ยกนี้..เพื่อแชมป์

เจี๊ยบ เคเอฟซี vs Petrboat
''ยกนี้..เพื่อแชมป์''
 

ผมกับน้อง Petrboat
เคยร่ายบทความคู่กันมาแล้วครั้งหนึ่งครับ...
เมื่อครั้งเชลซีเปิดบ้านรับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดยกแรกเมื่อปีที่แล้ว

แม้หนุ่มน้อยหน้าใสใจรักกีต้าร์ จะยกมือประกาศว่า ขอวางมือจากบทความชั่วคราว... แต่เราสัญญากันไว้แล้วครับ ว่า บทความคู่ ชิ้นนี้ ต้องคลอดออกมาอีกครั้งให้ได้ !!!

ยูไนเต็ดและเชลซี เผชิญหน้ากันในโค้งสุดท้าย... เจ้าถิ่นนำอยู่หนึ่งแต้ม แต่ไร้ร่องรอยของหอกสามง่ามอย่างเวย์น รูนี่ย์

มันเป็นเกมแห่งฤดูกาล และอาจเป็นเกมแห่งความทรงจำ

ผู้ชนะอาจถือถ้วยแชมป์ในบั้นปลาย และผู้แพ้ในเกมนี้ อาจต้องหลั่งน้ำตาด้วยความเจ็บใจก็ได้

หากแต่ไฟต์นี้ ฝ่ายแดงกับฝ่ายน้ำเงิน ใครจะได้ชูกำปั้นขึ้นฟ้าในบั้นปลาย...

สุดแต่ฟ้ากำหนดครับ...
 


[มุมแดง] ปลุกมนต์ขลังแห่งโรงละคร

บางที เพราะดูเหมือนว่านานเกินไป เลยทำให้เกิดความคิดที่ว่า ผลัดไปเรื่อย ผลัดไปเรื่อย

ท้ายสุดแล้วความ ขี้เกียจเขียน ซบอิงอกกลายเป็นเหมือนอนงค์นางคู่รักของผมซะฉิบ... ว่าจะเขียนบทความหลังเกม แดงเดือด ก็ข้าม... ครั้นจะปลุกเร้าโหมโรงก่อนเกม และตัดพ้อหลังเกมส์กับ เสือใต้ ก็กลายเป็นแค่หมอกควัน เหตุคือผมต้องไปฝึกงานกับนิตยสารเล่มหนึ่ง ทั้งยังลงเรียนซัมเมอร์ไว้อีกหนึ่งตัว เวลาที่เหลือของผมจึงเหลือแทบไม่ถึงก้นแก้ว
 


 








กระนั้นผมได้สัญญากับน้อง Petrboat ไว้แล้วว่าจะเขียนบทความนี้ร่วมกันใน Theme มุมแดง vs มุมน้ำเงิน โดยมีหลากเรื่องหลากราวของสโมสรสองสีที่เป็นอริเชือดเฉือนไล่ล่าแชมป์เป็น ตัวดำเนินเรื่อง

เรื่องราวของสองสีตัดกันอย่างชัดเจนครับ และจะต้องมีหนึ่งสี ทำหน้าที่เป็นริบบิ้นผูกเสริมความสง่าให้กับถ้วยบาร์เคลย์ส พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้

โมเมนตั้มพร้อมใจกันสั่นหัวพร้อมเบือนหน้าหนี ปีศาจแดง ทันทีที่หน้าอกอันเปลือยเปล่าของอิวิก้า โอลิช และขาขวาของเวย์น รูนี่ย์ ถูกฉายฉาดไปยังโทรทัศน์ทั่วโลก

สารภาพอย่างเปิดอกว่าวินาทีที่ดาวยิงร่างอวบยกเท้าวอลเลย์เสยเพดานตาข่าย ผมปรารภกับเพื่อนหน้าเปื้อนยิ้ม เฮ่ยมึง..เข้ารอบชัวร์ว่ะแบบนี้

กระนั้นนี่คือฟุตบอลครับ... ผมชอบมองฟุตบอลในมุมของสัจธรรมโลก... เปรียบให้กว้างขึ้น ผมว่าฟุตบอลก็เปรียบเสมือนโลกใบหนึ่ง

โลกที่ไม่มีอะไรแน่นอน ทุกสิ่งอุบัติขึ้นได้อย่างไม่คาดฝันด้วยนิสัยเอาแต่ใจ บางทีไม่มีเสียงกระซิบแผ่วเบาของคำเตือนด้วยซ้ำ

หมุนเข็มนาฬิกาย้อนกลับไปยังปี 1999 หากโลกไม่ทารุณการเต้นของหัวใจคนมากเกินไป... โลธ่าร์ มัทเธอุส คงได้ชุ่มฉ่ำกับฟองแชมเปญไปแล้ว

เวสต์แฮม ยูไนเต็ด คงได้สราญกับแชมป์เอฟ เอ คัพในปี 2005... โดยที่พวกเขาคงไม่อยากนึกย้อนว่าสตีเฟ่น เจอร์ราร์ด ทำอะไรเอาไว้ในนาทีสุดท้ายของเกม

ฉะนั้นก็อาจกล่าวได้ว่า เสน่ห์ของฟุตบอลเปรียบเสมือนการชมภาพยนตร์... บางเรื่องหวานเลี่ยน บางเรื่องระทึกใจ และบางเรื่องบอกเล่าเรื่องราวชีวิต

ปีศาจแดง เหมือนตัวละครที่ถูกขย้ำคอตอนจบอย่างหักมุม ทั้งๆที่ใกล้พิชิตศัตรูได้แล้ว แถมยังโดนปืนยิงเข้าที่ ขาขวาอวบๆ จนต้องเดินเป๋ไปข้างอีกต่างหาก

กระนั้นภาคต่อถูกโปรโมตให้ต้องติดตาม... วันพุธหน้าฟ้าจะพิพากษาที่โรงละครแห่งความฝันว่า ใครจะสมควรรุดหน้าเข้าไปเจอหนึ่งในสองทีมจากฝรั่งเศส

นี่คือถ้วยบิ๊กเอียร์หูกางที่ใครๆก็หมายปอง แต่กระนั้นยูไนเต็ดจะลืมอีกโทรฟี่หนึ่งที่สำคัญที่สุดไม่ได้ !!!

มันสำคัญที่สุดในปีนี้... สำคัญจนเหล่าแมนคูเนี่ยนรู้ดีว่ามันคือ แชมป์ประวัติศาสตร์

ยูไนเต็ดจะเปิดบริสุทธิ์ให้แก่ประวัติศาสตร์ว่าเป็นทีมแรกที่คว้าแชมป์ 4 สมัยซ้อน และจะทำให้เหล่า หงส์แดง ไม่มีสิทธิ์เรียกตัวเองว่า ราชันย์ตลอดกาลแห่งอังกฤษ อีก
 












แต่ด่านแรกที่พวกเขาต้องประหัตประหารในเกมวันพรุ่งคือ เชลซี... มันเป็นเกมแห่งฤดูกาล และมันทดสอบความแข็งแกร่งของเหล่าปีศาจอย่างแท้จริง

หลังจากเพลียมาตั้งแต่โบลตัน ... ยูไนเต็ดพักเพียงแค่ 3 วันก่อนลอยฟ้าไปถูก เสือใต้ ข่วนถลอกมาเมื่อวันอังคาร และได้พักมาแล้ว 3 วันก่อนเกมวันพรุ่ง

ขณะที่ สิงห์ลอนดอน ได้ผ่อนคลายสบายอุราเต็มๆ 7 วัน....

นี่คือข้อได้เปรียบหนึ่งข้อ

การขาดเวย์น รูนี่ย์ เป็นสิ่งที่ยูไนเต็ดต้องสะพรึง... ใช่ครับเป็นเรื่องจริง แต่นี่คือโจทย์ที่ท้าทายที่สุดของบรมครูอย่างเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

เขาจะผ่านมันไปได้อย่างไร...

เฟอร์กี้เคยแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าแล้วหลายหน มีบางครั้งที่พลาดถูกแทงจนพ่ายแพ้ยับเพราะขาดตัวหลักตัวสำคัญไปมากจริงๆ

ถูกเอซี มิลานยุคผีกาก้าชำเราถึง 2 ลูกในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เพราะคู่กองหลังตอนนั้นเป็นกาเบรียล ไอน์เซ่ และเวส บราวน์ และโปรดนึกย้อนไปยังเกมผี เสียสุนัข ให้ฟูแล่ม 0-3 ในรังกระท่อม น่าจะจำได้กันว่าคู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟของยูไนเต็ดคือใคร ??

ดาร์เรน เฟล็ตเชอร์ และ ไมเคิ่ล คาร์ริค !!!!

ในการศึกลูกหนัง... เกมรับและกองหลังสำคัญยิ่งกว่าใคร... แม้เชลซีจะโห่ร้องก้องลอนดอนเมื่อดิดิเย่ร์ ดร็อกบาผ่านความฟิต แต่สิ่งที่พวกเขาต้องเดินทางไปพบที่โรงละครแห่งความฝัน... คือกองหลังแบบเกือบฟูลทีม

ขาดเพียงเวส บราวน์ คนเดียวเท่านั้น... น่าเสียดายครับ... สถานการณ์ขณะนี้จำเป็นต้องใช้หนุ่มเวสลี่ย์อย่างยิ่ง เพราะแกรี่ เนวิลล์เก๋าในเกมใหญ่จริง แต่ความเชื่องช้ายังเป็นอุปสรรคตัวสำคัญ

แฟนผีน่าจะเสียวสันหลังวาบเมื่อนึกสภาพว่าเขาจะรับมือกับฟลอร็องต์ มาลูด้าอย่างไร...

กระนั้นในส่วนอื่นๆ ยังคงพร้อมหน้า... วิดิชเร่งรุดจับคู่ริโอ เฟอร์ดินานด์ ขณะที่ปาทริซ เอวร่า เตรียมยืนตระหง่านทางฝั่งซ้าย

ด้วยแผนแบบเหลี่ยมเพชร... แบ็กเลือดเฟร้นช์น่าจะไม่เจองานหนักมากนักเมื่อต้องดวลกับเปาโล แฟร์เรยร่า ที่ร้างสนามไปนาน เว้นแต่ โจ โคล จะถูกส่งลงมาเพื่อใช้ความเร็วพิฆาตเท่านั้น

ข่าวดีเล็กๆยังโชยมาเข้าหูแฟนผีอีก เมื่อจอห์น โอเช อาจมีชื่อเป็นตัวสำรองในเกมวันพรุ่ง(เช่นเดียวกับโอเว่น ฮาร์กรีฟส์)

ทราบกันดีครับว่า จับฉ่าย มีค่า work rate หรือการทำตามแท็กติกของโค้ชดีมาก ซึ่งจะสร้างประโยชน์ให้กับยูไนเต็ดได้แน่

กรุณาโฟกัสไปที่แผงกลาง ซึ่งเป็นอาณาบริเวณที่สำคัญที่สุด ในการต่อกรกับรองจ่าฝูงวันพรุ่งนี้

ไมเคิ่ล คาร์ริค และดาร์เรน เฟล็ตเชอร์ น่าจะจับจองสองพื้นที่ไว้เรียบร้อย... มดงานอย่างพาร์ค ชี ซอง ผงกหัวรับกับโปรเจ็กต์ยักษ์ แต่อยู่ที่ว่า นานี่ , อันโตนิโอ วาเลนเซีย , ไรอัน กิ๊กส์ และพอล สโคลส์ ใครจะเป็นอีกสองคนที่เหลือ

บางทีอาจต้องใช้ประสบการณ์ของแข้งวัยเก๋าคนหนึ่ง ลงช่วยประคองแผงมิดฟิลด์เอาไว้ ไม่ให้รนมากเกินไป ซึ่งเชื่อว่า จอมคนสก็อตต์จะจิ้มนิ้วไปที่ชื่อของ กิ๊กซี่ 11
 










เหล่ามิดฟิลด์ผู้กล้าทั้ง 5 จะต้องประลองยุทธ์กับจอห์น โอบี มิเกล , มิชาเอล บัลลัค หรือ เดโก้ หรือ โจ โคล , ฟลอร็องต์ มาลูด้า และแฟร้งค์ แลมพาร์ด

ขึ้นอยู่กับจังหวะจะโคนในเกม แต่เชื่อว่าก็จะเป็น สิงห์บลูส์ ทีมเยือน ที่จะครองเกมได้มากกว่าเป็นส่วนใหญ่ แต่หากเหล่าปีศาจตัดบอลไปรุกได้ จะทำเกมสร้างโอกาสเพื่อเป็นประตูได้หรือไม่ เมื่อไม่มีเวย์น รูนี่ย์

หมูพลิ้ว เป็นผู้เปลี่ยนจังหวะความเร็วของเกม , เป็นผู้นำในการสวนกลับ และเป็นผู้เปลี่ยนแกนเกมรุกได้อย่างชาญฉลาด

ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ คงทำไม่ได้ขนาดนั้น แต่สิ่งที่เร้ด อาร์มี่คาดหวังคือการครองบอลเพื่อหาจังหวะให้ปีกขึ้นเติมในจังหวะที่ถูก ต้อง... และขอคิลเลอร์พาสสวยๆซักลูกจากเขา

และเมื่อมีโอกาสจบสกอร์ ค่อยลองง้างเท้ายิง

ไม่จำเป็นต้องไปพะบู๊กับจอห์น เทอร์รี่ด้วยตัวเอง ... แฟนผีขอเพียงแค่เบอร์บาตอฟ ใช้สมองให้สัมพันธ์กับเท้า และพอดิบพอดีกับจังหวะที่มีโอกาส แค่นั้นพอ

เฟเดริโก้ มาเคด้า กลับมาเป็นที่กล่าวขานของสื่ออีกครั้ง... เขาอาจมีโอกาสทำได้เหมือนเกมกับวิลล่าเมื่อปีก่อน ส่วนมาเม่ บิรัม ดิยุฟ สากกะเบือฟันขาว แฟนผีคงไม่กล้าคาดหวัง

แน่นอนครับหากมองตามหน้าเสื่อ เหล่าเสื้อน้ำเงินจากลอนดอนเหนือกว่าอย่างชัดเจน กระนั้นอย่าลืมว่าเกมนี้เล่นกันที่ โรงละครแห่งความฝัน !!!

หลังเชลซีเป็นฝ่ายชูกำปั้นในยกแรกที่เดอะ บริดจ์... จำได้ว่าน้อง Petrboat จั่วหัวคอลัมน์หลังเกมไว้ว่า This is Stamford Bridge

ผมรอเวลานี้มา 5 เดือนแล้วครับ... เวลาที่สีแดงและสีน้ำเงินวิ่งเข้าชนกันอีกครั้ง... ผมหวังว่าพลังแห่งเร้ด อาร์มี่ จะกระหึ่มก้องทั่วสนามบ้าง

ยอมรับตามตรงว่าเมื่อวันอังคาร... ได้ฟังเสียงแฟนบาเยิร์น มิวนิค ตะโกนเชียร์ทีมรักแล้วขนลุกซู่อย่างไม่รู้ตัวครับ

อัลลิอันซ์ อารีน่า ทั้งใหญ่และกว้าง แต่เสียงแฟนบอลกังวานอย่างน่าเกรงขาม... ดูแล้วไม่ต่างจากอริหมายเลข 1 ตลอดกาลอย่างเดอะ ค็อปที่มาในเพลง Youll Never Walk Alone ฉบับร้องสดไม่เปิดเสียงดนตรีช่วย

ยูไนเต็ด แพ้ลิเวอร์พูลและบาเยิร์นอย่างราบคาบก็ตรงนี้ล่ะครับ... อาจรวมถึงเชลซีเมื่อเฝ้ารังเดอะ บริดจ์ด้วยก็ได้ เพราะพวกเขาก็ใช้เสียงรวมพลังโอบอุ้มจอห์น เทอร์รี่อย่างเต็มภาคภูมิเช่นกัน

เสียงแฟนบอลยูไนเต็ดไม่กระหึ่มเอาซะเลยครับ... จะดังสนั่นแค่ตอนทีมพังประตูได้เท่านั้น นอกนั้นไม่มีเสียงเพลงคลอเบาๆก็เงียบกริบ...

แต่หากย้อนไปเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว... ในเกมแห่งความทรงจำเกมหนึ่ง เชื่อว่าแฟนยูไนเต็ดคงจำกันได้ครับ... ว่าตัวแทนในสนามช่วยกันปลุกเร้าทีมรักขนาดไหน

นัดนั้น เชลซีของโจเซ่ มูรินโญ่ เดินทางมาเยือนโรงละคร ด้วยสถิติชนะ 8 เสมอ 1 แพ้ 0

และจบลงด้วยรอยยิ้มของเจ้าถิ่น และความสะใจของฮีโร่อย่างดาร์เรน เฟล็ตเชอร์

มันเป็นแมตช์หลังจากที่ยูไนเต็ด บุกไปแพ้มิดเดิลสโบรช์ที่ริเวอร์ไซด์ 1-4 สถานการณ์ย่ำแย่สุดขีด นักเตะในแคมป์ 5 คนถูกรอย คีนวิจารณ์ออกสื่ออย่างเหลืออด สุดท้ายกับปตันชาวไอริชถูกริบปลอกแขน และสะบั้นรักกับ ปีศาจแดง อย่างไม่คาดฝัน 
 












และในวันนั้น ผมจำได้ ผมรู้สึกว่าแฟนยูไนเต็ด โก่งคอส่งเสียงร้องกันดังที่สุด

หากบุคลากรของยูไนเต็ดทำงานอย่างเต็มที่ ทั้งนักเตะในสนาม การวางแผนของกุนซือ และแฟนบอลซึ่งเปรียบเสมือนผู้เล่นคนที่ 12... จนคว้าชัยชนะมาได้

เมื่อนั้นล่ะครับ เหล่าเร้ด อาร์มี่ทั่วโลกจะได้พร้อมใจกู่ร้องอย่างเต็มปากเต็มคำด้วยการเอาคืนด้วย ประโยคแบบเดียวกันครับ...

This Is Old Trafford !!!!

และหากยูไนเต็ดชนะ ประโยคนี้จะเป็นจั่วหัวคอลัมน์ของผม... เหมือนที่เจ้าโบ๊ทเคยทำเอาไว้เมื่อเดือนพฤศจิกายนอย่างแน่นอน !!!


ขอขอบคุณ
เจี๊ยบ เคเอฟซี


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์