พรีซีซั่น ฤดูกาล 2010-11

อันนี้มันเป็นคอลัมเก่านะครับ เเต่น่าอ่านดี

ไม่ค่อยอยากพูดคำซ้ำ ๆ นะครับแต่ก็ต้องบอกอีกครั้งว่า เวลาเดินเร็วจริง ๆ  และเผลอนิดเดียวจากฟุตบอลโลกเราก็กำลังจะเข้าสู่ฟุตบอลลีกฤดูกาลใหม่กันแล้ว
    
สัปดาห์หน้า “คอมมิวนิตี้ ชิลด์” ฟุตบอลเปิดม่านฤดูกาลใหม่อังกฤษจะกลับมา ก่อนที่ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก 2010-11 จะได้ฤกษ์เริ่มต้นในสัปดาห์ถัดไป 
    
ดังนั้นสัปดาห์นี้คงจะเลี่ยงประเด็นอื่นนอกเหนือจากประเด็น “พรีซีซั่น” ไม่ได้ซึ่งก็เป็น “การ  บ้าน” ที่ทิ้งท้ายเอาไว้ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วด้วยครับ
    
โปรแกรมพรีซีซั่น เป็นช่วงเวลาที่สำคัญ และมีความหมายอย่างมากสำหรับทุกทีม เนื่องจากเป็นช่วงเวลาของการเตรียมความพร้อมทั้งนักเตะและทีมให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อสู้ศึกหนักที่รออยู่ในอีก 9 เดือนข้างหน้า
    
พรีซีซั่นยังเป็นช่วงเวลาของการปรับตัวของนักเตะใหม่ที่ย้ายทีมมาให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ วัฒนธรรมใน และนอกสนามใหม่ ๆ ขณะที่ผู้จัดการทีมที่ได้งานใหม่ก็จะได้โอกาสทำความรู้จักคุ้นเคยกับลูกทีมใหม่ หรือจะเป็นโอกาสแรกที่จะได้นำวิธีการของตัวเองเข้ามาใช้เช่นกัน
    
นี่แหละครับความสำคัญของพรีซีซั่น ซึ่งถ้าทีมไหนเตรียมความพร้อมกันไม่ดี โอกาสที่จะ “ก้าวพลาด” เมื่อถึงเวลาแข่งขันจริงก็มีสูง
    
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พรีซีซั่น ของฤดูกาลหลังศึกใหญ่อย่างฟุตบอลโลก หรือฟุตบอลยูโร จะเป็นปัญหามาก เพราะเวลาในการเตรียมทีมจะถูกหดไปประมาณ 3-4 สัปดาห์
    
สำหรับพรีซีซั่นฤดูกาลนี้ บรรดาทีมใหญ่ ๆ ไม่ค่อยมีอะไรหวือหวาฮือฮามากครับ กระแสดูจะเงียบ ๆ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเพิ่งจะจบฟุตบอล โลกกันมา นักเตะสตาร์ต่าง ๆ ที่ไปฟุตบอลโลกส่วนใหญ่ยังไม่กลับมา หรือกลับมาแล้วก็ยังไม่พร้อมที่จะลงสนาม เพราะเพิ่งอยู่ในช่วงของการเตรียมความพร้อมขั้นแรก
  
  
ดังนั้นในพรีซีซั่นช่วงแรกนี้จึงจะเห็นผลการแข่งขันที่ทีมดัง ๆ อาจจะพลาดพลั้งได้บ่อย ๆ คาดเดาผลการแข่งขันได้ยาก แต่ก็ไม่ใช่สาระสำคัญครับ เพราะสเตจแรกนั้นขอแค่เรียกความฟิตกับ “สัมผัส” บอลกลับมาก่อนเท่านั้น
    
แต่ในช่วงนี้มันก็พอจะเป็น “ดัชนี” ที่จะชี้วัดให้เราได้เห็นถึง “ขุมกำลัง” หรือ Strength in depth ของแต่ละทีมได้เช่นกันครับว่าจะมีของดีเก็บสะสมไว้กับตัวอยู่มากน้อยแค่ไหน
    
ตรงนี้เราไปลองเช็กกันดูครับว่า แต่ละทีมเป็นอย่างไรกันบ้างในช่วงพรีซีซั่น
    
เริ่มที่ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี แชมป์เก่าพรีเมียร์ลีกฤดูกาลที่แล้ว ปีนี้ไม่ได้เดินสายไปไหน มีโปรแกรมการแข่งขันอุ่นเครื่องอยู่ 4 นัด ซึ่งในช่วงแรกนั้นเลือกเจอกับ คริสตัล พาเลซ (1-0) และ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ ดัม (1-3) โดยชนะ และแพ้อย่างละนัด
    
นักเตะที่ คาร์โล อันเชลอตติ เลือกใช้ก็จะเป็นชุดเยาวชนเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ยังมีแกนหลักอย่าง ปีเตอร์ เช็ก, โอบิ มิเคล, มิชาเอล เอสเซียง, อเล็กซ์ รวมถึง ฟรังโก ดิ ซานโต และ ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ ร่วมอยู่ด้วย
    
สำหรับในช่วงที่ 2 จะไปเก็บตัวที่เยอรมนี โดยจะพบกับ ไอน์ ทรัคต์ แฟรงก์เฟิร์ต และ ฮัมบูร์ก ก่อนจะกลับมาเล่นเกมคอมมิวนิตี้ ชิลด์ กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในวันที่ 8 ส.ค.
    
การเตรียมทีมของ เชลซี แตกต่างจาก “ปิศาจแดง” ครับที่ปีนี้ไปตระเวนทัวร์สหรัฐ เพื่อโกยรายได้เข้ากระเป๋า (ใครไม่รู้?) โดยเริ่มทัวร์ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ค. ที่ผ่านมา และจบนัดสุดท้ายกับ ทีมเมเจอร์ลีก ออลสตาร์ เมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมานี้เองครับ 
    
ยังไม่นับเกมกับ กัวดาลายารา ที่เม็กซิโก ซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงในการซื้อตัว ฮาเวียร์ เอร์นานเดซ หรือ “ชิชาริโต” มาร่วมทีม และกลับมาอุ่นเครื่องนัดสุดท้ายกับทีมรวมดาราลีกไอร์แลนด์ ในวันที่ 4 ส.ค.
    
โดยปกติแล้วการทัวร์นั้นไม่ใช่สิ่งที่ผู้จัดการทีม หรือผู้เล่นชื่นชอบอยู่แล้ว เพราะเสียทั้งเวลา เสียทั้งพลังงาน ไม่ได้ทำการฝึกซ้อมอย่างเต็มที่ในช่วงที่สำคัญที่สุด แต่การทัวร์กินระยะเวลาเกือบ 2 สัปดาห์ ในประเทศที่กว้างใหญ่อย่าง สหรัฐ ซึ่งต้องมีการเดินทางกันแทบตลอดนั้นเป็น  “ฝันร้าย” ต่อการเตรียมทีมอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
    
เพราะการไปทัวร์เช่นนี้ย่อมมีเรื่องของการโปรโมต มีอีเวนท์ กิจกรรมต่าง ๆ แล้วแต่สปอนเซอร์จะกำหนด ทำให้นักเตะ  ไม่ได้พักผ่อนมากเท่าที่ควรหลังการ    เดินทาง
    
มันอาจจะมีข้อดีอยู่บ้างที่จะเป็นโอกาสให้นักเตะดาวรุ่งได้โอกาสลงสนามบ้าง แต่ชั่งน้ำหนักแล้วก็อาจจะได้ไม่คุ้มเสียครับ เพราะอย่างไรมันก็แค่เกมอุ่นเครื่อง ประสบการณ์ที่ได้รับมันสู้เกมแข่งจริงไม่ได้
    
อีกทั้งในการทัวร์นั้น ไม่สามารถจะกำหนด  “คุณภาพ” ของทีมที่จะอุ่นเครื่องด้วยได้ ซึ่ง 6 นัดที่ ยูไนเต็ด ได้อุ่นแข้งในพรีซีซั่นนี้นั้นดูไม่ค่อยได้อะไร เพราะไม่มีการ “ยกระดับ” คู่แข่งให้จริงจังขึ้น ตามสเต็ปที่ควรจะเป็นในขั้นที่ 2 และ 3 ของการเตรียมทีม
    
ด้วยเหตุนี้ทำให้ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ออกตัวมาแล้วครับว่า เกมคอมมิวนิตี้ ชิลด์ ปีนี้มีค่าเท่ากับเกม “อุ่นเครื่อง” นัดสุดท้ายของทีม ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสแรก ๆ ที่ เฟอร์กี จะได้ทดลองทีมชุดใหญ่ที่จะใช้งานในฤดูกาลแบบจริงจัง
    
นอกเหนือจาก แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ยังมี สเปอร์ และ แมนเชสเตอร์ ซิตี ที่ตามรอยขอ เดินสายไปเปิดตลาดที่สหรัฐบ้าง แต่ก็ดู    ไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก
    
สำหรับ “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล ยัง   คงเน้นการเตรียมทีมที่ “สมบูรณ์แบบ” ที่สุด โดยในสเตจแรก อาร์เซน เวนเกอร์ พาทีมไปเก็บตัวที่ออสเตรีย ประเทศที่สวยงามน่าอยู่ลำดับต้น ๆ ของโลก (ยืนยันเพราะเห็นมาแล้วกับตา) โดยระหว่างนี้ก็ลงสนามพบกับของเบา ๆ อย่าง บาร์เน็ต, สตวร์ม กราซ และ นอยซีดเดิล เก็บกินนิ่ม ๆ ไปเรื่อย ๆ
    
จากนั้นในสเตจต่อมาก็เป็นของแข็งขึ้นด้วยการพบกับ เอซี มิลาน และกลาสโกว์ เซลติก ในเอมิเรตส์ คัพ ในสุดสัปดาห์นี้พอดี ก่อนจะตบท้ายด้วย ลีเกีย วอว์ซอ จากโปแลนด์ ในเกมสุดท้าย
    
จะเห็นว่าทุกอย่างได้ถูก “ออกแบบ” เอาไว้อย่างดีครับตั้งแต่สถานที่เก็บตัว ความแข็งแกร่งของทีมที่จะอุ่นเครื่องด้วยทั้งในช่วงแรก (ซึ่งก็ทำผลงานได้ดีชนะรวด 2 เกมแรก) และช่วงที่สองที่จะเริ่มมีสตาร์กลับมาจากฟุตบอลโลกได้ค่อย ๆ เคาะสนิมกัน
    
ทีมที่จะมีปัญหามากหน่อยในการเตรียมทีมก็คือ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ในยุคของ รอย ฮอดจ์สัน ที่ถึงจะไม่ได้ไปทัวร์ที่ไหนให้เปลืองแรงก็มีปัญหา เพราะมีเกมอย่างเป็นทางการในรอบคัดเลือกยูโรป้า ลีก กับ ราบอตนิคกี มาคั่นกลาง
    
ฮอดจ์สัน ก็ไม่ค่อยเหลือนักเตะตัวหลักให้ใช้งาน เพราะ ลิเวอร์พูล มีนักเตะไปเล่นฟุตบอลโลกจำนวนไม่น้อย พวกที่กลับมาแล้วก็มีแต่ก็ยังไม่พร้อมจะลงสนามทั้ง เฟอร์นานโด ตอร์เรส, สตีเวน เจอร์ราร์ด, เจมี คาร์ราเกอร์, เกล็น จอห์นสัน, ดาเนียล แอกเกอร์ รวมถึง โจ โคล 
    
เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้ ฮอดจ์สัน เหลือนักเตะใช้งานได้น้อย และมันก็สะท้อนให้เห็นถึงขุมกำลังของ ลิเวอร์พูล ว่า เป็นรองทีมอื่น ๆ อยู่มาก เพราะมีแต่ดาวรุ่งให้ใช้งานซึ่งผลก็สะท้อนออกมาในการพ่ายต่อ ไกเซอร์สเลาเทิร์น ในเกมอุ่นเครื่องที่เยอรมนี
 
    
ถึงขั้น ลูคัส เลวา ได้เป็นกัปตันทีมก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้วครับ!
    
มองแล้วอาการน่าเป็นห่วง เพราะกว่าตัวหลักจะกลับมากันครบ และพร้อมจริง ๆ อาจจะเป็นช่วงกลาง ส.ค. (ซึ่งก็อาจจะไม่มี เฟอร์นานโด ตอร์เรส อยู่แล้ว) ไปแล้ว 
    
ถ้าจะรอถึงตรงนั้นมันก็อาจจะ Too late เกินไป (อย่าออกเสียงไทยนะครับ ฮ่า) เพราะทีมควรจะพร้อมตั้งแต่ต้น ส.ค. แล้ว ซึ่งก็มีแนวโน้มที่ป๋ารอย จะเรียกตัวเก๋ากลับมากันก่อนกำหนดเพื่อให้ผ่านศึกยูโรป้าไปก่อน
    
แน่นอนว่ามันย่อมมีผลต่อสภาพร่างกายของบรรดาสตาร์ตัวหลักในระยะยาว แต่ ฮอดจ์สัน ก็คงไม่มีทางเลือกครับ ใครพอฝืนได้ก็ต้องฝืนไปก่อน แล้วรอจังหวะไปตบ ๆ ให้มันเข้าที่อีกครั้งอย่างจริงจังในช่วงหลังจากนี้
    
ส่วนบ้านเราปีนี้มีแขกมาเยือน 1 ทีมครับคือ “ตราหมี” แอตเลติโก มาดริด ดีกรีแชมป์ยูโรป้า ลีก ซึ่งน่าจะเป็นหนแรก ๆ ที่ได้มาเยือนเอเชีย โดยจะลงสนามพบกับทีม “ออลสตาร์ ไทยลีก” ในวันอาทิตย์นี้
    
ถึงจะไม่ใช่ทีมระดับ “แม่เหล็ก” เหมือนสโมสรยักษ์ใหญ่ และก็ไม่ได้มีสตาร์มากันครบครัน แต่ถ้าใครว่างก็น่าจะไปลองดูครับ
    
อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่มีอะไรให้ดูเลยในปีแห่งความเงียบเหงาที่ไม่มีทีมใหญ่มาทัวร์เอเชียแบบนี้ครับ.

ณัฐวุฒิ ประเทืองศิลป์


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์