บุปผาชน (1964-1970)

โหวต 0 คน














มกราคม 2007


(1)


เสียงกลองระรัวและเครื่องเคาะจังหวะกระหึ่มเร้า  สลับกับเสียง


พร่ำสวด ฮาเร กริชชานา  ฮาเร กริชชานา ทำให้ฉันรีบสาว


เท้าไปยังแหล่งเกิดของเสียง  เสียงรัวกลอง เสียงฉาบ ยิ่งดังขึ้น


ทุกขณะเมื่อเดินเข้าสู่ถนน Haight  ทันใดนั้น ภาพที่ปรากฏแก่สายตาก็


กระจ่างจ้ายิ่งกว่าแสงแห่งตะวันพันดวง สาวกพระกฤษณะภาคฮิปปี้กำลัง


เริงร้องและร่ายรำไปตามถนนสายนั้นอย่างบันเทิง    
. 


หนุ่มสาวใส่ชุดแขกสีเหลืองมีตัวอักขระอินเดียสีแดง สาวกชาย


โกนหัวโล้น แต่ไว้ผมกระจุกเป็นหางหนูตรงท้ายทอย แต่งแต้มหน้าตา


และเนื้อตัวเหมือนหลุดออกมาจากแดนชมพูทวีป หากแต่สาวกทุกคน


จมูกโด่ง และตาสีฟ้าแทบทั้งสิ้น ต่างล้วนยักย้ายท่วงท่ากวัดแกว่งมาลัย


ดอกไม้สีสดไปตามเสียงกลองและฉาบอย่างเมามัน 



Hare krishna, Hare Krisshanaaaaaaaaaaaaaaa  สาวกชายร้อง


สรรเสริญพระกฤษณะเสียงสูงปริ๊ด พลางกระหน่ำรัวกลองไม่ยั้ง สาวก


หญิงร่ายรำพลางโปรยดอกไม้ในมือ ฉันได้กลิ่นความสนุกลอยมาจางๆ


เลยทรุดตัวลงนั่งริมถนน ข้างฮิปปี้คราวป้า วัยประมาณหกสิบที่กำลังนั่งตา


ฉ่ำเยิ้มเพราะบุหรี่สมุนไพรในมือเจ้าหล่อน
.



ฉันส่งยิ้มให้อย่างว่องไว เพราะยังไม่อยากเจอฮิปปี้ถีบคว่ำ


กลางถนนหล่อนยิ้มตาปรือกลับมาให้ พลางแนะนำตัวว่า ชื่อ โลตัส


(Lotus) เมื่อเห็นกะเหรี่ยงจากเมืองไทยทำหน้าพิกล หล่อนก็หัวเราะลั่น 


บอกต่อว่า ชื่อฮิปปี้ของไอน่ะ ชื่อจริงไอชื่อ แครอล นีลูกชายไอเอง


ชื่อ สันติ ( Shanti) ว่าแล้วก็เบี่ยงไหล่ให้หนุ่มวัยยี่สิบปี หน้าฝรั่งแต่ชื่อ


แขกนามสันติ หันมายิ้มทักทาย ฉันยิ้มขำๆ ไพล่ไปนึกถึงนักร้องลูกทุ่ง


ไทยที่ชื่อ สันติ ดวงสว่างเลยทักทายสองแม่ลูกฮิปปี้ไปตามมารยาท



สองแม่ลูกแต่งตัวสีสดเหมือนนกแก้ว สีสันสดใสด้วยลวดลาย


น่าเวียนหัว แม่ดอกบัวโลตัสประดับประดากำไลรุงรังไปทั้งแขน ขยับตัว


มาคุยกับฉันทีไร พาลให้นึกถึงกระพรวนแมวทุกครั้ง หล่อนดูดยาสืดหนึ่ง


หันมาถามอีกว่า มาจากไหน


.


พอเอ่ยชื่อประเทศอันเป็นที่รักยิ่งเท่านั้น สองแม่ลูกยิ้มกว้าง


เออประเทศยูนี่ กัญชาดีที่สุดในโลกเว้ย ว่าแล้วก็ถามต่อทันที


ว่าแต่ยูมีไอ้เบอร์สี่ติดตัวมาบ้างไหม ฉันหัวเราะบอกว่า ไม่มีหรอก


จริงๆ ไอมาจากรัฐอินเดียน่านี่เอง ส่วนเมืองไทยน่ะ เป็นประเทศแม่


อีกอย่าง ไอเลิกดูดยามานานแล้ว มีแต่บุหรี่ไทย สนใจไหม ว่าแล้วฉัน


ก็โยนซองบุหรี่กรองทิพย์ที่พกเอาไว้ผูกมิตรติด


กระเป๋ามาจากเมืองไทยให้สองแม่ลูก จากนั้น มิตรภาพง่ายๆ ก็เริ่มต้น


ระหว่างอดีตฮิปปี้จากเมืองไทยและสองแม่ลูกฮิปปี้ที่ซานฟรานซิสโก


.


เมื่อรู้ว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันมาเยี่ยมรังฮิปปี้ที่ซานฟรานซิสโก


โลตัสกับสันติก็อาสาพาฉันเดินเที่ยวละแวกนั้น คาดว่า คงถือคติ


ฮิปปี้ทั้งผองพี่น้องกัน เพราะถนนสาย Haight-Ashbury นั้นเป็นทั้ง


บ้านของหล่อนและแหล่งซ่องสุมของบรรดาฮิปปี้มาตั้งแต่ปี 1960s


.


อีกอย่าง โลตัสก็ว่างงานไม่มีอะไรจะทำ เลี้ยงตัวเองด้วยเงิน


สวัสดิการจากรัฐ บอกตรงๆ ว่า ฮิปปี้ที่นี่ กินดีอยู่ดีกว่าคนที่มีงานทำ


เสียอีก ได้เงินสวัสดิการจากรัฐ มาจ่ายค่าเช่าบ้านและอาหารการกิน 


คาดว่าคงเพราะว่างงานและเบื่อๆ เลยอาสาพากะเหรี่ยงจากเมือง


ไทยเดินเที่ยวบ้านตัวเอง เผลอๆ อาจจะหวังกัญชาเบอร์สี่อย่างดีจากเมือง


ไทย ใครจะไปรู้


.


เราเข้าไปในร้านขายของที่ระลึก พลันต้องตระการใจไปกับ


บ้องกัญชา (Bong) หลากสี หลายสไตล์ ทั้งเล็กใหญ่ในราคามิตรภาพ


มีทั้งแบบสีรุ้งและแบบสีพื้น เลือกได้ตามรสนิยมคนพี้ เนื้อ หรือที่คนแถวนี้


นิยมเรียกว่า Pot หรือ Weed อีกทั้งยังมีชื่อเล่นน่ารักอย่างสุดซึ้งว่า


 Mary Jane


.


โลตัสนั้นเขม้นมองบ้องกัญชาหลากสีสลับกับจ้องหน้าฉัน


อย่างคาดหวัง เพราะฉันเล่าว่า คนไทยที่เมืองไทยนิยมบ้องปัญชาไม้


ไผ่ บางคนก็ประดับเหรียญกล้าหาญแพรวพราว หรือไม่รุ่นหลังๆ มา


ก็นิยมขวดแฟซ่า หรือขวดแชมพูมาแจาะรู ทำบ้องกัญชา แต่สะดวกสุด


ก็เห็นจะเป็นเอามายำยัดไส้บุหรี่อย่างที่เราเรียกว่า พันลำ แม่ดอกบัว


หัวร่อลั่น ตบหลังตบไหล่ พลางว่า


 ส่วนมากพวกไอก็ดูดพันลำนี่แหละ  เสียอย่างเดียว


กัญชาจากบ้านยูนี่แพงบรรลัย เลยต้องหันไปใช้กัญชาจาก


อเมริกาใต้แทน



ที่นั่น มีบุหรี่หลากชนิดแปลกๆ ให้ลอง ฉันแวะซื้อบุหรี่ Kratek 


หรือบุหรี่กานพลูรสหวานปะแล่มที่เคยชื่นชอบสมัยเรียนมหาวิทยาลัย


มาดูดแก้หนาว และเช่นเคย ฉันแบ่งให้โลตัสกับสันติด้วยเป็นการตบราง


วัล  นางฮิปปี้เฒ่ายิ้มพยักเพยิดขอบใจ คงชัดเจนแล้วว่า ฉันเป็นพันธุ์หม


บ้ามาแต่เดิมเหมือนกัน เพราะจะมีแต่ฮิปปี้เท่านั้นแหละ ที่ชอบบุหรี่ชนิดนี้ 


สันติขอแยกไปหาเพื่อน เหลือแต่ ฉันกับโลตัสเดินดูดบุหรี่ควันอ้อยอิ่ง


ทอดอารมณ์ไปบนถนนสายบุปผาชน Haight-Ashbury แห่งนี้


.


.Z((


(




(2)


“ในลมหายใจอบอวลกัญชา แอลเอสดี และกระหรี่ (ผง)


ศีลหลายข้อกำหนดว่าฮิปปี้เป็นศัตรูกับความเจริญทางวัตถุ การต่อ


ต้านความละโมบและความอิจฉาริษยาอาฆาต และการเร่งเร้าเพื่อเกื้อ


กูลเพื่อนมนุษย์ในโลก การปฏิเสธความฟุ้งเฟ้อ รวมทั้งความสะอาดและ


ความเรียบร้อย (มารยาท)  การเป็นซ้าย (ใหม่) การไม่ตัดสินด้วยความ


รุนแรงแต่รักสงบ การนอบน้อมถ่อมตนและเทิดทูนความเป็นเพื่อน


การเป็นปรปักษ์กับงานโดยประท้วงด้วยความขี้เกียจ...การนำตนเข้า


ถึงเสรีภาพแห่งความรักและกามารมณ์ ฯลฯ”


 (บางถ้อยอารมณ์ จาก หลงกลิ่นกัญชา : ‘รงค์ วงษ์สวรรค์)




นั่นเป็นนิยามจากนักเขียนผู้หลงกลิ่นกัญชา


คุณรงค์ วงษ์สวรรค์ แต่คงจะไม่ง่ายนัก หากจะนิยามความเป็น ฮิปปี้


ได้อย่างครอบคลุม บางใครให้นิยามไว้เสร็จสรรพแล้วว่า บุปผาชน


เป็นชื่อที่น่ารักน่าเอ็นดูสำหรับคนที่มีรสนิยมแบบทวนกระแสสังคม


แต่สำหรับกลุ่มอนุรักษ์นิยมแล้ว ฮิปปี้ถือเป็นตัวอันตรายที่นรกส่งมาเกิด


เลยทีเดียว


.



ไม่ว่าใครจะมองกลุ่มชนขบถนี้อย่างไรก็ตาม ความหมาย


โดยรวมของวัฒนธรรมแบบฮิปปี้ คือ วัฒนธรรมทวนกระแสที่เกิด


มาจากการเคลื่อนไหวของคนหนุ่มสาวในสหรัฐอเมริกาช่วงต้นทศวรรษ


 1960 และแพร่วัฒนธรรมนี้ไปทั่วโลก


.


 คำว่าฮิปปี้ มาจาก ฮิปสเตอร์ (hipster)  ใช้ในการอธิบายถึงพวก


ที่ทำตัวต่างจากคนส่วนมากในสังคม


.




ฮิปปี้ในซานฟรานซิสโก ย่าน Haight-Ashbury ได้รับสืบทอด


วัฒนธรรมแปลกแยกนี้จากพวก Beat Generation เกิดสังคมทวน


กระแส ซึ่งปฏิเสธค่านิยมของสังคม ฟังเพลงจำพวกไซเคเดลิกร็อก


ปฏิวัติเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศ และเสพยาอย่างกัญชาและแอล


เอสดี


.


ปี 1967 ในซานฟรานซิสโก ฮิปปี้รวมตัวกันจัด Summer


of Love ทางฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา และจัดเทศกาล 


Woodstock ในปี 1969 ทางฝั่งตะวันออก ส่วนในเม็กซิโกมีการเริ่ม


 La Onda Chicana ที่ Avándaro


.



.


แฟชั่นฮิปปี้แทรกซึมเข้าไปมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมหลัก


และมีอิทธิพลต่อดนตรีป็อบ แวดวงบันเทิงทั้งโทรทัศน์และภาพยนตร์


โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานเขียนและศิลปะ จิปาถะไปตั้งแต่อาหารเพื่อสุขภาพ


เพราะกลุ่มฮิปปี้เน้นอาหารมังสวิรัติเป็นหลัก นอกจากนี้  ยังเน้นการมีเพศ


สัมพันธ์แบบไม่ยึดติด


.


ในประเทศไทยเรียกฮิปปี้ว่าบุปผาชน โดยอธิบายไว้ว่า เป็นพวก


ที่รักอิสระเสรีภาพมีการดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย การแต่งกายไม่ภูมิฐาน


ฟุ้งเฟ้อหรือยึดติดกับสิ่งของราคาแพงและค่านิยมของสังคม


.


นี่คงเป็นภาพรวมกว้างๆ ของกลุ่มบุปผาชน หากว่า อยาก


จะเข้าใจรากเหง้าและกำเนิดบุปผาชนอย่างแท้จริงแล้ว คงจะต้อง


ย้อนกลับไปสู่ยุค Beat Generation คือ ประมาณ 1950s-1960s


.



.
Beat Generation เป็นการเรียกตัวเองของกลุ่มนักเขียนอเมริกัน


ที่มารวมตัวกันในปลายทศวรรษ 1950s ต่อเนื่องไปจนถึงปี 1960s


เป็นกลุ่มนักเขียนที่มีส่วนผลักดันและสำคัญยิ่งต่อแวดวงวรรณกรรมอเมริกัน


ภายหลัง นักเขียนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า Beatniks



วรรณกรรมที่เป็นหัวใจหลักของกลุ่มบีท เจนเนอเรชั่นคือ 


 รวมบทกวี  Howl ของ Allen Ginsberg (1956) , Nake Lunch


 (1959) ของ William S. Burroughs และ On the Road (1957)


ของ Jack  Kerouac  ทั้งสามเล่มนี้เป็นเหมือนคัมภีร์หลักแห่ง


Beat Generation เลยก็ว่าได้
.

 
ในปี 1948   Jack  Kerouac  ได้คิดคำว่า Beat Generation


ขึ้นเพื่อเอาไว้เรียกกลุ่มนักเขียนที่ขบถต่อสังคม ไม่ยอมโอนอ่อนตาม


สังคมอย่างเชื่องๆ เหมือนคนในยุคนั้นที่ทำทุกอย่างตามกระแสสังคม


โดยเอาคำมาจากนวนิยายของ John Clellon Holmes เรื่อง GO


 มาใช้เรียกกลุ่มตนเอง


.
 


.
 
คำว่า Beat เป็นสะแลงที่มีความหมายหลายนัยคือ เป็นได้


ทั้งคำเรียกกลุ่มพวกหัวขโมย ขี้ยา และบรรดาตัวแสบต่างๆ แต่สำหรับ


กลุ่ม Beat แล้ว หมายถึง กลุ่มคนที่ค้นพบตัวเองและไม่เดินตามหลังใคร


 ถือเป็นกลุ่มชนที่มีแนวทางของตัวเองอย่างเด่นชัดโดยไม่สนใจ


กระแสสังคม
 
 
แต่ส่วนมากแล้ว เมื่อเอ่ยถึงกลุ่ม Beat Generation


สื่อมวลชนจะหมายถึงกลุ่มเพื่อนนักเขียนของ Allen Ginsberg


William S. Burroughs และJack  Kerouac ในสมัยนั้น นักเขียนที่มีหัว


ใจเดียวกันมารวมกันเข้ากับกลุ่มนี้ ทำให้ความนิยมในวิถีขบถกระจาย


ตัวอย่างกว้างขวางในกลุ่มหนุ่มสาว กลายเป็นกลุ่มชนทวนกระแสที่น่า


จับตามองในอเมริกายุคนั้น ด้วยความโดดเด่นที่มีเอกลักษณ์เป็น


ของตัวเอง


.


นักเขียนยุค Beat Generation  เปรียบเสมือนคบเพลิงแห่งปัญญา


ที่ลุกโพลงรุ่งโรจน์จรัสจ้าทั่วอเมริกาจนทุกคนต้องจับตามอง เนื่องจาก


ในยุคนั้น เป็นยุคสงครามเย็นระหว่างอเมริกาและรัสเซีย วรรณกรรม


และศิลปวัฒนธรรมตกอยู่ในความมืดมนซึมเซา  ประชาชนถูกทำให้


“เชื่อง” โดยปราศจากการตั้งคำถาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำถามเรื่อง


สงคราม  หากใครอยากวิพากษ์สังคมอาจถูกตั้งข้อหา


 “เป็นภัยต่อสังคม” ได้ง่ายๆ


.


หากแต่เหล่านักเขียน Beat  กล้าลุกขึ้นมาท้าทาย และวิพากษ์


ทั้งสังคมอเมริกาและสังคมโลก เพื่อมุ่งหวังปลุกจิตวิญญาณอเมริกันชน


ให้กลับคืนสู่เสรีภาพแห่งการตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์


.



.


.


บทกวีและงานเขียนกลุ่ม Beat เน้นความไร้ฉันทลักษณ์ ไร้รูป


แบบตายตัว  ซึ่งบทกวีไม่จำเป็นต้องใช้คำสละสลวย  ขอเพียงแต่


สามารถกระชากความคิดและอารมณ์ให้ตระหนักถึงสาระแห่งการ


ดำรงอยู่


.



แน่นอนว่า สิ่งที่ควบคู่มากับบทกวีและงานเขียนยุค Beat


Generation คือ กัญชาและ LSD สอดไส้ชีวิตอันประดับประดาด้วย


ดอกไม้หลากสีและชีวิตเสรีไร้ขอบเขตของเหล่าบุปผาชน


.


จากกลุ่มนักเขียนขบถเล็กๆ ที่เรียกตนเองว่า Beatniks เริ่มมี


แนวร่วมทวนกระแสสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะฝั่งซานฟรานซิสโก


ทำให้ City Lights Bookstore อันเปรียบเสมือนบ้านหรือสวนดอกไม้


แห่งกลุ่ม Beat Generation บนถนนโคลัมบัส ย่าน     North Beach  


 คับแคบไปถนัดใจ


.



เมื่อผู้ร่วมขบวนการ ทัดดอกไม้ในเรือนผม ทวีจำนวนมากขึ้น


จึงจำเป็นต้องขยับขยายแหล่งซ่องสุมใหม่ในยุคนั้น เหล่าบุปผาชนได้


เคลื่อนย้ายตัวเองมาสู่ Haight-Ashbury  เพราะยุคนั้น ค่าเช่าถูก หากแต่


สมัยนี้ ค่าเช่าแพงเหมือนทองคำเลยทีเดียว จากนั้นเป็นตันมา นับตั้งแต่


1960s  Haight-Ashbury  ก็กลายเป็นตำนานแห่งบุปผาชนมาจนถึงวันนี้


.



.


.


ในปี 1967 ถนนสายนี้กลายมาเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย


มากขึ้นในการจัด Summer of love ทำให้แปรสภาพไปเป็นถนนสาย


บุปผาชนโดยสมบูรณ์แบบมาจนปัจจุบัน


.



.
ส่วนในปี 1969 เทศกาลเพลง  Woodstock ที่นิวยอร์ก


ถือเป็นการแสดงดนตรีสะท้านโลกและเป็นตำนานของเหล่าบุปผาชน


เลยทีเดียว งานนี้มีวงดนตรี<

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์