ยกระดับเข้มแดงเดือด โดย เปเรมี่

วันอาทิตย์ที่จะถึงนี้เป็นดีเดย์สำหรับศึกแดงเดือด 179 ซึ่งทั้ง แมนฯ ยูไนเต็ด และ ลิเวอร์พูล ต่างหวังว่าชัยชนะโดยชอบธรรมครั้งนี้ จะทำให้พวกเขาบรรลุยังเป้าหมายในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล





การป้องกันบัลลังก์พรีเมียร์ลีก คือ ความฝันของฝั่ง ปีศาจแดง ขณะที่ หงส์แดง อันดับ 4 และโควตาตะลุยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้ายให้ยึดเหนี่ยว เมื่อพ่นลมหายใจเข้า-ออก
จินตนาการถึง พรีเมียร์ลีก 2009/10
 



แต่การขัดขวางไม่ให้ ยูไนเต็ด เถลิงแชมป์ลีกสมัย 19 ก่อนพวกตัวเอง ก็ถือความสำเร็จขนาดย่อมๆของสาวก เดอะ ค็อป
 


ความปราชัย 3 นัดซ้อนๆต่ออริร้ายอย่าง ลิเวอร์พูล เป็นเรื่องต้องห้ามที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยอมไม่ได้แน่ หากมันดันมาเกิดขึ้นรวดเป็นหนที่ 4 
 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งแข้งอสูรกำลังอยู่ในฟอร์มร้อนฉ่าเข้าฝักกอบโกยชัยชนะ 5 แมตช์ติดต่อกัน แถมทรัพยากรในมือก็ถือว่าลงตัวแกร่งทั่วแผ่น เมื่อได้ ริโอ เฟอร์ดินานด์ กับ เนมานย่า วิดิช คัมแบ็กลงผนึกกำลังเป็นเซนเตอร์ฮาล์ฟคู่กัน และช่วย เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ จบเกมแบบบริสุทธิ์ผุดผ่องไม่ต้องสังเวยประตูให้กับคู่แข่ง
 


หลังบ้านเหนียวแน่นมั่นคงเป็นรากฐานอันแข็งแกร่งที่ช่วยให้กลยุทธโซนอื่นๆของ เซอร์ อเล็กซ์ ดำเนินต่อไปได้อย่างทรงประสิทธิภาพ และสิ่งสำคัญคือมันดันมาลงตัวโป๊ะเชะตอนไคลแมกซ์ของซีซั่นพอดีเป๊ะ
 


เวย์น รูนี่ย์ สามารถปลดแอกวันหงอยๆเวลาลงเผชิญหน้ากับคู่แข่งชั้นบิ๊กโฟร์ในฤดูกาลนี้ เริ่มจากลีลาทะลวงประตูเชลซีในคอมมิวนิตี้ชิลด์ ต่อด้วยการซัดอาร์เซน่อลแบบไป-กลับ รวมถึงหนึ่งในสามผลงานชิ้นโบแดงที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ตอนนำทัพอสูรบุกไปย่ำยีถึงเมืองหลวง
 


ส่วนวีรกรรมในแดงเดือดที่แล้วมานั้น รูน เพิ่งจารึกบนสกอร์บอร์ดแค่หนเดียว เมื่อครั้งกระทุ้งบอลลอดตัวตัว เจอร์ซี่ย์ ดูเด็ค เป็นประตูโทนของเกมที่แอนฟิลด์ ช่วงต้นปี 2005 โดยภาพแท็กทีมกับ โรนัลโด้ เข้าไปขอเสียงแฟนหงส์ถึงหน้าสแตนด์ ถือเป็นแอ็กชั่นสุดกวนโอ๊ยและได้ปลดปล่อยสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจมานาน  
 


Once a Blue, always a Blue. เป็นนิยามเฉพาะตัวของ รูนี่ย์ ที่ยืนยันได้ดีถึงสายเลือดน้ำเงินเข้มข้นตามแบบฉบับเอฟเวอร์โตเนียน และคงไม่มีอะไรจะเป็นเรื่องแฮปปี้  สำหรับเจ้าตัวเท่ากับการหยิบยื่นหายนะให้กับสโมสรที่สุดเกลียดชังอย่าง ลิเวอร์พูล อีกแล้ว
 


ไม่ว่า เฟอร์กี้ จะจัดหมากหอกเดี่ยวหรือหน้าคู่ - บิดาของน้องหนู ไค คือหนึ่งในเป้าสายตาของเกมอย่างไม่ต้องสงสัย ในฐานะตัวความหวังสูงสุดของแฟนผี และผู้นำดาวซัลโวสูงสุดพรีเมียร์ลีก ที่เต็มไปด้วยสถิติร้อนแรงฉกาจฉกรรจ์
 


ถึงตรงนี้ค่อนข้างมั่นใจลึกๆว่า แมนฯ ยูไนเต็ด คงยึดแท็คติกเดียวกับที่เคยทะลวงมิลานเละเทะ มาใช้ต้อนรับพลพรรคหงส์แดง โดยตามตำแหน่ง รูน จะปลักหลักเป็นศูนย์หน้าตัวเป้า แต่คงไม่เดียวดาย เพราะยังมีกองกำลังสนับสนุนจากแถวสองพร้อมสอดขึ้นมาป้วนเปี้ยนในฐานที่มั่นของอาคันตุกะ  
 


อีกประเด็นน่าสนใจก็คือ พาร์ค ชี-ซอง ที่ตามกัด อันเดรีย ปีร์โล่ จนหมดสิทธิ์แผลงฤทธิ์ จะได้โชว์บทบาทตั้งแต่ออกสตาร์ตเลยมั้ย ??? ในเมื่อ ไมเคิ่ล คาร์ริค พร้อมลงปักหลักบนแผงมิดฟิลด์เคียงข้างกับ ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์ และ พอล สโคลส์ หลังจากติดโทษแบนในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก ล่าสุด
 


ด้วยแนวคิดเดียวกัน บางทีฟอร์มเข้าตาในการก่อกวนจอมทัพมิลาน อาจส่งผลให้ พาร์ค ได้รับมอบหมายภารกิจไล่ล่า สตีเว่น เจอร์ราร์ด กัปตันลิเวอร์พูลในวันอาทิตย์นี้ โดยรูปทรงของแผงมิดฟิลด์อาจพลิกโฉมไปเหมือนแมตช์ที่ซาน ซิโร่  ซึ่ง เฟล็ทเชอร์ โดนโยกเอียงมาเน้นหนักตรงข้างซ้ายมากกว่าเดิม
 


11 ตัวจริงของ ยูไนเต็ด ชุดสู้แดงเดือด 179 วันอาทิตย์นี้ ตามมุมมองของผม คงไม่มีอะไรพิสดาร และหน้าตาคงออกมาประมาณนี้ : เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์  เป็นนายด่านสุดท้ายอย่างไม่ต้องสงสัย แบ็กขวากัปตันทีม แกรี่ เนวิลล์ ผู้เกลียดสเกาเซอร์เข้าไส้ คู่ควรกับการลงเล่นในเกมสำคัญอย่างนี้ เพราะนอกจากอารมณ์ร่วมจะเปี่ยมล้นแล้ว ฟอร์มบวกสภาพร่างกายระยะหลังก็อยู่ในเกณฑ์น่าพอใจ จนถึงขั้นมีข่าวเกี่ยวดองกับทีมชาติอังกฤษ ส่วนอีกสามหน่อที่เหลือในแผงแบ็กโฟว์คงเป็นใครไม่ได้นอกจาก เฟอร์ดินานด์, วิดิช และ ปาทริซ เอวร่า
 


แดนกลาง คาร์ริค, สโคลซี่ และ เฟล็ทช์ เป็นห้องเครื่องที่ดีที่สุดของชุดปัจจุบัน ขณะที่แนวรุก พาร์ค, นานี่ และ อันโตนิโอ วาเลนเซีย ต้องมีหนึ่งคนที่นั่งสำรอง โดยเช็กเรตติ้งล่าสุดแล้วสองรายแรกมีภาษีดีกว่าปีกเอกวาดอร์เล็กน้อย
 


42 ประตูของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เมื่อ 2 ซีซั่นที่แล้ว กำลังโดนท้าทายด้วยลีลาสังหารเข้าฝักของ รูนี่ย์ ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเม็ดที่ 33 ของฤดูกาล มันจะเกิดขึ้นในแดงเดือดอาทิตย์นี้ 
 


4 ครั้งหลังที่ แข้งผี ยกพวกโซ้ยกับ หงส์ มีใบแดงเรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดอยู่ตลอด โดยฝั่งที่โดนตะเพิดล้วนตกเป็นผู้พ่ายแพ้เรียบวุธ เริ่มจากวีรกรรมปากมากเกินความจำเป็นของ ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ 
 


ต่อด้วยการเหมาแฮตทริกแดง 3 ไฟต์ติดของ เนมานย่า วิดิช หนึ่งบุคคลระดับวีไอพีที่คงโดนพาดพิงถึงถี่ยิบเกี่ยวเรื่องนี้  เพราะถ้าคราวนี้ดวงแตกอีก มันจะกลายเป็นตลกร้ายลึกล้ำ ที่เจ้าตัวเองคงนึกภาพไม่ออกว่าจะแหกปากหัวเราะหรือปล่อยโฮร้องไห้กันดี 
 


เพลิงแค้นตลอด 3 หนหลังคือเงื่อนไขบังคับ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องเช็กบิลศัตรูหมายเลขหนึ่งในวันอาทิตย์นี้ให้ได้ และประเด็นหลักไม่ใช่แค่เรื่องศักดิ์ศรีใหญ่โตแห่งแดงเดือด
 


ทว่ามันมีหมายความเลอค่าประหนึ่งสปริงบอร์ดให้แข้งผีแดงก้าวกระโดดแซงหน้าโคตรบอลรุ่นดึกดำบรรพ์ ในฐานะสโมสรที่กวาดแชมป์ลีกของอังกฤษมากสุด แต่เพียงผู้เดียว   

 


*เปริมี่*



เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์