10อันดับ กุนซือที่เก่งที่สุดในรอบ 10ปี

10 อันดับ กุนซือ ที่เก่งที่สุดในรอบ 10 ปี

สหพันธ์ประวัติศาสตร์และสถิติฟุตบอลนานาชาติ หรือ “ไอเอฟเอฟเอชเอส” (IFFHS) ซึ่งเป็นองค์กรที่ได้รับการยอมรับจาก สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ “ฟีฟ่า” ได้ทำการจัดอันดับกุนซือที่เก่งที่สุดในช่วงปี2001-2010

10 มาร์เซลโล่ ลิปปี้





อันดับที่ 10 ได้แก่ มาร์เซลโล่ ลิปปี้ (อิตาลี) 88 คะแนน มาร์เชลโล ลิปปี้ (อิตาลี: Marcello Lippi) เกิดเมื่อวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1948 เป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลและอดีตนักฟุตบอล สร้างชื่อในฐานะผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จสูงสุดคนหนึ่งในโลกกับสโมสรยูเวนตุส เขานำ ทีมชาติอิตาลี คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก ปี 2006

9 ราฟาเอล เบนิเตซ





อันดับที่ 9 ได้แก่ ราฟาเอล เบนิเตซ (สเปน) 97 เบนีเตซเกิดเมื่อวันที่ 16 เมษายน ค.ศ. 1960 ที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน เป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลชาวสเปน และเป็นอดีตนักฟุตบอล เขาได้มาเป็นผู้จัดการสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปี 2004 และในวันที่ 2 กรกฎาคม 2004 เบนีเตซได้เซ็นสัญญาเป็นระยะเวลาสี่ปีกับสโมสรลิเวอร์พูล เขาเคยเป็นผู้จัดการสโมสรฟุตบอลบาเลนเซียมาก่อน นอกจากนั้นยังเคยคุมทีมในลาลีกาถึงห้าทีม เบนีเตซกลายมาเป็นผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จที่สุดของบาเลนเซีย หลังจากเพิ่งเข้าทำงานกับทีมได้เพียงสามฤดูกาล ในปี 2002 เขานำทีมคว้าแชมป์ลาลีกาได้เป็นครั้งแรกหลังจากปี 1971 และในปี 2004 เขาพาลูกทีมคว้าดับเบิลแชมป์ คือแชมป์ลาลีกา และแชมป์ยูฟ่าคัพ อีกด้วย หลังจากนั้นในปี 2005 เขาได้พาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีกและแชมป์ซูเปอร์คัพ นอกจากนั้นเขายังพาลูกทีมคว้าแชมป์เอฟเอคัพ และแชมป์คอมมูนิตีชีลด์ได้ในปี 2006 เบนีเตซกลายเป็นผู้จัดการทีม คนที่สามตามหลังบ็อบ เพรสลีย์ และโชเซ มูรีนโยซึ่งสามารถพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่าคัพและยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้ในปีเดียวกัน และยังเป็นผู้จัดการทีมคนแรกที่สามารถนำทั้งสองทีมคว้าแชมป์ข้างต้นได้ เขาได้มาเป็นผู้จัดการทีมคนที่สองของลิเวอร์พูล หลังจากโจ ฟาแกน ที่สามารถนำทีมคว้าแชมป์ยูฟ่าคัพและยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้ในการคุมทีมครั้งแรกของเขา นอกจากนี้เบนีเตซยังได้รับรางวัลอื่น ๆ อีกมาก เช่นรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของ Don Balón และ El País ในปี 2002 และในปี 2005 เขาได้รับเลือก ให้เป็นผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมแห่งปีโดย Seven Stars Sport เบนีเตซประสบความสำเร็จอย่างมาก ทั้งที่บาเลนเซียและลิเวอร์พูล ด้วยนักเตะคุณภาพระดับโลกอยู่ในทีม นอกจากนี้เขายังได้เซ็นสัญญากับนักเตะฝีเท้าเยี่ยมอย่างชาบี อาลอนโซและเฟร์นันโด ตอร์เรส อีกด้วย และความสำเร็จทั้งที่สเปนและอังกฤษทำให้ชื่อเสียงมาสู่ตัวเขา โดยได้เป็นหนี่งในผู้จัดการทีมที่ดีที่สุดในยุโรป

8 มาร์เซโล่ บิเอลซ่า





อันดับที่ 8 ได้แก่ มาร์เซโล่ บิเอลซ่า 101 คะแนน บิเอลซ่า วัย 55 ปี เริ่มเข้ามารับงานคุมทีมชาติชิลี เมื่อปี 2007 โดยก่อนหน้านี้ เคยนั่งดำรงตำแหน่งกุนซือทีมชาติอาร์เจนตินา ระหว่างปี 1998-2004 ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวทัพ ฟ้า-ขาว ภายใต้การทำทีมของเขา สร้างความตกตะลึงด้วยการกระเด็นตกรอบแรก เวิลด์ คัพ 2002 ไปอย่างเหลือเชื่อ ก่อนจะสามารถพาทีมชุดเล็กคว้าเหรียญทองโอลิมปิก ได้ในอีก 2 ปี ต่อมา

7 หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่





อันดับที่ 7 ได้แก่ หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ (บราซิล) 101 คะแนน กิด: 9 กันยายน 1948 สโมสรเดิม: ทีมชาติโปรตุเกส, ทีมชาติบราซิล, ครูไซโร, พัลไมรัส, เกรมิโอ, คริซิอูม่า ผลงาน: ทีมชาติโปรตุเกส: รองแชมป์ยูโร 2004 และอันดับ 4 ฟุตบอลโลก 2006 ทีมชาติบราซิล: แชมป์ฟุตบอลโลก 2002 พัลไมรัส: 1997-98 แชมป์บราซิเลี่ยนคัพ 1998-99 แชมป์ลิเบอร์ตาดอเรส, รองแชมป์สโมสรโลก เกรมิโอ: 1994-95 แชมป์ลิเบอร์ตาดอเรส, รองแชมป์สโมสรโลก

6 คาร์โล อันเชล็อตติ





อันดับที่ 6 ได้แก่ คาร์โล อันเชล็อตติ (อิตาลี) 108 คะแนน คาร์โล อันเชล็อตติ ผู้จัดการทีมวัย 51 ปี ย้ายมาคุมทีมในเกาะอังกฤษในช่วงซัมเมอร์ปี 2009 หลังจากใช้เวลา 8 ฤดูกาลกับเอซี มิลาน ที่ซึ่งเขาฝากชื่อเสียงไว้ด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า เชียมเปี้ยนส์ ลีก 2 สมัย และแชมป์กัลโช่ซี่รี่ อาร์ 1 สมัย อันเชล็อตติ อดีตนักเตะเอซี มิลาน ได้เริ่มอาชีพผู้จัดการทีมกับเรจจิน่า สโมสรใกล้เมืองเกิดของเขาในอิตาลีตอนเหนือ ที่ซึ่งเขานำทีมขึ้นมาเล่นในซีรี่ส์ อาร์ อย่างรวดเร็ว รวมถึงความก้าวหน้าในอาชีพอย่างรวดเร็วของเขาด้วยการย้ายไปคุมทีมอย่างปาร์ม่า สโมสรแรกที่เขาได้ลงเล่นในสมัยเป็นนักฟุตบอล ในช่วงกลางปี 1990 ปาร์ม่า เป็นทีมหนึ่งในอิตาลีที่ประสบความสำเร็จในยุคนั้น โดยพวกเขาคว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ ในปี 1995 ในฤดูกาลแรกของเขาในการเป็นโค้ชในถิ่น Stadio Ennio Tardini (ในปี 1996/97) อันเชล็อตติ เข้าคุมทีมที่มีนักเตะอย่าง จิอันฟรังโก้ โซล่า, เอนริโก้ เซซ่า และ เฮอร์นัน เครสโป หลังจากนั้นโซล่าก็ย้ายทีมข้ามมาเล่นในเกาะอังกฤษกับเชลซี และกลายเป็นช่วงหนึ่งในอาชีพค้าแข้งที่เขาลืมไม่ลง ในขณะที่เล่นกับปาร์ม่า เขาจบฤดูกาลกับทีมสูงสุดที่อันดับ 2 ในตาราง และตามหลังทีมแชมป์อย่างยูเวนตุสอยู่ 2 แต้ม ในฤดูกาลถัดมาปาร์ม่าทำได้เพียงอันดับที่ 6 ในตาราง แต่อันเชล็อตติก็ถูกให้ออกจากทีม แต่อย่างไรก็ดีผลงานที่เขาทำไว้ก็ไปเข้าตายูเวนตุส หลังจากที่ มาร์เซลโล ลิปปี้ ย้ายไปคุมทีมอินเตอร์ มิลาน ในปี 1999 ยูเว่ก็ต้องการอันเชล็อตติ เข้าไปคุมทีม ในปีแรกที่อันเชล็อตติ เข้าคุมทีมยูเว่จบฤดูกาลในอันดับที่ 6 ในตาราง ส่วนในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก ก็เข้าไปถึงเพียงรอบรองชนะเลิศโดยไปพ่ายต่อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จากนั้นก็มีเหตุการ์ที่เรียกว่า แอนตี้-อันเชล็อตติ เกิดขึ้น ทำให้เขาต้องขายนักเตะเจ้าปัญหาบางคนออกไป รวมถึง ดิดิเย่ เดอชองส์ ที่ย้ายมาเล่นให้กับเชลซีอยู่ 1 ฤดูกาล และเขาก็ซื้อนักเตะใหม่เข้ามาเสริมทีมอย่าง จิอันลูก้า ซามบร็อตต้า และ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ จากนั้นตามมาด้วย ซีเนอดีน ซีดาน, ฟิลิปโป้ อินซากี้ และ อเลสซานโดร เดลปิเอโร่ ทำให้ทีมยูเวนตุส ขยับขึ้นมามีฟอร์มการเล่นที่ดีขึ้นมาก และจบฤดูกาลด้วยอันดับ 2 แต่ในปีนี้ก็ยังไม่มีถ้วยแชมป์กลับมาสู่สโมสร และในช่วงท้ายฤดูกาล 2000/1 ก็มีข่าวว่าลิปปี้ จะกลับมาคุมทีมยูเวนตุส ดังนั้น ในฤดูกาลถัดมาอันเชล็อตติ คิดที่จะย้ายกลับไปคุมทีมปาร์ม่า แต่ก็มีข้อเสนอจากเอซี มิลานซะก่อน และทำให้เขายากที่จะปฏิเสธได้ มิลานในขณะนั้นไม่สามารถคว้าถ้วยใดๆ มา 2 ฤดูกาลติดกัน และจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 6 และก่อนหน้านั้นพวกเขาก็ตกรอบแบ่งกลุ่มยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก โดยในกลุ่มนั้นมีเชลซี เป็นอันดับ 1 ในฤดูกาลแรกของเขากับมิลาน เขานำทีมขยับขึ้นมาได้อันดับ 4 จากนั้นก็ได้อันดับ 3 ในฤดูกาลถัดมาก จนกระทั่งคว้าถ้วยแชมป์ใหักับทีมได้ในปี 2003/04 แต่นั่นก็เป็นถ้วยซี่รี่ส์ อาร์ ถ้วยเดียวที่เขาทำให้กับทีมได้ตลอด 8 ปีที่คุมทีม ในปี 2004/05 เขาทำทีมได้ที่ 2 และก็เป็นอีกครั้งที่มิลานไม่มีถ้วยใดๆ มาครอง จากนั้นในฤดูกาล 2006/07 ก็เป็นปีที่ 2 ที่อันเชล็อตติ นำทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก โดยในปีแรกคือฤดูกาล 2002/03 เขาล้างแค้นแมนฯ ยูไนเต็ด ได้สำเร็จจากการเอาชนะทีมปีศาจแดง และคว้าแชมป์ยุโรปไปครอง จากลูกยิงของ อังเดร เชฟเชนโก้ ที่ช่วยให้เขาเป็นผู้จัดการทีม 1 ใน 6 คนที่ได้ชูถ้วยแชมป์ยุโรปทั้งในฐานะนักเตะ และผู้จัดการทีม จากนั้นอีก 4 ฤดูกาลถัดมาทั้งเขา และ เปาโล มัลดินี่ ก็ได้ชูถ้วยแชมป์ยุโรปเป็นครั้งที่ 2 จากชัยชนะเหนือลิเวอร์พูล ในเอเธนท์ 2 - 1 หากจะนับรวมแล้วกับการคุมทีมเอซี มิลาน เขาคว้าแชมป์ลีกให้ทีม 1 ครั้ง แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 ครั้ง ยูฟ่าซุปเปอร์คัพ 2 ครั้ง อิตาเลี่ยนคัพ 1 ครั่ง ลีกซุปเปอร์คัพ 1 ครั้งและ ฟีฟ่าคลับ เวิลด์คัพ 1 ครั้ง จากนั้นในปี 2009 เขาก็ได้ย้ายมาร่วมทีมเชลซี และนำทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก ได้ตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่เข้ามาคุมทีม

5 กุส ฮิดดิ้ง





อันดับที่ 5 ได้แก่ กุส ฮิดดิ้ง (ฮอลแลนด์) 112 คะแนน เกิดวันที่ 8 พฤศจิกายน 1946 ตอนแต่ก่อนเล่นตำแหน่งกองกลาง เขาเคยเล่นอยู่ทีม De Graafschap ยิงไปตั้ง47ประตู จากการลง102นัด เขาเคยคุมทั้ง เฟเนบาเช่ วาเลนเซีย รีล มาดริด เบติส เกาหลีใต้ รัลสเซีย และ เชลซี ตอนกุสฮิดดิ้งคุมเกาหลีใต้ กุสฮิดดิ้งพาเกาหลีใต้เข้าไปถึงรอบ4ทีมสุดท้ายของฟุตบอลโลกได้ด้วย โดยการเอาชนะสเปนกับอิตาลี่ เข้ารอบ4ทีมสุดท้ายของฟุตบอลโลก และแพ้ให้กับเยอรมัน1-0 และบัลลัคเป้นผู้ทำประตูให้ เยอรมัน เกาหลีใต้เลยตกรอบไป หลังจากจบชาวเกาหลีก้เปลี่ยนชื่อสนามฟุตบอลของพวกเขาจากGwangju เป็น Guus Hiddink Stadium แล้วบอลยูโร2008ที่ผ่านมาฮิดดิ้งก้พารัสเซียโค่นฮอลแลนด์เข้ารอบ4ทีมสุดท้าย แต่พลาดท่าแพ้สเปน ผมยกย่องแกตอนคุมทีมเกาหลีใต้มากเลยครับ

4 ฟาบิโอ คาเปลโล่





อันดับที่ 4 ได้แก่ ฟาบิโอ คาเปลโล่ (อิตาลี) 120 คะแนน ฟาบิโอ คาเปลโล่ กุนซือหน้าบึ้งชาวอิตาเลียน กลายเป็นผู้จัดการทีม สิงโตคำราม อังกฤษ คนใหม่ อย่างเป็นทางการแล้ว หลังบรรลุข้อตกลงรายละเอียดปลีกย่อย และลงนามสัญญาร่วมงานกันนานถึง 4 ปีครึ่ง ด้วยกัน สมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) ออกมาแถลงข่าวใหญ่ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า ได้ตัดสินใจยกตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ ให้กับ ฟาบิโอ คาเปลโล่ โค้ชชาวอิตาเลียน เป็นผู้ดูแลคนใหม่ อย่างเป็นทางการแล้ว หลังการเจรจาขั้นตอนสุดท้ายผ่านฉลุย และมีการลงนามในสัญญาร่วมงานกัน 4 ปีครึ่ง เรียบร้อย คาเปลโล่ วัย 61 ปี เข้ามารับตำแหน่งแทน สตีฟ แม็คคลาเรน ที่โดนปลด เมื่อเดือนที่แล้ว หลังพาทีมพ่าย โครเอเชีย จนอดไปเล่นศึกชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ยูโร 2008 รอบสุดท้าย ในกลางปีหน้า ส่วนงานแรกที่จะโชว์ฝีมือ คือการนำนักเตะสิงโตคำราม ลงเตะอุ่นเครื่องกับ สวิตเซอร์แลนด์ ในเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนเกมอย่างเป็นทางการ ต้องรอไปถึงช่วงปลายปีหน้า ซึ่ง อังกฤษ จะทำศึกฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก เพื่อลุ้นโควตาไปเล่นรอบสุดท้าย ที่แอฟริกาใต้ ในปี 2010 สำหรับประวัติ คาเปลโล่ เคยผ่านงานคุมสโมสรยักษ์ใหญ่มาแล้วหลายทีม ไม่ว่าเป็น เอซี มิลาน, โรม่า และ ยูเวนตุส ในลีกบ้านเกิด ซึ่งเขาสามารถพาทุกทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้หมด รวมถึงเคยคุม เรอัล มาดริด ในสเปน คว้าแชมป์ลีกได้อีก 2 สมัย รวมฤดูกาลที่แล้ว

3 โชเซ่ มูรินโญ่





อันดับที่ 3 ได้แก่ โชเซ่ มูรินโญ่ (โปรตุเกส) 135 คะแนน ชูเซ มารีอู ดูช ซังตูช เฟลิกซ์ โมรินยู (โปรตุเกส: José Mário dos Santos Félix Mourinho) หรือ โชเซ มูรีนโย ตามการออกเสียงในภาษาอังกฤษ[2] เป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลชาวโปรตุเกส เกิดวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2506 (ค.ศ. 1963) เขาเป็นลูกชายของเฟลิกซ์ มูรีนโย ซึ่งเคยติดทีมชาติโปรตุเกส 1 นัดในฐานะผู้รักษาประตูและเป็นผู้ฝึกสอนในเวลาต่อมา ทำให้เขาได้รับศาสตร์ลูกหนังจากคุณพ่อมาตั้งแต่เด็ก และเป็นกุนซือที่ประสบความสำเร็จอย่างมากแม้อายุจะยังน้อยก็ตาม รวมทั้งเป็นที่ยอมรับว่ามีความสามารถมากที่สุดคนหนึ่งอีกด้วย ปัจจุบัน มูรีนโยเป็นผู้จัดการสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดในลาลีกาของประเทศสเปน

2 เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน





อันดับที่ 2 ได้แก่ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน (สก็อตแลนด์) 148 คะแนน เซอร์ อเล็กซานเดอร์ “อเล็กซ์” แชปแมน เฟอร์กูสัน (อังกฤษ: Sir Alexander “Alex” Shapman Ferguson) ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งทำหน้าที่มายาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรยุคใหม่ เกิดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2484 เริ่มคุมทีมต่อจาก รอน แอตกินสัน ในปี พ.ศ. 2529 ได้แชมป์เอฟเอคัพ เมื่อปี พ.ศ. 2533 เป็นถ้วยแรก และหลังจากนั้น ได้แชมป์เอฟเอ พรีเมียร์ลีกอีก 11 สมัย และแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกอีก 2 สมัย ต่อจากสมัยของ เซอร์ แมตต์ บัสบี้ ในปี พ.ศ. 2511 หลังจากได้ถ้วยแชมเปียนส์ลีก ในปี พ.ศ. 2542 แล้ว เขาก็ได้รับการแต่งตั้ง จากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สอง แห่งสหราชอาณาจักร ให้เป็นอัศวิน หรือเซอร์ ของอังกฤษ

1 อาร์แซน เวนเกอร์






อันดับที่ 1 ได้แก่ อาร์แซน เวนเกอร์ (ฝรั่งเศส) 156 คะแนน อาร์แซน แวนแกร์, โอบีอี[2] (ฝรั่งเศส: Arsène Wenger, ออกเสียง: [aʁsɛn vɛnɡɛʁ]) หรือ อาร์เซน เวงเกอร์ ตามการออกเสียงในภาษาอังกฤษ[3] เป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลชาวฝรั่งเศส เกิดเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ. 1949 ในเมืองสตราสบวร์ก ปัจจุบันเป็นผู้จัดการทีมของอาร์เซนอล เขาเป็นผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในเรื่องของจำนวนถ้วยรางวัลและระยะเวลาการคุมทีมที่นานที่สุดของอาร์เซนอล แวนแกร์เป็นผู้จัดการทีมที่ไม่ใช่พลเมืองของสหราชอาณาจักรคนแรกที่สามารถคว้าดับเบิลแชมป์ได้ในอังกฤษ นั่นคือดับเบิลแชมป์ในปี ค.ศ. 1998 และ ค.ศ. 2002 สำหรับในปี ค.ศ. 2004 นั้น เขาเป็นผู้จัดการทีมคนแรกของประวัติศาสตร์ของเอฟเอพรีเมียร์ลีกที่สามารถคุมทีมลงเล่นแล้วไม่แพ้ทีมใดในลีกเลยทั้งฤดูกาล จนกระทั่งอาร์เซนอลได้แชมป์ในปีนั้น ในด้านการศึกษานั้น แวนแกร์จบปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมศาสตร์และปริญญาโทสาขาเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยสทราซบูร์ แวนแกร์มีความสามารถในการพูดได้หลายภาษา โดยสามารถใช้ภาษาฝรั่งเศส, อัลเซเชียน, เยอรมัน และอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว และยังสามารถพูดภาษาอิตาลี, สเปน และญี่ปุ่นได้บ้างอีกด้วย



เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์