มือเปล่า โดย มาริโน่



ก่อนอื่น ขอแสดงความชื่นชมต่อฟูแล่ม ที่ช่วยพิสูจน์ให้เห็นว่าในบางครั้งบางคราวของชีวิต เงินหาใช่ทางออกหรือเป็นคำตอบเสมอไป

 



ถ้าย้อนกลับไปดูการเริ่มต้นบนเส้นทางหฤโหดใน ยูโรปา ลีก ของทีมชาวกระท่อมน้อย บรรดาขาใหญ่ทั่วทั้งยุโรป อาจต้องสะอึกด้วยความรู้สึกสะเทือนใจว่าทำไมมันช่างลำบากลำบนราวกับถูกนรกกลั่นแกล้ง พวกเขาต้องออกสตาร์ตตั้งแต่ขณะที่ทีมส่วนใหญ่ยังเดินสายหาเงินในช่วงก่อนเปิดฤดูกาล
 


เวตร้า ทีมเมืองหลวงของลิทัวเนีย คือคู่แข่งด่านแรกในรอบคัดเลือกรอบสาม จากนั้นต้องดวลเพลย์ออฟ กับ อัมพาร์ เพิร์ม คู่แข่งโนเนมของรัสเซีย
 


หลุดเข้ารอบแบ่งกลุ่มมาได้ ยังต้องเจอกับอีกสองทีมจากยุโรปตะวันออก อย่าง ซีเอสเคเอ โซเฟีย ของบัลแกเรีย และ ชัคเตอร์ โดเนตส์ก แชมป์เก่าเมื่อปีกลายจากยูเครน
 


สมทบด้วยรองจ่าฝูงเซเรีย อา ณ ขณะนี้อย่าง โรม่า และ เอฟซี บาเซิ่ลซึ่งยังมีประวัติศาสตร์ในฟุตบอลยุโรป มากกว่าพวกเขาด้วยซ้ำ
 


แต่ ฟูแล่ม ก็ประคองตัวเองรอดมาจากกลุ่มนี้ด้วยการจบเป็นที่สอง แพ้เพียงนัดเดียวจาก 6 เกมในการไปเยือนโรม่า แต่เกจิอาจารย์และกูรู้ทั้งหลาย พากันฟันธงว่าทีมของ รอย ฮ็อดจ์สัน คงไปไม่ไกลกว่ารอบหน้าเมื่อจับติ้วชนกับ ยูเวนตุส ที่เพิ่งอกหักตกมาจากเวทีชปล.
 


ยิ่งการออกไปแพ้มาก่อนในตูรินถึง 1-3 แถมกลับมาเล่นในกระท่อมน้อยของตัวเองได้แค่สองนาทีก็โดน ดาวิด เทรเซเก้ต์ กระซวกตาข่ายให้ยูเว่ ขึ้นนำ น่าจะมีเพียงปาฎิหาริย์เท่านั้นที่ช่วยฉุดฟูแล่ม ลุกขึ้นมาจากหลุมฝัง
 


แต่ใครจะคิดเล่าครับว่าภารกิจที่ต้องทำให้ได้ถึง 4 ประตูในอีก 88 นาทีที่เหลือ พวกเขาสามารถจริงๆ เขี่ยทีมดังของอิตาลี (ทีมเก่าของปธ.ยูฟ่า มิเชล พลาตินี่) ตกรอบชนิดเหลือเชื่อ
 


หลังจากนั้น หัวใจของชาวกระท่อมก็พองโต ปราบสองทีมจากเยอรมัน ทั้งโวล์ฟสบวร์ก และเจ้าภาพนัดชิงอย่าง ฮัมบูร์ก จนได้เข้าชิงเป็นครั้งแรกอย่างสมเกียรติ
 


นัดชิงในวันที่ 12 พ.ค. จะเป็นการลงสนามเกมที่ 19 ของฟูแล่ม เฉพาะในยูโรปา ลีก ฤดูกาลนี้ เท่ากับครึ่งหนึ่งของโปรแกรมทั้งซีซั่นในพรีเมียร์ ลีก และด้วยขุมกำลังที่จำกัดจำเขี่ยอย่างที่เราๆ ท่านๆ เห็นกันอยู่แล้วนี่แหละ
 


....อาการหน้าชาคงบังเกิดขึ้นแถวๆ แอนฟิลด์
 


ลิเวอร์พูล เรียบร้อยโรงเรียนตราหมีไปอย่างที่ผมประหวั่นพรั่นพรึงตั้งแต่สัปดาห์ก่อน แม้ว่า แอต. มาดริด จะมีฤดูกาลที่ย่ำแย่ในลา ลีกา และนัดแรกที่สเปน ก็ไม่ได้สร้างความลำบากให้เกิดขึ้นแก่ชีวิตของหงส์แดงมากเท่ากับเบนฟิก้า 
 


แต่สิ่งที่พวกเขามีเหนือกว่าทีมเหยี่ยวแห่งโปรตุเกส คือความเขี้ยว และกองหน้าผู้พร้อมทำประตูในทุกโอกาสและทุกอวัยวะที่ชื่อ ดีเอโก้ ฟอร์ลัน
 


ลิเวอร์พูล แทบไม่มีจังหวะเปิดโต้กลับชนิด 4 รุม 1 หรือ 5 รุม 2 เหมือนที่เบนฟิก้า อ้าแขนถ่างรอให้กะซวกตามอำเภอใจ บวกกับการขาด เฟร์นานโด ตอร์เรส ไปเสียคนเดียว น่าหวาดเสียวว่าถ้าตราหมีฉกอะเวย์โกลไปได้หนึ่ง ราฟา เบนิเตซ จะเอาใครมายิงให้ได้ถึงสาม ?!
 


การไม่ได้ประตูนอกบ้านกลับจากสเปน (ไม่มีโอกาสยิงเข้ากรอบแม้แต่หนเดียว) หมายถึงลิเวอร์พูล แขวนชีวิตไว้บนเส้นด้ายตลอดเวลา พวกเขาเคยทำได้กับทีมอย่างลีลล์ หรือเบนฟิก้า แต่แอต. มาดริด เขี้ยวและเก๋าเกินกว่าทั้งสอง แม้แต่การเสียประตูแรกก่อนพักครึ่งก็ไม่ได้ทำให้ทีมเยือนหน้ามืดบุกใส่เพื่อเอาคืน
 


ตราหมีเล่นเกมอดทน เน้นวินัยในเกมรับ ผลาญเวลาให้หมดไปเรื่อยๆ ด้วยรู้ดีว่าประตูเดียวจะเพียงพอต่อการผ่านเข้าชิง
 


แม้กระทั่งถูกนำห่างถึง 2-0 จาก ยอสซี่ เบนายูน แต่เป้าหมายของแอต. มาดริด ก็ยังคงเหมือนเดิม คือหาทางฉกอะเวย์โกล และนั่นคือสิ่งที่พวกเขาทำสำเร็จเพราะแบ็กโฟร์ลิเวอร์พูล ชุดนี้ ไม่เคยสร้างความเชื่อมั่นมาตลอดทั้งฤดูกาล
 


ไม่เสียใจที่ทีมอดไปฮัมบูร์ก อย่างที่พยายามคาดหวัง แค่เสียดายเล็กๆ ที่ฤดูกาลนี้ไม่เหลืออะไรให้เลือดลมพุ่งกระฉูดอีกต่อไปแล้ว...


 
...มาริโน่...



 


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์