อยู่ที่หงส์

 


หงส์จะเอาหรือเปล่า ? นี่เป็นคำถามที่ดังกระหึ่มไปทั่วเกาะอังกฤษ รวมถึงประเทศไทย และทั่วทุกชาติบนโลกใบนี้ที่ “เครซี่” ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ โดยที่มาที่ไปของคำถามนี้ก็อย่างที่ทราบกันครับว่า เกิดจากสถานการณ์ในการขับเคี่ยวลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกที่กำลังเดินทางมาถึงจุด “ไคลแมกซ์” อยู่ในเวลานี้
   
ลำพังแค่เรานั่งลุ้น 2 ทีมที่ดีที่สุดในอังกฤษเวลานี้อย่าง เชลซี และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขับเคี่ยวกันว่าใครจะเข้าป้ายในฐานะอันดับ 1 ก็สนุกมากเกินพออยู่แล้ว
   
แต่เมื่อมีตัวแปรที่มีชื่อว่า “หงส์แดง”   ลิเวอร์พูล มาเอี่ยวในซีนด้วย ประเด็นมันยิ่งขยายใหญ่โตมากขึ้นจนกลายเป็น Talk of the Town ในที่สุด
   
ก่อนจะลงลึกในรายละเอียด ต้องทราบสถานการณ์ก่อนครับว่าขณะนี้ “สิงโตน้ำเงินคราม” และ “ผีแดง” มีแต้มห่างกันอยู่เพียง 1 แต้มเท่านั้น (80 และ 79 แต้ม) โดยที่มีโปรแกรมการแข่งขันเหลืออีกทีมละ 2 นัดก็จะจบฤดูกาล
   
มองกันอย่างหยาบ ๆ เชลซี ย่อมมีโอกาสมากกว่าในการคว้าแชมป์ เพราะหากชนะ 2 นัดที่เหลือ พวกเขาก็จะได้แชมป์ไปครองแน่นอน โดยที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังต้องคอยแช่งอยู่
   
แต่ในความเป็นจริง มันกลับเป็นในทางตรงกันข้ามครับ เพราะดูเหมือนจะเป็น เชลซี ที่ต้องคอยแช่ง “ผีแดง” ให้มีโอกาสสะดุดพลาดบ้างจาก 2 นัดที่เหลือของฤดูกาลในเกมกับ ซัน  เดอร์แลนด์ และ สโตค
   
เหตุผลก็เพราะ เชลซี มีโปรแกรมหนักในการไปเยือนแอนฟิลด์ของทีม “หงส์แดง” นี่แหละครับ
   
ยามปกติแล้ว คู่ระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ เชลซี ก็ไม่ได้ถือว่า “กินเส้น” กันนัก โดยเฉพาะในช่วง 5-6 ปีหลังที่มีคดีความกันมาตลอดไม่ว่าจะใน หรือนอกสนาม เรียกว่าเจอกันครั้งใดก็ใส่กันดุเดือดไปเสียทุกครั้ง
   
แต่กับครั้งนี้ที่มีประเด็นอ่อนไหวทางความรู้สึกที่ว่า หากเกมนี้ที่แอนฟิลด์จบลงด้วยชัยชนะหรือผลเสมอของ ลิเวอร์พูล นั่นอาจหมายถึงการยื่นแชมป์ให้กับคู่ปรับตลอดกาลที่   ไม่กินเส้นกันยิ่งกว่าอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด
   
และที่อ่อนไหวมากกว่านั้นคือ หากเป็นเช่นนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ก็มีโอกาสคว้าแชมป์   ลีกสูงสุดสมัยที่ 19 อันหมายถึงการยุติความภูมิใจของเหล่า เดอะ ค็อป ที่เป็นน้ำหล่อเลี้ยง   ชะโลมใจในวันที่ตกต่ำมาตลอดว่าพวกเขาเป็นทีม “อันดับหนึ่ง” ของอังกฤษ
   
ทำใจลำบาก - นี่เป็นสภาพของ ลิเวอร์พูล ที่ถูกมองในเวลานี้ครับ
   
นี่จึงเป็นที่มาของคำถามว่าหงส์จะ “เอา” หรือจะ “ยอม” ในเกมกับ เชลซี โดยที่อย่าลืมว่าตัวเองก็ยังต้องพยายามเต็มที่เพื่อที่จะรักษาพื้นที่ในการไปเล่นฟุตบอลสโมสรยุโรปให้ได้ ไม่ว่าจะเป็น แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่เลือนราง หรือยูโรป้า ลีก ที่น่าหนักใจ
   
เรื่องนี้ทำให้คิดถึง “เรื่องเก่า” ขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจครับ
   
ย้อนกลับไปในนัดสุดท้ายของพรีเมียร์   ลีก ฤดูกาล 1994-95 ที่ ลิเวอร์พูล ต้องรับมือกับ “กุหลาบเพลิง” แบล็กเบิร์น โรเวอร์ส ที่มีวีรบุรุษแอนฟิลด์อย่าง “คิง” เคนนี่ ดัลกลิช มาเยือน โดยที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็หวังให้  ลิเวอร์พูล ช่วยหยุดยั้งให้เหมือนในครั้งนี้
   
คำถามนั้นมีเหมือนกันเป๊ะครับ หงส์จะเอาหรือจะยอมกันแน่?
   
ในครั้งนั้น ลิเวอร์พูล ยุคของ รอยอีแวนส์ เลือกที่จะสยบทุกกระแสวิจารณ์ด้วยการเล่นอย่างเต็มที่ และสามารถเอาชนะ แบล็ก   เบิร์น ได้อย่างน่าประทับใจโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง หรือกลัวจะเสียใจทีหลังหากต้องทนเห็น แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ได้
   
นี่คือ “วิถีมืออาชีพ” ของจริงครับ และ ลิเวอร์พูล ก็ได้รับเสียงชื่นชมอย่างมากในครั้งนั้น
   
ที่ได้เฮยิ่งกว่านั้นก็คือถึง แบล็กเบิร์น จะพลาดแพ้ หงส์ แต่ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็พลาดไม่ชนะ เวสต์แฮม เหมือนกันอันนำมาซึ่งทีมของ แจ็ค วอล์คเกอร์ ได้แชมป์ลีกสูงสุดสมัยแรก และสมัยเดียวไปครองก่อนที่เราจะได้เห็นภาพน่าประทับใจที่เดอะ ค็อป ได้ร่วมฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีกของ เคนนี่ ดัลกลิช ราวกับพวกเขาคว้าแชมป์เสียเอง
   
สำหรับครั้งนี้ แม้จะมีเงื่อนไขพิเศษเรื่องสถานะความเป็นอันดับหนึ่งตลอดกาลที่ส่อแวว   จะเสียไป แต่ผมก็อยากจะให้ความมั่นใจในฐานะแฟนหงส์ครับว่าเกมนี้ไม่น่ามี “ซูเอี๋ย” ให้เสียหายแน่
   
เพราะนอกเหนือจากประเด็นเรื่องของความเป็นมืออาชีพแล้ว อย่าลืมว่านี่เป็นเกม “สุดท้าย” ที่ ลิเวอร์พูล จะได้เล่นในแอน ฟิลด์ ในฤดูกาลนี้
   
ตามธรรมเนียมของฟุตบอลอาชีพนั้น เกมสุดท้ายที่จะลงเล่นต่อหน้าแฟนบอลไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ต้องพยายามเล่นให้เต็มที่เพื่อตอบแทนแฟน ๆ ที่เข้ามาให้กำลังใจในสนามกันตลอดทั้งฤดูกาล
   
โดยหลังจบเกมก็จะต้องมี Lap of Honor หรือการที่นักเตะ ผู้จัดการทีม และสตาฟฟ์โค้ชเดินขอบคุณแฟน ๆ ทั่วสนาม ใครมีครอบครัวก็จะพาครอบครัวมาเดินขอบคุณด้วยกัน ใครที่จะย้ายทีมก็จะมีฉากซึ้งให้เห็น
   
เป็นภาพที่น่าประทับใจอย่างยิ่งครับ
   
อีกประเด็นที่ทำให้ ลิเวอร์พูล จะต้องเต็มที่ก็อย่างที่บอกครับว่าพวกเขายังมีเป้าหมายให้ไขว่คว้าอยู่ในการไปเล่นสโมสรยุโรป
   
อย่างไรก็ดี เขียนแบบนี้ก็ไม่ได้แปลว่า เชลซี จะไม่มีปัญญาบุกมาเอาชนะที่แอนฟิลด์ ได้นะครับ
   
ในทางตรงกันข้าม ในภาพรวมแล้วผมกลับมองว่าทีมจากลอนดอนมีโอกาสดีไม่น้อยที่จะบุกมาเก็บ 3 แต้มได้
   
ประเด็นหนึ่งก็คือ ลิเวอร์พูล สภาพทีมไม่พร้อมไม่ว่าจะในเกมรับ ดาเนียล แอกเกอร์ ต้องโดนโยกไปยืนแบ๊กซ้าย ขณะที่กองหน้าการขาด เฟอร์นานโด ตอร์ เรส ทำให้ประสิทธิภาพลดลงไปมาก อีกทั้งยังเพิ่งจะผ่านเกมสำคัญในศึก   ยูโรป้า ลีก กับ แอตเลติโก มาดริด
        
ความอ่อนล้า ความบอบช้ำจึงมีมากกว่า
      
เชลซี ฟอร์มไม่ธรรมดาด้วยครับ แม้จะมีหลุดไปบ้างในเกมกับ สเปอร์ แต่การถล่ม สโตค 7-0 นั้นน่าจะเรียกความมั่นใจกลับคืนมาได้ทั้งหมด และเมื่อคิด    ถึงองค์ประกอบโดยรวมกับความปรารถนาที่จะคว้าแชมป์ เพราะทุกอย่างยังถือว่า “อยู่ในมือ” แบบนี้ผมเชื่อว่าสิงห์บลูส์ก็คงไม่ยอมง่าย ๆ เหมือนกัน
   
เพราะถ้าผ่านนัดนี้ได้ก็แทบจะเป็นการการันตีแชมป์ทางอ้อมครับ และไม่ต้องไปสนใจ แมนฯยูไนเต็ด ที่โปรแกรมง่ายกว่าใน 2 นัดที่เหลือ (ซันเดอร์แลนด์-สโตค)
   
ก็ต้องคอยจับตาดูกันครับสำหรับเกมนี้
   
ยังมีอีกคู่ที่อยากให้ลุ้นดูกันก็คือเกมลุ้น  ชิงพื้นที่แชมเปี้ยนส์ ลีก ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี กับ แอสตัน วิลลา ที่จะวัดกันในวันเสาร์ โดยเกมนี้ทั้งสองทีมไม่มีทางเลือกนอกจากชัยชนะสถานเดียว โดยมี สเปอร์ ที่จะลงเล่นกับ โบลตัน รอดูสถานการณ์
   
สนุกแน่ครับสองเกมนี้ ผมเชื่อว่าเราน่าจะได้ดูเกมคุณภาพดีทั้งที่ ซิตี ออฟ แมนเชสเตอร์ หรือแอนฟิลด์ ซึ่ง ทรูสปอร์ต ถ่ายทอดสดทั้งสองคู่ในวันเสาร์ 1 พ.ค. เวลา 21.00 น. และวันอาทิตย์ที่ 2 พ.ค. 19.30 น. ตามลำดับ
   
ห้ามพลาด ! นะครับ กับโอกาสจับตาดูพฤติกรรมหงส์ และอัพเดทการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้.
 


ขอบคุณเนื้อข่าวดีๆ จาก เดลินิวส์

แล้วเราจะได้เห็นกัน ว่าหงส์จะแสดงความเป็นมืออาชีพได้หรือปล่าว ผมในฐานะแฟนผีคนนึงก็ไม่ขอไรมากก็แค่อยากให้หงส์ เล่นเต็มที่ขอให้เป็นเกมส์ที่สนุกตื่นเต้น ถึงแม้ว่าหากทีมคุณแพ้ผมจะไม่โทษเลย ถ้าหากสิ่งที่คุณทำ นั้นเต็มความสามารถแล้ว  อีกอย่างใช่ว่า แมนยูจะชนะซันเดอร์แลนด์ได้ซะหน่อย จริงมะ


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์