10 แข้งตำนานลูกหนังสโมสรโลก

src=http://www.siamsport.co.th/_ImagesColumn/101229I7U90560.jpg



     การแข่งขันฟุตบอลฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ หรือฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 2010 เสร็จสิ้นลงไปแล้ว และเป็น อินเตอร์ มิลาน ยอดทีมลีกมะกะโรนี เจ้าของตำแหน่งแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก จัดการสอยถ้วยใบนี้ไปครอง จะว่าไปแล้วช่วงที่ผ่านมา ไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นยอดนักเตะกำเนิดในรายการนี้เลยจริงๆ ยิ่งหากย้อนเวลากลับไปแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะฟุตบอลสมัยใหม่ เน้นการเล่นเป็นทีมมากกว่านักเตะประเภทข้ามาคนเดียว สัปดาห์นี้ลองมาดูกันหน่อยว่า มีสตาร์ระดับโลกคนไหนที่ได้แจ้งเกิดในรายการนี้บ้าง



10) แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด (เอซี มิลาน 1990)
            ไรจ์การ์ด เป็นอดีตหนึ่งในสามทหารเสือดัตช์ ร่วมกับ มาร์โก แวน บาสเท่น หัวหอกพรายกระซิบ และ เจ้างูเก็งก็อง รุด กุลลิท ของ ปีศาจแดง-ดำ ในช่วงปลายยุค 80 จนถึงต้นยุค 90 ที่สำคัญในปี 1990 ไรจ์การ์ด สร้างความทรงจำไว้กับสาวก รอสโซเนรี่ มากมาย เขายิงประตูในรอบชิงชนะเลิศ ศึกยูโรเปี้ยน คัพ ก่อนที่จะตะบันสองตุงในชัยชนะเหนือ โอลิมเปีย เกมลูกหนังชิงแชมป์สโมสรโลก ประตูแรกได้จากจังหวะที่ กุลลิท โยนอย่างแม่นยำทางกราบซ้ายและ ไรจ์การ์ด โขลกเต็มกบาล ส่วนอีกลูกก็เป็นจังหวะโหม่งเช่นกันแต่คราวนี้มาจากจังหวะซ้ำลูกยิงชนคานของ แวน บาสเท่น
 



9) ราบาห์ มาดเจอร์ (เอฟซี ปอร์โต้ 1987)

             ตำนานกองหน้าเลือดแอลจีเรียน เป็นกำลังหลักนำ ปอร์โต้ ซิวแชมป์ถ้วยบิ๊กเอียร์ ในปี 1987 โดยเขายิงประตูสุดสวยด้วยการตอกลูกส้นในเกมนัดชิงฯ ชนะ บาเยิร์น มิวนิค นอกจากนี้ ฮีโร่ของชาติบ้านเกิดในศึกเวิลด์ คัพ 1982 ยังเป็นคีย์แมนตัวสำคัญนำ ปอร์โต้ ปราบซ่า เพเนรอล 2-1 คว้าแชมป์สโมสรโลกไปครอง โดย มาดเจอร์ ผ่านบอลสุดงามให้ เฟร์นานโด โกเมซ กดประตูแรก จากนั้นก็ยิงประตูชัยในช่วงต่อเวลาพิเศษช่วยให้ยอดทีมแดนฝอยทองซิวถ้ายดังกล่าวได้อย่างยิ่งใหญ่



8) ฮวน โรมัน ริเกลเม่ (โบคา จูเนียร์ 2000)

              สำหรับเกมโตโยต้า คัพ ก็บอลชิงแชมป์สโมสรโลกนั่นแหละ เป็นแมตช์ที่ทำให้ ริเอลเม่ ประกาศความเป็นยอดนักเตะที่โลกต้องตะลึง เมื่อร่ายเวทมนต์ชนิดที่แฟนบอลต้องลุ่มหลงช่วยให้ โบคา สอยแก๊งกาลาติกอส เรอัล มาดริด 2-1 คว้าแชมป์รายการนี้ไปครอง โดยแมตช์ดังกล่าว มาร์ติน ปาแลร์โม่ จัดการเบิ้ลชัยให้กับ โบคา ก็จริง แต่ ริเกลเม่ กลับขโมยซีนไปหมดเมื่อโชว์เพลงเตะเลือดละตินชนิดที่ทำเอา โคล้ด มาเกเลเล่ กับ เฟร์นานโด เอียร์โร่ 2 แข้ง ราชันชุดขาว ต้องหัวหมุนเลยทีเดียว โดยเพลย์เมกเกอร์เลือดอาร์เจนไตน์ เป็นคนถวายพานให้ ปาแลร์โม่ ซัดประตูที่สองด้วยนะจ๊ะ 
 

7) อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ (ยูเวนตุส 1996)
  
             โกลเด้น บอล สมญานามของ น้าเดล ในช่วงดาวรุ่งที่พุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว โดยตอนนั้นเจ้าตัวอายุแค่ 22 ปีเท่านั้น และก็สามารถนำ ม้าลาย สร้างชื่อเสียงด้วยการสอย ริเวอร์เพลท ซิวแชมป์สโมสรโลกไปครองได้ในปี 1996 ทั้งที่ในเวลานั้นยอดทีมจาก อาร์เจนตินา มี เจ้าชายลูกหนัง เอ็นโซ่ ฟรานเชสโคลี่ จอมทัพสายพันธุ์อุรุกวัย อยู่ในทีมก็ตาม ยูเว่ เล่นได้อย่างยอดเยี่ยม เช่นเดียวกับ เดล ปิเอโร่ ก็สร้างสรรค์โอกาสในการทำประตูให้ อแล็ง บ็อกซิช แต่ทั้งหมดทั้งปวงสำหรับผลงานของ ยูเว่ มาจากการเล่นของ เดล ปิเอโร่ ทั้งนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะได้รับการยกย่องว่าเป็น เด็กทองคำ ในช่วงเวลาดังกล่าว
 

6) ริคาร์โด้ โบคินี่ (อินดิเพนเดนเต้ 1973 และ 1984)

                โบคินี่ เป็นตำนานของ อินดิเพนเดนเต้และเป็นหนึ่งในตำนานทีมชาติอาร์เจนตินา ด้วยเช่นกัน เนื่องจากเขาเป็นสุดยอดเพลย์เมกเกอร์พรสวรรค์สูงอย่างแท้จริง เขามีโอกาสได้เล่นในรอบชิงชนะเลิศ ศึกสโมสรโลกถึง 3 ครั้ง กับสโมสรแห่งนี้เพียงทีมเดียวเท่านั้น และคว้าแชมป์ได้ 2 ครั้ง แต่ความทรงจำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นในครั้งแรก โดยตอนนั้นเขาอยู่แค่ 19 ปีเท่านั้น และ โบคินี่ ก็ซัดประตูชัยสุดสวยในเกมเฉือน ยูเวนตุส ที่กรุงโรม จังหวะนั้น โบคินี่ เริ่มเคลื่อนที่ พร้อมกับชิ่งบอลไปมากับเพื่อนร่วมทีม ก่อนที่จะเข้าไปชิพบอลข้ามตัว ดิโน่ ซอฟฟ์ อดีตโกล์ระดับตำนานทีมชาติอิตาลี และ 11 ปีหลังจากนั้นเขาก็ยังอยู่กับ อินดิเพนเดนเต้ รวมทั้งช่วยทีมสอย ลิเวอร์พูล 1-0 ในนัดชิงฯ รายการนี้ด้วย
 

5) เซเรโซ่ (เซา เปาโล 1993)

                 เซเรโซ่ เป็นดาวเตะระดับตำนานของ โรม่า ในช่วงต้นยุค 80 รวมทั้งกับ ซามพ์โดเรีย ชุดคว้าแชมป์ลีกเมืองมะกะโรนี 1991 แต่น่าเสียดายที่เขาเป็นแค่เพียงรองแชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ เพราะแพ้ บาร์เซโลน่า ในรอบชิงชนะเลิศ จากนั้น เซเรโซ่ ก็ย้ายจาก อิตาลี กลับสู่บราซิล บ้านเกิดเมืองนอนหลังจากที่ออกไปทำมาหากินบนแผ่นดินยุโรป 9 ปี แม้หลายๆ คนจะฟันธงว่าเขาหมดยุคยิ่งใหญ่ไปแล้ว แต่ขอโทษว่าพวกท่านเหล่านั้นคิดผิด เพราะจอมทัพเลือดแซมบ้า ยังช่วยให้ เซา เปาโล สอยแชมป์สโมสรโลก ด้วยการปราบ เอซี มิลาน 3-2 โดยในแมตช์นั้น เซเรโซ่ อายุปาเข้าไป 37 ปีแล้ว แถมยังกดหนึ่งเม็ด รวมทั้งคว้าตำแหน่ง แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ซะด้วย




4) มิเชล พลานิตี่ (ยูเวนตุส 1985)

                 นี่เป็นหนึ่งในเกมสุดคลาสสิคของเกมนัดชิงชนะเลิศศึกสโมสรโลก โดย ยูเวนตุส ต้องไล่ตีเสมอ อาร์เจนติโนส จูเนียร์ส สองครั้งสองคราว ส่งผลให้เสมอกัน 2-2 โดยแมตช์นี้ พลาตินี่ ได้ตำแหน่งแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ก็แหมจะไม่ให้ยังไงไหวก็พี่ท่านเล่นโชว์ฟอร์มเทพเรียกพี่ อย่างจังหวะตีเสมอ 1-1 ก็ได้ นโปเลียนลูกหนัง ยิงจุดโทษ ยังไม่หมดแค่นั้น พลาตินี่ ยังสร้างความเหลือเชื่อกระดกบอลข้ามหัวกองหลังคู่แข่งก่อนจะซัดวอลเล่ย์สุดสวยเข้าไปตุงตาข่าย แต่กรรมการไม่ให้ประตู ทั้งที่ดูจากภาพช้าก็ไม่มีการทำฟาวล์ อย่างไรก็ตาม แม้จะผิดหวังจากจังหวะนั้น แต่ยอดแข้งเลือดน้ำหอม ก็สวมบทฮีโร่ ซัดประตูสุดท้ายในการดวลจุดโทษ และนำทีมคว้าแชมป์ไปครองได้อย่างยิ่งใหญ่



3) เปเล่ (ซานโตส 1962 และ 1963)

                  ตอนยุค 60 ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ซานโตส คือสโมสรที่ดีที่สุดในบราซิล และทุกวันนี้พวกเขาก็ยังคงเป็นแบบนั้นมาตลอด แน่นอนที่แห่งนี้ได้สร้างตำนานแข้งทองระดับโลกนั่นก็คือ เปเล่ โดย เดอะ คิง แห่ง บราซิล ยิงประตูเป็นว่าเล่นให้กับต้นสังกัด ที่สำคัญยังสวมบทโหดห้ามอุทธรณ์สอย 5 ประตูในการเล่น 2 เกมถล่ม เบนฟิก้า 7-4 (สมัยดึกดำบรรพ์เกมสโมสรโลกแข่ง 2 นัด เหย้า-เยือน) ในปีต่อมา เปเล่ นำ ซานโตส เข้าชิงถ้วยสโมสรโลกอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะเขาต้องเจอการประกบติดชนิดกาวเรียกพี่ของ โจวานนี่ ตราปัตโตนี่ แต่ก็ยังคงโชว์เทพซัด 2 ประตูในแมตช์แรกที่แพ้ รอสโซเนรี่ ด้วยสกอร์ 4-2 ที่ซาน ซิโร่ ส่วนแมตช์สองทั้งสองทีมก็ซัดสกอร์เท่ากับแมตช์แรก แต่เป็น ซานโตส ที่ชนะ และก็ต้องมาดวลเพลย์ออฟ สุดท้ายเป็นยอดทีมแดนแซมบ้าที่คว้าแชมป์ไปครองด้วยสกอร์ 1-0 
 

2) อัลแบร์โต้ สเปนเซอร์ (เพเนรอล 1961 และ 1966)

                   สเปนเซอร์ เป็นนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ เอกวาดอร์ และยิงประตูมากที่สุดตลอดกาลในศึกโคปา ลิเบอร์ตาโดเรส คัพ เขาช่วยนำต้นสังกัดคว้าแชมป์สโมสรโลก ในปี 1961 และ สเปนเซอร์ ซัด 2 ประตูในเกมนัดสองถล่ม เบนฟิก้า 5-0 หลังเกมแรกพวกเขาออกไปแพ้ด้วยสกอร์ 0-1 จากนั้นพวกเขาก็มาเพลย์ออฟชนะในสกอร์ 2-1 จากนั้นอีก 5 ปี เพเนรอล ก็ได้เข้าชิงอีกครั้ง และก็ปราบ เรอัล มาดริด ได้ทั้งนัดเหย้า-เยือน ด้วยสกอร์รวม 4-0 (ชนะที่ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว 2-0) โดยในช่วงเวลานั้น สเปนเซอร์ เป็นหนึ่งในสุดยอดนักเตะจากอเมริกาใต้อย่างแท้จริง



1) ซิโก้ (ฟลาเมงโก้ 1981)

                   ฟลาเมงโก้ เป็นสโมสรที่ดีที่สุดในโลกช่วงต้นยุค 80 และ ซิโก้ ก็เป็นผู้เล่นที่เก่งที่สุดในโลกเช่นเดียวกัน เจ้าของสัมปทานหมายเลข 10 และได้รับฉายา เปเล่ขาว  ช่วยให้ทีมคว่ำ ลิเวอร์พูล 3-0 ในเกมนัดชิงฯ สโมสรโลก ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ตอนนั้นนักเตะอย่าง แกรม ซูเนสส์ และ อลัน แฮนเซ่น 2 แข้งตำนาน หงส์แดง ไม่สามารถจัดการกับพรสวรรค์ของ ซิโก้ ได้เลย โดย ซูอี้ ได้กล่าวถึง ซิโก้ หลังจบเกมว่า ผมยังจดจำหลายๆ สิ่งได้เป็นอย่างดี ผมประหลาดใจว่าเขามีปฏิกิริยาในการหลบหลีกการเข้าปะทะได้รวดเร็วขนาดนี้ได้ยังไง ? ผมไม่เคยมีโอกาสได้เข้าใกล้เขาในระยะ 2 หลาเลย ! ต้องยอมรับว่าความสามารถเฉพาะตัวของ ซิโก้ จัดการ ลิเวอร์พูล ได้อยู่หมัด และหากมีโอกาสได้ดูวีดิโอเกมดังกล่าว คงต้องยกให้ ซิโก้ เป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในรายการนี้จริงๆ
 



    ทอมเม้ง


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์