแชมป์ที่สโมสรรอคอยมายาวนาน และเบสต์ ก็ทำได้ 1 ประตูในเกมนัดชิงชนะเลิศที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถล่มเบนฟิก้า ไปได้ 4-1 ต่อหน้าแฟนบอลที่ปลาบปลื้มจำนวน 100,000 คนในสนามเวมบลี่ย์ และในปี 1968 นี้เองที่เบสต์ กลายเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของยุโรป

มันเป็นช่วงเวลาแห่งเกียรติยศในประวัติศาสตร์ของสโมสรในเวลานั้น แต่นักเตะในทีมเริ่มมีอายุมากขึ้นและถึงเวลาผลัดใบเปลี่ยนแปลงทีมอีกครั้ง มันเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา และเบสต์ ต้องเป็นที่พึ่งพาของทีมมากขึ้นในการพยุงทีมให้ผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปให้ได้ เขาทำได้ดีกว่างานที่ได้รับมอบหมาย และในบางนัดเขาก็เอาชนะด้วยการลุยเดี่ยวเองซะเลย

เรื่องราวนอกสนามของเขากลายเป็นข่าวพาดหัวอยู่เสมอ และความเคลื่อนไหวทุกย่างก้าวของเขาถูกนำไปตีพิมพ์ลงบนหน้าหนังสือพิมพ์ มันกลายเป็นสิ่งที่มากเกินไปสำหรับเขาในบางโอกาส และมีมากกว่า 1 ครั้งที่เขาประกาศว่าจะขอลงเล่นเป็นนัดสุดท้ายให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อันเป็นที่รักของเขา มันเป็นช่วงเวลาสับสนวุ่นวายของสโมสร นอกจากจะต้องจัดการกับการเปลี่ยนแปลงทีมที่ยุ่งยากแล้วยอดนักเตะระดับโลกของทีมก็มีชื่ออยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ด้วยเหตุผลที่ผิดพลาดทั้งหมด

เขาและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ต้องแยกทางกันจนได้ในเดือนมกราคม 1974 หลังจากการประณีประนอมกันอีกครั้งที่จัดการโดยทอมมี่ ด็อคเคอร์ตี้ ผู้จัดการทีมในตอนนั้น ยอดนักเตะพรสวรรค์ชาวไอริชก็ไม่มีชื่ออยู่ในทีมที่จะลงเล่นพบกับพลีมัธ อาร์ไกล์ ในศึกเอฟเอ คัพ เบสต์ รู้ว่าถึงจุดสิ้นสุดแล้ว และเขาก็ออกจากโอลด์ แทรฟฟอร์ด ในวันอันแสนเศร้าของแฟนบอลปิศาจแดง อย่างไม่มีวันหวนกลับ อย่างน้อยก็ไม่กลับมาในฐานะนักฟุตบอล

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถูกปล้นเอานักเตะที่บางทีอาจจะเป็นยอดนักฟุตบอลพรสวรรค์สูงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมาในเวลานั้น เมื่อเขาน่าจะได้ขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของอาชีพที่พิเศษสุดของเขา ในตอนที่เขาลงเล่นเกมสุดท้ายให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั้นเขามีอายุ 27 ปี เท่านั้น

มันยังไม่ใช่การสิ้นสุดอาชีพค้าแข้งของเขา เพราะหลังจากนั้นเขาก็ได้ไปลงเล่นให้กับสโมสรอื่นอีกหลายแห่งรวมทั้งฟูแล่ม, สต็อคพอร์ต เคาน์ตี้ และฮิเบอร์เนี่ยน รวมทั้งการเป็นนักเตะช่วงสั้นๆ ที่น่าประทับใจในสหรัฐอเมริกา แต่ทว่าชีวิตส่วนตัวของเขาและการติดสุราเรื้อรังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เขาเข้าสู่ช่วงตกต่ำในท้ายที่สุด สุขภาพของเขาทรุดโทรมลงอย่างหนัก และเขาต้องตกอยู่ภายใต้ร่มเงาของการเป็นยอดนักเตะพรสวรรค์สูงที่หล่อเหลาก่อนหน้านี้

คนที่โชคดีพอที่ได้มีโอกาสเห็นเขาสวมชุดแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ลงเล่นจะมีความทรงจำที่เป็นพิเศษตลอดไปไม่มีวันเสื่อมสลาย เพราะการได้เห็นจอร์จ เบสต์ ครองลูกฟุตบอลด้วยเท้าของเขาเป็นภาพที่สูงส่งเกินกว่าแค่การเล่นกีฬาอย่างหนึ่งเท่านั้น แน่นอนว่าเขาคือยอดนักเตะที่มีพรสวรรค์สูงที่สุดเท่าที่จะมีได้ในกีฬาฟุตบอลอย่างไม่ต้องสงสัย และแม้ว่าหลังจากนั้นจะมีผู้ท้าชิงพยายามเลียนแบบทักษะที่ยอดเยี่ยมของเขาแต่ก็ไม่มีใครจะประสบความสำเร็จในสนามได้เท่ากับเขาอีกแล้ว

เบสต์ ติดทีมชาติไอร์แลนด์เหนือ 37 ครั้ง เขาลงเล่นให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทั้งหมด 466 นัด ทำได้ 178 ประตู รวมทั้งการทำ 6 ประตูในนัดเดียวในการพบกับนอร์ธแธมป์ตัน ทาวน์

การจากไปอย่างไม่มีวันกลับของเขาจะได้รับการแสดงความอาลัยในสถานที่ทุกแห่งที่มีการเล่นฟุตบอล และในหลายๆ แห่งที่ไม่ได้เล่นฟุตบอลก็ตาม

คงจะไม่ได้เห็นนักเตะพรสวรรค์แบบเขาอีกแล้ว


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์