ผ้าห่อศพแห่งตูริน









ตำนานของ
ผ้าห่อศพแห่งตูริน



ผ้าห่อพระศพถูกพบครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1357 ที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในประเทสฝรั่งเศส แต่ก่อนหน้านี้ก็มีการเล่าลือถึงผ้าซึ่งมีภาพของพระเยซูเจ้าปรากฏอยู่แล้ว นักประวัติศาสตร์กล่าวว่า.. เริ่มพบหลักฐานของผ้าอยู่ที่กรุงคอนแสตนติโนเปิล ในปี 944 และมีเอกสารกล่าวถึงผ้าโบราณซึ่งเรียกว่า.. ภาพแห่งเอเดสสา Image of Edessa โดย Eusebius of Caesarea ในตอนต้นศตวรรษที่ 4 เป็นผู้บันทึกไว้ ซึ่งมีร่องรอยของอายุย้อนไปถึงศตวรรษแรก ผ้าโบราณนี้อยู่ทางตะวันออกและกล่าวกันว่ามีภาพของพระเยซูปรากฏอยู่ซึ่ง ไม่ได้ถูกทำขึ้นด้วยมือมนุษย์



ตามบันทึกของ Eusebius (และนี่ต้องพิจารณาว่าเป็นเพียงตำนาน) ผ้าถูกนำมาที่ Edessa โดยอัครสาวกโทมาส หรือไม่ก็เทเดียส ในปี 544 ผ้าที่มีภาพของพระเยซูเจ้านั้นก็ถูกซ่อนเอาไว้ที่กำแพงทางเข้าเมืองแห่ง Edessa ผ้าถูกนำไปที่คอนแสตนติโนเปิลเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 944 ในเวลานั้นมีการเขียนบรรยายถึงความยาวของผ้าและภาพของพระเยซูเจ้าและรอยเปื้อนพระโลหิตของพระองค์ ต่อจากคอนแสตนติโนเปิล

ในปี
1204 ผ้าก็กลายเป็นสมบัติของ Othon de la Roche, ดยุกฝรั่งเศสแห่งเอเธนและทิบิส ท่านได้ส่งผ้าไปเก็บรักษาไว้ที่ปราสาทของท่านที่เมือง Besanon, ฝรั่งเศสในปี 1207 ที่ปราสาท Eastertide, ผ้าถูกส่งต่อจากปราสาทแล้วนำไปแสดงในอาสนวิหาร Besanon Cathedral จนกระทั่งอาสนวิหารถูกไฟไหม้ในเดือนมีนาคม 1349 เอกสารบันทึกต่างๆของทางโบสถ์ อาจถูกไฟไหม้หมดไปในเวลานั้น ในปีเดียวกันนั้นเอง, Geoffroy de Charny, อัศวินฝรั่งเศสได้แต่งงานกับ Jeanne de Vergy, พระนัดดาของ Othon de la Roche, และท่านได้ส่งผ้าตราสังไปที่ canons of Lirey, และนั่นเป็นบันทึกของผ้าตราสังที่มาอยู่ที่ยุโรปตะวันตก



ปัจจุบันผ้าตราสังถูกเก็บรักษาไว้ที่อาสนวิหาร ซาน โจวานนี่ บัตติสต้า ในเมืองโตริโน่(ตูริน) ประเทศอิตาลี 



ผ้าห่อพระศพแห่งตูรินเป็นผ้าลินินยาว 14 ฟุต กว้าง 4 ฟุต นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการตรวจสอบร่องรอยที่เปรอะเปื้อนบนผืนผ้าห่อพระศพก็พบว่า.. รอยเหล่านั้นเป็นคราบเลือดกรุ๊ป AB ของผู้ชาย ซึ่งสอดคล้องกับเรื่องที่พระเยซูได้รับบาดเจ็บจากการถูกตรึงบนไม้กางเขนและยังมีร่องรอยบาดแผล เกิดจากมงกุฏหนามและรอยบาดเจ็บอื่น ๆ



เมื่อเร็วๆ นี้ทางวาติกันได้ออกมาแถลงให้ทราบว่า.. อัศวิน Knights Templar เป็นคนเก็บรักษาผ้านี้ไว้มากกว่า 100 ปีนับตั้งแต่สงครามครูเสด ทางวาติกันแถลงครั้งนี้เพื่อแก้ข้อสงสัยหลายคนเกี่ยวกับประวัติของผ้าที่สูญหายไปก่อนปี 1349



ราว 11.45 น. ของวันศุกร์ที่ 11 เมษายน 1997 ได้เกิดไฟไหม้ขึ้นที่โบสถ์กัวริน (Guarini) สถานที่ตั้งแสดงผ้าห่อพระศพของพระเยซู ไฟได้ไหม้ลุกโหมอย่างรวดเร็ว เดชะบุญที่ผ้าห่อพระศพได้ถูกย้ายจากแท่นบูชามาเก็บไว้ในวิหารใหญ่ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 1993 ผ้าห่อพระศพถูกบรรจุอยู่ในหีบเงิน และใส่ไว้ในตู้กระจกกันกระสุนอีกทีหนึ่ง แต่กระนั้นนักผจญเพลิงก้ยังไม่ไว้ใจว่าผ้าผืนนั้นจะปลอดภัยจากเพลิงที่กำลังโหมเข้ามาใกล้ พวกเขาจึงกรูกันเข้าไปใช้ฆ้อนปอนด์อันใหญ๋ทุบกระจกกันกระสุนอย่างหนา เพื่อจะเอาหีบพระศพออกมา



เป็นที่น่าอัศจรรย์ว่ากระจกที่สามารถกันกระสุนได้กลับถูกนักดับเพลิงทุบจนแตกกระจาย และนั่นก็อาจเป็นเพราะพลังแห่งศรํทธาที่นักดับเพลิงมีต่อผ้าศักดิ์สิทธิ์ผืนนั้น 



เมื่อได้หีบนั้นมาแล้วพวกเขาต่างก็รีบนำไปส่งให้กับพระคาร์ดินัลจิโอวานนิ ซาล ดารินิ ถึงแม้ว่าพระเพลิงจะยังมาไม่ถึงวิหารใหญ่ที่เก็บหีบก็ตาม แต่เศษกระจกจากยอดโดมที่แตกลงมาเกลื่อนกลาดก็เป็นอันตรายต่อเหล่านักผจญเพลิงเป็นอย่างมาก 



หลังจากเพลิงสงบก็พบว่า.. โบสถ์และวัตถุโบราณล้ำค่าหลายอย่างได้ถูกทำลายย่อยยับ รวมค่าเสียหายประมาณ 6 ล้านดอลล่าร์ (กว่า 250ล้านบาท)



นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผ้าศักดิ์สิทธิ์ผืนนี้ต้องเผชิญหน้ากับอัคคีภัย เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 1532 ผ้าห่อพระศพเกือบจะถูกพระเพลิงเผาผลาญเมื่อเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่โบสถ์เซนท์ ในแซมเบอรี คราวนั้นความร้อนของไฟทำให้หีบเงินหลอมละลายและหยดลงบนผืนผ้า ทำให้เกิดรอยไหม้ดังที่เราเห็นเป็นรูโหว่ตรงรอยพับ



ในปี ค.ศ.1988 ทางวาติกันอนุญาตให้มีการหาอายุของผ้าตราสังเพื่อพิสูจน์ความแท้จริง เรียกว่าโครงการวิจัยผ้าตราสังแห่งตุริน the Shroud of Turin Research Project (STRP) โดยมี เรย์ โรเจอร์ เป็นผู้อำนวยการ นักวิทยาศาสตร์จากออกซ์ฟอร์ด ซูริกซ์ และอริโซนา ก็ได้ร่วมกันนำตัวอย่างผ้ามาพิสูจน์โดยวิธีทดสอบคาร์บอน 14 ผลก็อย่างที่รู้กันคือ ผ้าผืนนั้นมีอายุอยู่ในช่วงราว ค.ศ.1260-1390 หรืออย่างมากก็แค่ 700 กว่าปีเท่านั้นเอง บรรดาผู้เชี่ยวชาญก็เลยลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า.. ผ้าห่อพระศพแห่งตุรินเป็นของปลอม



นักวิทยาศาสตร์อีกกลุ่มหนึ่งได้แย้งว่า.. การทดสอบนั้นน่าจะมีการผิดพลาด เนี่องจากผ้าผืนนี้มีอายุเก่าแก่มาก ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเป็นพันๆ ปี จึงทำให้มีสิ่งแปลกปลอม เช่น ฝุ่นละอองเกาะตามเนื้อผ้าเต็มไปหมด และผ้าผืนนี้ก็ประสบวิบากกรรม เผชิญกับเหตุการ์ณไฟไหม้ครั้งใหญ่เมื่อปี ค.ศ.1532 คราบเขม่าและควันไฟจากเหตุการณ์ครั้งนั้นได้เกาะจับอยู่บนเนื้อผ้า ทำให้นักวิทยาศาสตร์หาอายุที่แท้จริงของมันไม่พบ



ในปี ค.ศ.1993 ดร.ลีออนซิโอ การ์ซา-วาลเดช(Leoncio A. Garza-valdes)กุมารแพทย์จากซานอันโตนิโอและเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านวัตถุ สมัยยุคก่อนค้นพบสหรัฐ กับศาสตราจารย์สตีเฟ่น เจ แมททิงลี่ย์ (Stephen J. mattingly)ประธานสมาคมจุลวิทยาแห่งสหรัฐสาขาเท็กซัส จึงอุทิศความรู้ความสามารถของพวกเขา มาพิสูจน์เรื่องนี้ให้เห็นดำเห็นแดงกันไป



หลังจากที่ใช้เวลาหลายเดือน ทำการตรวจสอบตัวอย่างชิ้นส่วนผ้าห่อพระศพพวกเขาก็พบว่า.. จริงๆ แล้วตัวอย่างที่ได้มานั้น มีอายุยาวนานกว่าอายุคาร์บอนที่อยู่ในเนื้อผ้า 



ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า.. เนื้อผ้าได้ถูกแบคทีเรียและราเกาะติดอยู่บนเนื้อผ้านานนับศตวรรษ แต่ที่การค้นพบครั้งนี้ไม่ถูกเปิดเผยอย่างเป็นทางการก็เพราะว่า.. ผู้มีอำนาจในโบสถ์คาธอลิกปฏิเสธ ที่จะให้การรับรองว่า.. ชิ้นส่วนตัวอย่างที่ ดร.ลีออนซิโอ กับศาสตราจารย์สตีเฟ่นได้มานั้น เป็นชิ้นส่วนที่นำมาจากผ้าห่อพระศพแห่งตูริน ทั้งที่นักวิทยาศาสตร์ทั้ง 2 ท่านได้รับชิ้นส่วนนี้มาจากจืโอวานิ ริกกิ ติ นูมานา (Giovanni Riggi diNua) ผู้ที่ได้รับอนุญาติให้ตัดชิ้นส่วนตัวอย่างออกมาจากผ้าห่อพระศพ เพื่อตรวจสอบหาอายุคาร์บอนเมื่อปี ค.ศ.1988…


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์