แชมเปี้ยนส์ลีกหงส์ไม่ไกลเกินเอื้อม

แชมเปี้ยนส์ลีก'หงส์'ไม่ไกลเกินเอื้อม

แชมเปี้ยนส์ลีก ไม่ไกลเกินเอื้อม : โดย...จิตติ

 

                          จากแต้มที่ตามหลัง "ปีศาจแดง" แมนฯ ยูไนเต็ด จ่าฝูงพรีเมียร์ลีกถึง 22 แต้มในตารางคะแนนเป็นการบ่งบอกว่า "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ยุคนี้ยังห่างไกลจากการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกมาก แต่ระยะห่างของทีมกับ "ไก่เดือยทอง" สเปอร์ส ทีมอันดับ 4 อยู่ 7 แต้ม ยังเป็นโอกาสให้หงส์แดง เข้าไปฟัดกับทีมอื่นๆ และแย่งโควตายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แม้ยากแต่อย่างน้อยก็ยังมีทาง

                          ด้วยฟอร์มการเล่นก่อนหน้านี้ดูอย่างไร ลิเวอร์พูล คงไม่มีทางจะไปได้สูงถึงอันดับ 4 หรือแม้กระทั่งโควตายูโรปาลีก ยังเป็นไปได้ยาก หากว่าทีมไม่คว้าแชมป์ถ้วยยุโรปด้วยตัวเอง แต่หลังจากที่มี ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ เข้ามาเสริมทีมรุก เหมือนว่าทีมจะมีชีวิตชีวา และมีจังหวะที่จะเร่งสปีดลุ้นโควตาถ้วยยุโรปได้เช่นกัน

                          ค่าตัว 12 ล้านปอนด์ของ สเตอร์ริดจ์ อาจจะดูสูง เมื่อเทียบกับเงิน 2 ล้านปอนด์ที่ "หงส์ขาว" สวอนซี จ่ายค่าตัว มิชู แต่หลังจากที่หัวหอกอังกฤษรายนี้เข้ามาสู่ถิ่นแอนฟิลด์ ดูเหมือนจะทำให้เกมรุกของลิเวอร์พูล มีทางเลือกมากขึ้น ไม่ได้พึ่งพา หลุยส์ ซัวเรซ เพียงคนเดียว และการมาของ สเตอร์ริดจ์ อาจจะส่งผลถึงขั้นที่ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ต้องเปลี่ยนระบบการเล่น หากจะทำให้ทีมเฉียบคมขึ้น

                          ในโลกลูกหนังยุคปัจจุบัน ราวกับว่าระบบกองหน้าคู่ได้ตายจากไปแล้ว หลายๆ ทีมเล่นในระบบกองหน้าตัวเป้าเพียงคนเดียวไม่เหมือนกับยุค 1990 ที่มีคู่กองหน้าหลายคู่ที่ประสบความสำเร็จไม่ว่าจะเป็น ดไวท์ ยอร์ค กับ แอนดี โคล ของ "ปีศาจแดง" แมนฯยูไนเต็ด, อลัน เชียเรอร์ กับ คริส ซัตตัน ของ "กุหลาบไฟ" แบล็คเบิร์น หรือแม้กระทั่งคู่ เควิน ฟิลลิปส์ กับ ไนออล ควินน์ ของ "แมวดำ" ซันเดอร์แลนด์ ก็เป็นอีกคู่ที่น่ากลัว

                          มาถึงยุคนี้หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป และสไตล์ของ ร็อดเจอร์ส ก็หวังจะให้ทีมที่ตัวเองคุม ไม่ว่าจะเป็น สวอนซี หรือว่า ลิเวอร์พูล เล่นกันได้อย่างบาร์เซโลนาที่ใช้หน้า 3 คน และเป็นหอกเดี่ยว แต่จริงๆ แล้วในฟุตบอลอังกฤษ หรือกองหน้าคู่ หรือว่าระบบ 4-4-2 บางครั้งก็ยังจำเป็น อย่างเกมที่แมนฯยูไนเต็ด ไปเสมอ สเปอร์ส ที่ไวท์ ฮาร์ท เลน ระบบหัวหอกเดี่ยวของปีศาจแดงเล่นเอาไปไม่เป็น

                          ในอดีต ลิเวอร์พูล เป็นอีกทีมที่ขึ้นชื่อในเรื่องระบบกองหน้าคู่ และ ร็อดเจอร์ส อาจจะฉุกคิดได้บ้างหลัง เกมที่ถล่ม "นกขมิ้นเหลืองอ่อน" นอริช 5-0 ว่าที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล ประสบความสำเร็จกับกองหน้าคู่อย่าง จอห์น โตแชค กับ เควิน คีแกน และ เอียน รัช กับ เคนนี ดัลกลิช

                          แล้วทำไมจึงจะคิดถึงระบบกองหน้าคู่อย่าง ซัวเรซ- สเตอร์ริดจ์ ไม่ได้

                          สเตอร์ริดจ์ ได้แนะนำตัวกับแฟนๆ ที่แอนฟิลด์ไปแล้วด้วยการทำ 3 ประตูใน 3 นัดแรกที่เล่นให้ทีมใหม่ เป็นรายแรกที่แอนฟิลด์นับตั้งแต่ยุคของ เรย์ เคนเนดี เมื่อปี 1974 แต่ที่พิสูจน์ให้เห็นกันจะจะ ก็คือเกมกับนอริช  เมื่อสัปดาห์แล้วว่าสามารถเล่นร่วมกับ ซัวเรซ ได้เป็นอย่างดี ทั้งๆ ที่ทั้งคู่ร่วมซ้อมกันเพียงแค่ 2 สัปดาห์ ขณะที่นักเตะแนวรุกรายอื่นๆ ในทีมซ้อมกับ ซัวเรซ มานาน แต่เหมือนว่าจะยังไม่เข้าใจกันดีพอ

                          ประตูที่ 2 ที่ทำได้ในเกมดังกล่าวเป็นการเล่นแบบเข้าใจและเข้าขากันอย่างแท้จริง จากการที่ สเตอร์ริดจ์ ปล่อยบอลให้ ซัวเรซ หลุดไปยิง และในเกมยังมีอีกหลายจังหวะที่ทั้งสองคนพยายามใส่พานให้กันและกัน เป็นการเล่นที่ดูธรรมชาติชนิดที่ไม่ได้เห็นในทีมลิเวอร์พูลมานาน

                          ครั้งสุดท้ายที่ลิเวอร์พูล มีการประสานงานในแดนหน้าได้ดีคือคู่ของ เฟอร์นันโด ตอร์เรส กับ สตีเวน เจอร์ราร์ด ที่แม้ว่าจะไม่ใช่ระบบคู่กองหน้าที่แท้จริง แต่ไม่แตกต่างอะไร เนื่องจากในช่วงนั้นถึง ราฟาเอล เบนิเตซ จะให้ ตอร์เรส เล่นเป็นกองหน้าตัวเป้า แต่ดันเอา เจอร์ราร์ด ไปเล่นเหมือนกองหน้าตัวต่ำ และไม่ต้องมาจัดการกับเกมแดนกลางมากนัก

                          กับระบบคู่หอกจริงๆ เป็นสิ่งที่ขาดแคลนในแอนฟิลด์ อย่างคู่ ร็อบบี คีน กับ ปีเตอร์ เคราช์ แม้จะดูดีบ้าง แต่ไม่ถือว่าเวิร์ก มาในยุคนี้เมื่อทุกอย่างพร้อม ร็อดเจอร์ส น่าจะมีการลองระบบใหม่ๆ บ้าง แม้ว่าอาจจะอยากให้ ราฮีม สเตอร์ลิง ลงมาเล่นด้วยก็สามารถปรับเปลี่ยนบทบาทของดาวรุ่งรายนี้ได้ อย่างที่ว่าไม้อ่อนยังดัดง่าย

                          เรื่องเกมรุกตอนนี้ไม่ใช่เรื่องน่าห่วงสำหรับลิเวอร์พูลอีกแล้ว แต่ที่ยังน่าเป็นห่วงคือเรื่องของเกมรับที่ตอนนี้มีเพียงแค่ ดาเนียล แอ็กเกอร์ กับ มาร์ติน สเคอร์เทล สองคนเท่านั้นที่พอจะเป็นหลักได้ ขณะที่ เจมี คาร์ราเกอร์ เป็นได้แค่ตัวเสริมในบางนัด เช่นเกมที่เจอกับนอริช ในบ้าน อาจจะลงมาแทน สเคอร์เทล ได้บ้าง แต่หากจะลุ้นถึงขั้นแชมเปี้ยนส์ลีก แล้ว น่าจะต้องมีการปรับอีกสักหน่อย

                          เรื่องการพลาดตัว คลินท์ เดมป์ซีย์ นั้น ร็อดเจอร์ส คงแก้ปัญหาได้แล้วด้วยการมาของ ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ แต่ในเกมรับอาจจะเป็นเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้ลิเวอร์พูล แต้มหลุดมือบ่อยครั้ง บางเกมน่าชนะก็ได้แค่เสมอ บางเกมน่าเสมอก็ถึงขั้นแพ้

                          อย่างเกมที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด เมื่อสัปดาห์ที่แล้วการเสีย 2 ประตูให้แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นจังหวะที่เกมรับต้องรับผิดชอบล้วนๆ ประตูแรก แอ็กเกอร์ ปล่อยให้ โรบิน ฟาน เพอร์ซี ยิงสบายๆ ที่หน้าประตู ขณะที่ประตูที่ 2 สเคอร์เทล ที่เล่นลูกกลางอากาศได้ดีกลับไปยืนเป็นกำแพงในจังหวะเปิดของ ฟาน เพอร์ซี

                          ความผิดพลาดเหล่านี้อาจทำให้ ร็อดเจอร์ส ตัดสินใจดร็อป สเคอร์เทล เป็นตัวสำรองในเกมล่าสุด แต่นั่นคงไม่ใช่การแก้ปัญหาระยะยาว เพราะปัญหาแบบนี้มีมานานแล้ว อย่างเกมเมื่อต้นฤดูกาลเดือนสิงหาคม ลิเวอร์พูล ชวดชัยชนะเหนือ "เรือใบสีฟ้า" แมนฯ ซิตี อย่างน่าเสียดาย ทำให้เกมจบที่เสมอ 2-2

                          ชัดเจนว่าการทำทีมของ ร็อดเจอร์ส ยังจัดการกับเรื่องเกมรับไม่ดีนัก ถึงจุดนี้ของฤดูกาลเสียประตู มากกว่ายุคของ เคนนี ดัลกลิช ถึง 7 ประตู จึงอาจจะต้องหาอะไรใหม่ๆ เข้ามากระตุ้นเกมรับบ้าง เหมือนอย่างที่เอา สเตอร์ริดจ์ มากระตุ้นเกมรุกไปแล้ว

                          ข่าวที่ว่าจะเอา เวการ์ด ฟอร์เรน กองหลังทีมชาตินอร์เวย์ของโมลด์ ก็ชวดไปแล้วโดนทีมอย่าง "นักบุญ" เซาแธมป์ตัน ตัดหน้าไป แต่หากว่า ร็อดเจอร์ส จับ แอชลีย์ วิลเลียมส์ ของสวอนซี มาได้ คงทำให้สถานการณ์ดีขึ้นมาบ้าง ส่วน เซบาสเตียน โคอาเตส อาจจะเป็นนักเตะชั้นดี แต่คงไม่เหมาะกับฟุตบอลอังกฤษเสียแล้ว ฤดูกาลนี้มีโอกาสลงสนามเพียงแค่ 3 นัด ไม่สามารถช่วยปรับปรุงอะไรในทีมได้

                          ทางเดียวคือหากไม่หาตัวเสริม ร็อดเจอร์ส ต้องหาวิธีทำให้ทั้ง แอ็กเกอร์ และสเคอร์เทล ท็อปฟอร์ม และไม่เจ็บไม่ป่วยให้ได้พร้อมๆ กันในช่วงฤดูกาลที่เหลือ

                          พรีเมียร์ลีกยังเหลืออีก 15 นัดให้ชิงชัยกันการตามหลังโควตายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 7 แต้ม ถึงจะยากแต่หากเกมรุกของลิเวอร์พูล ยังเล่นกันได้เหมือนครึ่งหลังของเกมที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด และเกมกับนอริช และหาเสริมแนวรับดีๆ สักคนแล้ว

                          ยังถือว่าเป็นโอกาสที่เอื้อมถึงได้อยู่

 

 

--------------------

(แชมเปี้ยนส์ลีก ไม่ไกลเกินเอื้อม : โดย...จิตติ)


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์