ประวัติศาสตร์สโมสร ลิเวอร์พูล

@ เมืองลิเวอร์พูล @

ลิเวอร์พูล ชื่อนี้มีประวัติศาสตร์อย่างมากมายที่โด่งดัง ซึ่ง เมืองลิเวอร์พูลนี้ ก่อตั้งมาอย่างยาวนานแล้ว โดยได้ก่อตั้งเมืองนี้มาตั้งแต่ ค.ศ. 1207 ซึ่งถ้านับมาถึงปัจจุบัน ในปีหน้า ปี 2007 ก็จะครบ 800 ปีแล้วเลยทีเดียว ซึ่งถ้าเทียบกับเมืองไทยแล้วก็น่าจะราวๆ ก่อนยุคกรุงสุโขทัยเสียอีก .. ถึงแม้จะไม่ใช่เมืองที่โอ๋อ่า ศิวิไลซ์ และน่าตื่นตา เร้าใจอย่างเมือง อื่นๆในโลก อย่าง มหานครลอนดอน , อย่างอย่างชิคาโก้ ลาสเวกัส .. ของสหรัฐอเมริกา ลิเวอร์พูล เป็นเมืองท่าที่สำคัญของ อังกฤษ .. มีนักดนตรี ชื่อก้องโลกอย่าง เดอะ บีตเทิ่ล มีเรือ ที่โด่งดังไปทั่วโลก อย่างไททานิค .. แต่ที่มีความสำคัญ และทำให้เมืองลิเวอร์พูลนั้น โด่งดังแบบสุดๆ โดยเฉพาะในยุโรป หรือ เอเชียนั้น คงจะหนีไม่พ้น สโมสรที่มีนามว่า ลิเวอร์พูล ฟุตบอล คลับ ... ความจริงแล้ว เมืองลิเวอร์พูล ไม่ได้มีสโมสรฟุตบอลเพียง สโมสรเดียวหรอก เพราะยังมีสโมสร ที่เรียกได้ว่าเป็นคู่รักคู่แค้นอย่างเอฟเวอร์ตันด้วย รวมทั้งทรานเมียร์ก็ยังเป็นทีมฟุตบอลอีก 1 ทีม ที่พอมีชื่อเสียงบ้าง .. แต่ด้วยความโด่งดังสุดขีดของลิเวอร์พูล ทำให้ ถ้าพูดถึง เมือง ลิเวอร์พูล ทุกคนก็จะต้องนึกถึง ลิเวอร์พูล ฟุตบอล คลับ ก่อนเป็นอันดับแรก ....

@ เริ่มต้นกับลิเวอร์พูล @ 


...... เรามาเริ่มดูประวัติศาสตร์ของ สโมสรลิเวอร์พูลกันเลยดีกว่า ก่อนที่จะมาเป็น สโมสรลิเวอร์พูดนั้น คงต้องย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นสักหน่อย ซึ่ง ในขณะนั้นความจริงแล้ว ลิเวอร์พูล ยังไม่ก่อกำเนิดขึ้นมา ซึ่งในขณะนั้น ต้องบอกได้เลยว่า มีทีม เอฟเวอร์ตั้น ก่อตัวและสร้างทีมขึ้นมาก่อนลิเวอร์พูล โดยมีบุคคล คนหนึ่งที่เป็นกลจักรสำคัญ ที่ชื่อว่า จอนห์ โฮลดิ้ง ซึ่งขณะนั้นก็ดำรงค์ตำแหน่ง นายกเทศมนตรีเมือง ลิเวอร์พูล นักการเมืองพรรคอนุรักษ์นิยม และ ในเวลานั้น ก็ทำท่าว่าจะไปได้สวยกับ ทีมเอฟเวอร์ตัน โดยมีการสร้างสนาม ขึ้นมาใหม่ โดยใช้พื้นที่ของเพื่อน โฮลดิ้ง โดยก็ต้องจ่ายค่าจ้าง ค่าเช่าไปตามปรกติด้วย .. ซึ่งเอฟเวอร์ตันก็เป็น สมาชิก ของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ซึ่งได้กำเนิดขึ้นใน ปี 1888 .. แต่หลังจากที่ ทีมเอฟเวอร์ตันที่กำลังไปได้ส่วนในขณะนั้น ก็ต้องมีการหยุดชะงักกันขึ้น เนื่องจาก จอนห์ โฮลดิ้ง ได้มีปัญหาภายใน ในเรื่องของการจัดการ การบริหาร ร่วมถึงเรื่องค่าเช่าสนามของสโมสร กับทางผู้บริหารในขณะนั้น จนทำให้เกิดความแตกแยกขึ้น จนในที่สุด จอนห์ โฮลดิ้ง จึงต้องยุติบทบาทกับทีมเอฟเวอร์ตัน ในขณะนั้นไปเลย แต่ความที่เขาเป็นคนที่มีฟุตบอลอยู่ในหัวใจ .. เขาก็ได้ จัดตั้ง จัดสร้างทีมฟุตบอลขึ้นมาใหม่ อีกหนึ่งทีม ... ซึ่งทีมนั้น ก็คือ ทีมลิเวอร์พูล นั้นเอง และ จากการที่มีปัญหา ข้อขัดแย้งกันในตอนนั้น กับผู้บริหาร เอฟเวอร์ตั้น ทางเอฟเวอร์ตั้น ก็เลยไปสร้างสนามใหม่ ซึ่งอยู่คนละฝั่ง ของสวนสาธารณะ สแตนลีย์ปาร์ค จึงทำให้ ลิเวอร์พูล ทีมที่จอนห์ โอลดิ้ง สร้างขึ้นมาใหม่นั้น ต้องไปใช้สนามแอนฟิลด์ และถือว่าเป็นความพอเหมาะ พอเจาะพอดี และถือเป็นความโชคดี อย่างที่สุดที่ ลิเวอร์พูล มีสนามเหย้าที่ชื่อ แอนฟิลด์ ... เพราะปัจจุบัน สนามแห่งนี้ ถึงแม้จะมีความจุ ที่เทียบไม่ได้กับ คัมป์นู ของบาร์ซ่า ... เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ของอาร์เซน่อล หรือ แม้กระทั่ง โอลด์แทร๊ฟฟอร์ด ยุคปรับปรุงที่นั่งใหม่ .. แต่ แอนฟิลด์นั้นก็จัดว่าเป็นสนามที่มีความขลังมากที่สุดใน เกาะอังกฤษ .. และนี้แหละคือ This is anfield ..... คำๆนี้ ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยจริงๆ ...

@ การสร้างสนามใหม่ @ 


...... ถึงแม้ในขณะนั้น จอนห์ โฮลดิ้งจะมีความกังวลใจพอสมควรกับการที่จะสร้างทีมฟุตบอลขึ้นมาใหม่ อีก 1 ทีมนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เหมือนการจัดตั้งพรรคการเมือง .. ที่ขอเพียงมีเงินไม่กี่หมื่น และ หาสมาชิกพรรคให้ได้ 5000 รายชื่อภายใน 60 วันนั้น แต่ ด้วยความมุมานะ อุตสาหะ จอนห์ โฮลดิ้งก็ไม่เคยย่อท้อ ด้วยความที่เขาเป็นนักธุรกิจด้วยในขณะนั้น ทำให้เขาไม่เคยคิดจะล้มเลิกความตั้งใจ .. แถมยังมองการไกล และ จอนห์ โฮลดิ้งก็ได้ ไปดึงตัว และทาบทาม จอนห์ แมคเคนน่า ชาวไอริช ที่ถือว่าเป็นคนที่คุ้นเคยกันมา และถือว่าเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของ โฮลดิ้ง เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมของลิเวอร์พูล และถือได้ว่าเป็นผู้จัดการทีมคนแรกของทีมลิเวอร์พูล ในประวัติศาสตร์ และ ชื่อสโมสรในขณะนั้น คือ Liverpool FC และนี้คือจุดเริ่มต้นของตำนาน และ ประวัติศาสตร์ ของสโมสรลิเวอร์พูล

...... หลังจากนั้น คู่หู ดูโอ้ อย่าง จอนห์ แม็คเคนน่า และ จอนห์ โฮลดิ้ง ก็จัดการเริ่มสร้างทีมขึ้นมา โดย โฮลดิ้ง นั้นก็พยายามทำให้ลิเวอร์พูล เข้าไปเล่นในลีก แลงคาเชียร์ ส่วน แม็คเคนน่า ก็จะต้องพยายามไปหา นักเตะเข้าสู่ทีม โดยในตอนแรกๆนั้น แม็เคนน่า ก็มีปัญหาสำหรับการคัดเลือกนักเตะเข้าสู่ทีมพอสมควร .. เพราะ ดูเหมือนว่า นักเตะที่เข้าสู่ทีมในตอนแรกๆนั้น ฝีมือไม่เข้าขั้นเท่าไหร จนทำให้ แม็คเคนน่า ตัดสินใจที่จะข้ามน้ำข้ามทะเล ไปยังฝั่งสก๊อตแลนด์เพื่อ คว้านหานักเตะ ฝีเท้าดีเข้าสู่ทีม .. ซึ่งแม็คเคนน่าก็ได้ทีมสมใจอยาก โดยนักเตะชุดแรกๆ ของ แม็คเคนน่านั้นก็มี ... โจ แม็คคิว ที่ไปคว้าตัวมาจาก เซลติก , บิลลี่ แม็ค โอเว่น จาก ดาเวน , เจมส์ แม็คไบรด์ จาก เลนตัน .. โดย ลิเวอร์พูลก่อนที่จะเข้าแข่งขัน ในแลงคาเชียร์ ก็ได้เตะเหมือนเป็นเกมอุ่นเครื่อง ซึ่งผลงานก็ถือว่าค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจ และ ทีมชุดรแรกของลิเวอร์พูล ในขณะนั้น ก็ต้องเป็นที่กล่าวขานกันว่า ใน 11 ตัวจริงนั้น ไม่มีนักเตะของอังกฤษเลย รวมทั้ง ยังเป็นนักเตะ สก๊อตแลนด์ถึง 8 คน .. ด้วยกัน ซึ่งทำให้ลิเวอร์พูลได้รับฉายาว่า แม็ค ลิเวอร์พูล ซึ่งแม็คที่ขึ้นต้นนั้นก็ หมายความว่า ชื่อของนักเตะ สก๊อตแลนด์นั้นเอง ... ตัวอย่างเช่น โจ แม็คคิว , มัลคอมป์ แม็ควีน , ดันแคน แม็คลีน , บิลลี่ แม็คโอเว่น , เจมส์ แม็คไบรด์ , แม็ต แม็คควีน , ฮิวส์ แม็คควีน , จอรท์ แม็คคาร์ทนีย์ .. เป็นต้น รวมทั้งผู้จัดการทีม ก็มีคำว่า แม็คเช่นกัน ...

@ ฤดูกาลแรกของ จอนห์ แม็คเคนน่า @



...... สำหรับ แม็ตช์การแข่งขันแม็ตช์แรก หรือ บอลลีก ที่เป็นทางการของลิเวอร์พูลนั้น เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 กันยายน 1892 @lfchistory.net ( บางข้อมูลก็ว่า 1 กันยายน 1892 ** ข้อมูลวันที่ 1 คือ บอลกระชับมิตร ** ) .. แต่ก็ไม่สำคัญ เพราะ ลิเวอร์พูลได้ลงเล่นในลีกแลงคาเชียร์ในฤดูกาลแรกนัดแรกนั้น ลิเวอร์พูล ถล่มเอาชนะ Higher Walton ในแอนฟิลด์ไปแบบถล่มทลาย ถึง 8 - 0 .... โดย มีผู้ที่ยิงประตูดังนี้ สมิธ 2 แม็คควีน 2 คาเมร่อน 2 แม็คไบร์ด และ แม็ควีน คนละ 1 ประตู ... ซึ่งในวันนั้นมีคนดูเพียงแค่ประมาณ 200 คนเท่านั้น แต่ก็เป็นความสำเร็จที่ดีจริงๆสำหรับ ลิเวอร์พูลในเวลานั้น .... และ ในนัดที่ 2 ก็ยังสามารถถล่มเอาชนะ บิวรี่ไปอีก 4 - 0 ... ซึ่งในนัดที่ 2 นี้คนแห่กันเข้าไปชมถึง 4000 คนเลยทีเดียว ... ( สงสัย จอนห์ โฮลดิ้งคงยิ้มแก้มปริเลยทีเดียว ) ซึ่งจากในฤดูกาลแรกของการแข่งขัน ในลีก แลงคาเชียร์นั้น ลิเวอร์พูลก็สามารถคว้าแชมป์มาครองได้เป็นผลสำเร็จ ( ส่อแววเก่งตั้งแต่ เริ่มตั้งสโมสรเลยวุ้ย ) .. โดยทำคะแนนไปได้ถึง 36 คะแนน จากการลงเล่นไป 22 นัด .. ซึ่งมีคะแนนเท่ากับทีม แบล็คพูล แต่ประตูได้เสีย ลิเวอร์พูลดีกว่า ทำให้คว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ .. ถือเป็นก้าวแรกของความสำเร็จเลยทีเดียว .. และก็ยังสามารถไปคว้าแชมป์บอลถ้วย ได้อีก 1 แชมป์ ...

@ เริ่มต้นแข่งขัน ในระดับ ดิวิชั่น ของประเทศ @

...... จอนห์ แม็คเคนน่า ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล ซึ่งก็ดำรงค์ตำแหน่ง เลขาธิการของสโมสรควบคู่กัยไปด้วย .. ได้ทำหนังสือส่งไปยัง สมาคมฟุตบอล ของอังกฤษ เพื่อขอเข้าร่วมการแข่งขันใน ดิวิชั่น 2 ( ซึ่งน่าจะเป็น ดิวิชั่น 1 หรือ ลีกแชมป์เปี้ยนชิพ ในปัจจุบัน ) .. ซึ่งทาง สมาคมฟุตบอลอังกฤษก็ยิน และให้ทาง ลิเวอร์พูล เข้ามาดำเนินการในเรื่องของเอกสารโดยด่วนที่ลอนดอน .. ซึ่ง สาเหตุที่ทำให้ ลิเวอร์พูลได้ร่วมคงเป็นเพราะว่า มี 2 ทีมอื่นในขณะนั้นได้ถอนทีมออกไปด้วยสาเหตุเรื่องของเงินนั้นเอง .. และ แล้ววันสำคัญอีก 1 วันของสโมสรก็คือวันที่ 2 กันยายน 1893 โดยทีมลิเวอร์พูลได้ลงเล่นในระดับดิวิชั่นเป็นนัดแรก โดยพบกับทีม มิดเดิ้ลสโบรซ์ ที่ พาราไดซ์ ฟิลด์ สนามเหย้า ของ มิดเดิ้ลสโบรซ์ .. ซึ่งลิเวอร์พูลก็ไปคว้าชัยมาได้ .. 2 - 0 .. จากการยิงของ โจ แม็คคิว และ ก็ มัลคอมป์ แม็ควีน ... ซึ่งในฤดูกาลที่ 2 นี้ แม็คเคนน่า ก็ได้มีการเสริมผู้เล่นบ้าง เช่น พาทริค กอร์ดอน , เจมส์ เฮนเดอร์สัน , เจมส์ สก๊อต ... และเพียงแค่ปีแรกเท่านั้น แม็เคนน่าก็สร้าง ปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมีใครคาดคิด และ ถวิลหามาก่อน .. ลิเวอร์พูล สามารถคว้าแชมป์ ดิวิชั่น 2 ได้เป็นผลสำเร็จ เพียงแค่ฤดูกาลแรกที่ขึ้นมาเท่านั้น .. และยิ่งไปกว่านั้น ในเกมการแข่งขัน 28 นัดในฤดูกาลนั้น ลิเวอร์พูล สามารถทำผลงานไม่แพ้ทีมไหนเลย โดยแบ่งเป็นชนะ 22 เสมอ 6 แพ้ 0 .. นัด ทำได้ 50 คะแนน .. ซึ่งถ้าเป็นปัจจุบัน ลิเวอร์พูลคงได้เลื่อนชั้นขึ้นไปโดย อัติโนมัติ แต่ในสมัยนั้น ไม่ใช่ เพราะว่าจะต้องเล่น เพลย์ออฟ ( ในสมัยนั้นเรียกว่า เทส แม็ตช์ ) เพื่อเอาผู้ชนะ เล่นใน ดิวิชั่น 1 ซึ่งก็ไม่สามารถมีทีมไหนหยุดได้อยู่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ในเกม เทสแม็ตช์ ไปได้ โดยเอาชนะ นิวตัน เฮลท์ ไป 2 - 0 .. ที่แอนฟิลด์ .. จากการยิงของ โธมัส แบร็ดชอล .. และ พาทริค กอร์ดอน .. สุขขี สุขขัง จริงๆ สำหรับ ลิเวอร์พูลในเวลานั้น ( บอกแล้วเก่งแต่เด็ก ) ..  .. ลิเวอร์พูล คว้าตั๋วขึ้นไปโชว์ลวดลายใน ดิวิชั่น 1 ได้สำเร็จ ..

@ เส้นทาง บนดิวิชั่นสูงสุด ของ แม็คเคนน่า @

........ หลังจากที่ ลิเวอร์พูล สามารถคว้าแชมป์ในดิวิชั่น 2 ได้ และ ได้เลื่อนชั้นขึ้นมาใน ดิวิชั่น 1 หรือ ลีกสูงสุดในขณะนั้น ลิเวอร์พูลต้องเผชิญกับความแข็งแกร่งของทีมคู่ต่อสู้อย่างมาก .. ซึ่งถึงแม้ใน 2 นัดแรก ลิเวอร์พูล ยังทำผลงานได้ดี คือเสมอ 2 นัด .. แต่หลังจากนัด อีก 7 นัดลิเวอร์พูล ก็ยังไม่สามารถเอาชนะใครได้เลย ซึ่ง ใน 9 นัดแรกของลิเวอร์พูล นั้น แพ้ไป 5 นัด เสมอ 4 นัดซึ่งถือว่าเป็นผลงานที่ไม่ดีเลยทีเดียว .. แต่พอขึ้นนัดที่ 10 .. ลิเวอร์พูลก็สะกดคำว่าชนะเป็นแล้ว ( ชอ - นอ - อะ อ่านว่าชนะ ) ... ซึ่งเอาชนะ สโต๊ค ซิตี้ไป 2 - 0 ในการเล่นในแอนฟิลด์ .. หนทางและ ความพยามยามของลิเวอร์พูล ในฤดูกาลแรก ในครั้งแรกของสโมสร ที่พยายามดิ้นรน กับการต่อสู้ นั้นดูเหมือนจะเป็นไปด้วยความยากเย็นแสนเข็ญ เพราะหลังจากที่ ได้ชนะเหนือ สโต๊ค แล้วนั้น อีก 7 นัดถัดมาลิเวอร์พูล ก็เริ่มชักลืมคำว่าชนะอีกแล้ว .. !! นี้แหระหนาที่บอกว่า ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว !! ลิเวอร์พูลดูเหมือนจะเป็นทีมแจกแต้มในฤดูกาลนั้น ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว ลิเวอร์พูล ก็ทนความแข็งแกร่ง และตกสู่ดิวิชั่นสอง ( เดิม ) อีกครั้ง .. และ กำเนิด ดาร์บี้แม็ตช์แห่งเมือง ลิเวอร์พูล ก็เริ่มจากฤดูกาลนั้นเป็นฤดูกาลแรก ซึ่ง ลิเวอร์พูล แพ้ เอฟเวอร์ตันไป 3 - 0 ในการไปเยือน และ เล่นในบ้าน ทำได้เพียงแค่เสมอไป 2 - 2 ... ฤดูกาลนั้น สรุปว่า ลิเวอร์พูลลงแข่งไป .. 30 นัดได้มา 22 คะแนน จากการ ชนะ 7 เสมอ 8 แพ้ 15 นัด .. แต่สิ่งที่ได้มาหลังจากการขึ้นมาเล่นใน ดิวิชั่น 1 ก็คือ ยอดจำนวนคนดู และ ผู้สนับสนุนที่มากขึ้น ซึ่ง ยอดเฉลี่ยคนดูในฤดูกาล 1894 - 95 นั้นมียอดเฉลี่ยที่สูงขึ้นกว่า ฤดูกาล 1893 - 94 ประมาณ 7000 คนเลยทีเดียว ...

@ ประธานสโมสรคนใหม่ คือ จอนห์ แม็คเคนน่า ...


........ จวบจนกระทั่ง ในฤดูกาลต่อมา .. จอนห์ แม็คเคนน่า ก็ได้ขึ้นแท่นนั่งเป็นประธานสโมสร แทนที่ จอนห์ โฮลดิ้ง ซึ่งไม่ทราบแน่ชัดว่าทำไม โฮลดิ้งถึงได้วางมือจากการเป็นประธานสโมสร และ ลิเวอร์พูลก็ได้ให้ วิลเลี่ยม บาร์เคลย์ W.E.Barclay ก้าวขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีมแทน และ ยังควบตำแหน่ง เลขาธิการของสโมสร อีก 1 ตำแหน่ง และ บาร์เคลย์ ก็ลูกทีมลงคุมทีมในเกมแรกในลีกกับ น๊อธ เค้าท์ตี้ ซึ่ง การคุมทีม ของบาร์เคลย์นั้น ก็ยังยึดมั่นในสไตส์เดิมของ แม็คเคนน่า .. ซึ่งยังคงใช้บริการ นักเตะจากสก๊อตแลนด์เป็นหลัก .. และ การคุมทีมในลีกนัดแรก ลิเวอร์พูลก็สามารถเอาชนะ น๊อธ เค้าท์ตี้ไปได้ 3 - 2 ... ดูเหมือนว่า การกลับลงมาเล่นใน ดิวิชั่นสองนั้น ไม่ใช่งานที่ยากเท่าไหรสำหรับลิเวอร์พูล .. เพราะลิเวอร์พูลก็ทำผลงานได้ดี ดาหน้าไล่ถล่มทีมคู่ต่อสู้อย่างเมามัน โดยบางนัดก็ไล่ถล่มทีมคู่ต่อสู้ไป 5 - 1 ... 6 - 1 ... 7 - 1 .. และ สกอร์ที่ถล่มมากที่สุดก็คือ 10 - 1 โดยในนัดนั้นถล่ม ร๊อธแธมป์ตันไป ซึ่งในนัดนั้นมีผู้ทำแฮททริคได้ 2 คน คือ จอรจ์ อัลเลน ( 4 ) และ มัลคอมป์ แม็ควีน ( 3 ) ... และก็ไม่แพ้ใครในบ้าน ชนะ 14 เสมอ 1 ... ยิงประตูไปได้ 106 ประตู .. ถือว่า โครตยิงเลย เหอๆ จอร์จ อัลเลนเป็นดาวซัลโว สูงสุดที่ 29 ประตู .. แต่น่าเสียดายว่า การกลับมาเล่นในดิวิชั่น 2 นั้น ทำให้ยอดคนดูเฉลี่ยลดลงมากเลยทีเดียว ลิเวอร์พูลได้กลับมาเล่นในดิวิชั่น 1 อีกครั้ง และก็ทำผลงานได้อย่างดี ไม่เหมือนในฤดูกาล 1894 - 95 .. ซึ่งในฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล จบฤดูกาลในอันดับที่ 5 .. และ อยู่ในอันดับที่ดีกว่า เอฟเวอร์ตัน คู่แข่งร่วมเมืองที่ได้ในอันดับที่ 8 .. และ ก็สามารถผ่านเข้าไปถึง รอบรองชนะเลิศในศึก FA CUP ได้อีกต่างหาก .. ถือเป็นการกลับมา ของลิเวอร์พูลที่ดีมากทีเดียว และในฤดูกาลต่อมา 1896 - 97 จอนห์ แม็คเคนน่า ก็ดึงตัว ทอม วัตสัน เข้ามาเป็นรองเลขาของสโมสร ซึ่งน่าจะให้เข้ามาดูเรื่องของนักเตะเป็นหลัก ซึ่งดูเหมือนว่า จะเป็นการจัดสินใจดึงตัว วัตสันมานั้นค่อนข้างที่จะดี .. เพราะ วัตสันได้ทำการวางระบบ และปรับปรุงระบบใหม่ให้กับลิเวอร์พูล จนทำให้ ลิเวอร์พูลมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น .. และก็สร้างนักเตะ ขึ้นติดทำเนียบทีมชาติได้ หลายคนเลยทีเดียว เช่น แฮรี่ แบร็ดชอว์ ที่ติดทีมชาติอังกฤษ .. 

 
.. ในปี 1898 - 1899 .. ลิเวอร์พูล ได้ทำการปฏิวัติ ( Revolution ) สีเสื้อใหม่ ซึ่งได้เปลี่ยนให้เป็นสีแดง .. และ ลิเวอร์พูลก็ยังพัฒนาทีมต่อไป โดยการเซนต์สัญญาคว้านักเตะมาเสริมอีก โดยเฉพาะการมาของ อเล็กซ์ เรสเบ็ค ที่มีความสูง (น้อย) 5 ฟุต 9 นิ้วเท่านั้นเอง ( ประมาณ 172 ) ... เขาก็เข้ามาทำให้ทีมลิเวอร์พูล ดูแข็งแกร่งขึ้น และก็สามารถพาลิเวอร์พูลก้าวขึ้นสู่ ในอันดับรองแชมป์ของลีก ดิวิชั่น 1 ... ถือเป็นความสำเร็จที่สูงที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรมา .. และก็เกือบจะซิวแชมป์ FA CUP เสียด้วย .. ลิเวอร์พูลในฤดูกาลนั้นทำผลงานได้ดีจริงๆ ..

@ สู่ความสำเร็จ กับ แชมป์ดิวิชั่น 1 ... @


นักเตะทีมชุดแชมป์ ดิวิชั่น 1 ..

...... หลังจากที่ลิเวอร์พูล ยังโลดแล่นในระดับดิวิชั่น 1 มาก็หลายปี .. ซึ่งก็ยังไม่มีครั้งไหนเลย ที่จะเกือบได้แชมป์ลีก ซึ่งมีเพียงในฤดูกาล 1898 - 99 ที่ได้รองแชมป์ ในที่สุดความสำเร็จสูงสุดในขณะนั้น ก็ได้เข้ามายังถิ่น แอนฟิลด์บ้างแล้ว ซึ่งลิเวอร์พูลในฤดูกาลที่ 1900 - 01 ก็สามารถฝ่าฝันจนก้าวขึ้นสู่แชมป์ ดิวิชั่น 1 ได้สำเร็จ .. โดยการเฉือนชนะ ซันเดอร์แลนด์ ทีมอันดับที่ 2 เพียง 2 คะแนนเท่านั้น ซึ่งลิเวอร์พูล มาแรงตรีนปลาย โดยใน 13 นัดสุดท้ายลิเวอร์พูลไม่แพ้ใครเลย โดยชนะ ไปถึง 9 นัด เสมอ 4 นัด และผลงานชิ้นโบว์แดงก็คือ บุกไปชนะ ซันเดอร์แลนด์ทีมรองแชมป์ ที่โรเกอร์ ปาร์ค .. เดอะ วินเนอร์ ครั้งแรกของลิเวอร์พูล ถูกต้อนรับด้วย แฟนบอลนับหมื่นคนที่รอต้อนรับที่ สถานีรถไฟ .. โดยมีวงโยธวาทิต คอยขับเพลงบรรเลง ต้อนรับ วีรบุรุษ ทั้งหลายอย่างสนุกสุดเหวี่ยง โดย แม็เคนน่า และ จอนห์ โฮลดิ้ง มีความภาคภูมิใจกับความสำเร็จในครั้งนี้มาก และได้บอกว่า ความสำเร็จในครั้งนี้ ถ้วยที่ได้มาในครั้งนี้ เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นของความสำเร็จ ซึ่งเขาหวังว่า ถ้วยและความสำเร็จอื่นๆ จะตามมาอีกอย่างมากมายในภายภาคหน้า .. ซึ่งในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะลิเวอร์พูล กวาดถ้วยรางวัลมาไว้เต็มสโมสร ทั้ง แชมป์ลีก สูงสุดถึง 18 สมัย แชมป์ ยุโรป 5 สมัย แล้วยังมีแชมป์ FA CUP และ ลีกคัพ อีกด้วย .. ขณะนั้น ทอม วัตสัน เป็นผู้พาทีมลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 ..

@ ความโศกเศร้า เสียใจ กับการจากไปของ KiNG JoNH .. @

...... แต่หลังจาก ที่ลิเวอร์พูลดีใจได้ไม่นาน ความโศกเศร้า ความเสียใจก็มาถึง เมื่อในปี 1902 .. ลิเวอร์พูลได้สูญเสีย บุคคลากรที่สำคัญที่สุดของสโมสรไป .. คือ คิง จอนห์ หรือ จอนห์ โฮลดิ้ง ผู้ก่อตั้งสโมสรลิเวอร์พูล โดยตลอดระยะเวลา 20 ปี โฮลดิ้งได้ สร้างให้ทีมฟุตบอล ทั้ง 2 ทีมอย่าง เอฟเวอร์ตั้น และ ลิเวอร์พูล มีชื่อเสียงขึ้นมา โดยเฉพาะทีมลิเวอร์พูล ที่ให้ทั้งเหงื่อ ให้ทั้งเงิน และ ให้ทั้งสโมสร .. กับลิเวอร์พูล .. โดยในพิธีนั้น เป็นพิธีที่ยิ่งใหญ่มาก โดยนักเตะของทั้ง ลิเวอร์พูล และ เอฟเวอร์ตัน ต่างกันแบกโลงศพของ โฮลดิ้ง .. และมีผ้าธงของ 2 สโมสรคลุมอีกที ทุกคนในเมืองลิเวอร์พูล ต่างโศกเศร้าเสียใจอย่างมากมาย โฮลดิ้ง ได้จบชีวิตด้วย อายุ 70 ปี ..

...... โดยในฤดูกาลต่อมา ลิเวอร์พูล ก็ไม่สามารถ ป้องกันแชมป์ได้ โดยอันดับตกไปในอันดับที่ 10 .. และ ในที่สุด ลิเวอร์พูลก็ต้องกลับมาพบกับความตกต่ำอีกครั้ง ซึ่งลิเวอร์พูลต้องกลับไปเล่นใน ดิวิชั่น 2 อีกครั้ง โดยในฤดูกาล 1903 - 04 .. ลิเวอร์พูลได้อันดับ 17 หรือ อันดับรองบ๋วย .. ทำให้ต้องตกไปเล่นในดิวิชั่น 2 และเพียง ฤดูกาลเดียว ในฤดูกาล 1904 - 05 ลิเวอร์พูลก็คว้าแชมป์ ดิวิชั่น 2 อีกครั้ง สามารถกลับขึ้นมาเล่นใน ดิวิชั่น 1 อีกครั้งได้เป็นผลสำเร็จ .. และก็เป็นอีกครั้ง ที่ลิเวอร์พูล โชว์ฟอร์มเหนือ ดุจเทพ หลังจากที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมา ลิเวอร์พูล ก็สามารถคว้าถ้วยดิวิชั่น 1 เป็นคำรบที่ 2 ... ซึ่งในตอนนั้น มีทีมในดิวิชั่น 1 ถึง 20 ทีมแล้ว ซึ่งการคว้าแชมป์ในฤดูกาลนั้น ลิเวอร์พูล ออกสตาร์ทได้ไม่ดีมากนัก โดยใน 3 นัดแรก แพ้รวด เสียไป 11 ประตู ได้มาเพียงแค่ 2 ประตูเท่านั้น ซึ่งในนัดที่พบกับ แอสตัน วิลล่า ลิเวอร์พูล แพ้ต่อวิลล่า ไปแบบหมดรูป 5 - 0 ...

@ ผู้จัดการทีม คนที่ 3 .. เดวิด แอซเวิด @

เดวิช แอซเวิด ( 1919 - 1922 ) .. ผู้สานต่องาน ทอม วัตสัน .. แอซเวิด ไม่ได้เป็นผู้เล่น หรือ เข้ามาเกี่ยวข้องกับลิเวอร์พูล มาก่อน .. โดย แอซเวิดเป็นชาว ไอร์แลนด์ และได้เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมในช่วงระยะเวลาที่ไม่นานมากนัก ประมาณ 3 ปี .. โดยเข้ามาตั้งแต่ 1919 - 1922 โดย แอชเวิดนั้นเริ่มเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมให้กับ โอลแดม มาก่อนหน้านี้ .. โดยในตอนที่คุมทีม โอลแดมก็สามารถทำผลงานได้ดีพอสมควร .. และในระยะเวลาเพียง ประมาณ 3 ปี แอซเวิด ก็ทำผลงานกับลิเวอร์พูล ดีทีเดียว ซึ่งสามารถนำทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดหรือ แชมป์ดิวิชั่น 1 ไปครองได้ ในปี 1922 .. หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้คุมทีมให้กับลิเวอร์พูล โดยได้รีเทิรน์กลับไปคุมทีม โอลแดมป์อีกครั้ง .. ซึ่งทีมในตอนนั้นก็ถือว่า แอซเวิด วางไว้ดีพอสมควร .. และหลังจากที่ ลิเวอร์พูล เสียผู้จัดการทีมคนนี้ไป อย่างกระทัน ทั้งๆที่ยังไม่มีใครคาดคิดว่า แอซเวิดจะจากทีมไป ลิเวอร์พูล ก็ต้องหาผู้จัดการทีมอย่างฉุกระหุก เลยต้องดึง แม็ต แม็คควีน ( 1922 - 1928 ) ไดเรกเตอร์ ของทีมในขณะนั้น เข้ามาเป็นผู้จัดทีมชั่วคราว

......... ซึ่ง แม็คควีนก็สามารถทีม ลิเวอร์พูลได้แชมป์ ดิวิชั่นหนึ่งอีกครั้ง โดยทำแต้มทิ้งห่างซันเดอร์แลนด์ทีมคู่ปรับเก่าไปถึง 6 คะแนน .. แต่หลังจากที่คว้าแชมป์ในฤดูกาลแรก ในฤดูกาล 1922 - 23 แล้วนั้น แม็คควีนก็ไม่สามารถทำให้ทีมลิเวอร์พูลพัฒนาขึ้นมากเท่าไหร ซึ่งใน อีกหลายๆฤดูกาลที่ผ่านมา โดยทำทีมอยู่ในระดับกลางๆ .. และไม่ได้ลุ้นแชมป์เท่าที่ควร และในฤดูกาลสุดท้ายของการคุมทีมของเขา ก็ทำได้เพียงแค่อันดับที่ 16 .. ซึ่งถ้ามองจากอันดับ ก็ดูว่า ยังห่างจากอันดับท้ายตารางถึง 6 อันดับ ( สมัยก่อน 22 ทีม ) .. แต่ถ้าดูคะแนนที่ลิเวอร์พูลได้แล้วนั้น มีเพียง 39 คะแนน ซึ่งห่างจากทีมที่ตกชั้นอย่าง โบโร่ เพียงแค่ 2 คะแนน .. โดยในอันดับที่ 14 - 20 มี 39 คะแนนเท่ากัน ส่วนในอันดับที่ 21 - 22 .. มี เพียง 37 คะแนนเท่านั้นซึ่งต้องบอกว่า เกือบตกชั้นเหมือนกัน ... และถ้าดูไปที่นัดสุดท้ายแล้วด้วย จะพบว่า เราพ่ายแพ้ต่อแมนยูไนเต็ดไป ถึง 6 - 1 ... คงได้เสียวกันสุดๆเลยทีเดียว แต่ถ้านัดนั้นเราสามารถเอาชนะ แมนยูได้ แมนยูจะตกชั้น .. เพราะ แนยูมีเพียง 39 แต้มเท่ากัน ( มันน่าถีบแมนยูตกชั้นเสียจริง ) .... 

........ จากที่ต้องมีการเปลี่ยนผู้จัดการทีมอีกครั้ง ลิเวอร์พูล ก็ใช้ Bootroom Staff อีกครั้ง ( จริงๆไม่ใช่หรอกตรูมั่วไปเอง เอิ๊กๆ ) ... โดยได้ไปดึง เลขานุการของ ทอม วัตสัน หรือน่าจะเป็นเลขาของสโมสร มาเป็น ซะงั้น นั้นก็คือ จอร์จ แพทเธอร์สัน ( 1928 - 1936 ) … มาคุมทีมลิเวอร์พูลแทนที่ แม็ต แมคควีน แต่การเอาตัว จอร์จ แพทเธอร์สันเข้ามาคุมทีมนั้น ดูเหมือนว่า จะใช้งานไม่ถูกกับคนหรือป่าวไม่รู้ ( Put the right man to the right Job ) เพราะตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ จอร์จ นั้นคุมทีม จอร์จ ไม่สามารถพาทีมลิเวอร์พูล คว้าถ้วยแชมป์รายการใดใด ได้เลย ( โอ้ว พระเจ้า จอร์จ มันยอดแย่ ) .. ถ้าเป็นสมัยนี้ โดนด่าตรูดไฟแล็บไปแล้ว .. ถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็น ความสำเร็จ หรือ เปอร์เซ็นที่ทำให้ทีมลิเวอร์พูลชนะแล้วนั้น ถือว่าต่ำกว่าผู้จัดการทีมก่อนหน้านี้ทุกคนเลย เอาเป็นว่า คุมทีมมา 366 นัดแต่ผลแพ้มากกว่า ผลชนะก็แล้วกัน ซึ่งจอร์จ ถือว่าเป็นคนเก่าคนแก่ของสโมสรเลยทีเดียว ทำงานมากับ ทอม วัตสัน น่าจะประมาณ เกือบ 2 ทศวรรษ ... ซึ่งคงเป็นเช่นนี้เอง ถึงได้ก้าวขึ้นมารับตำแหน่ง ผู้จัดการทีม .. ซึ่งผมก็ลองไปดูรายละเอียดการซื้อขายผู้เล่นของผู้จัดการทีมคนนี้ดู ซึ่งปรากฏว่า ผมไปเห็น ชื่อนักเตะคนหนึ่ง ซึ่งมันเป็นชื่อที่โด่งดังมาก เขาผู้นั้นคือ .. Matt Busby นักเตะผู้นี้ลงเล่นให้กับลิเวอร์พูลเพียงไม่กี่นัดเท่านั้น ค้าแข้งในแอนฟิลด์ตั้งแต่ฤดูกาลที่ 1936 - 1940 .. โดยลงเล่นไป 125 เกม ยิงได้ 3 ประตู ... โดยบัสบี้ย้ายมาจาก แมนซิตี้ .. ซึ่งไม่น่าเชื่อเลยว่า ในเวลาถัดมา แม็ต บัสบี้ กลับกลายเป็น ยอดผู้จัดการทีม ของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด .. สามารถกวาดแชมป์มาได้หลายถ้วยหลายรางวัล และ ที่เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงที่สุด เห็นจะเป็น การคว้าถ้วย ยูโรเปี้ยน คัพ ให้กับแมนยูเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ รวมทั้งเป็นใบแรกของเกาะอังกฤษ ซะด้วย .. ซึ่ง แม็ต บัสบี้คว้าถ้วย ยูโรเปี้ยนคัพ ได้ในปี 1968 ... แต่เป็นที่น่าแปลกใจพอสมควร ตอนเป็นนักเตะ แม็ต บัสบี้ ได้ลงเล่นให้กับทีม คู่รักคู่แค้น ทั้ง .. แมนเชสเตอร์ ซิตี้ .. และ ลิเวอร์พูล ต่อมาภายหลังได้รับพระราชทาน เป็น เซอร์ แม็ต บัสบี้ ....

@ ผู้จัดการทีมคนต่อๆมา ก่อนถึงยุครุ่งเรือง @

......... จอร์จ เคย์ เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมให้กับลิเวอร์พูล ในปีถัดมา ปี 1936 .. ซึ่งเขาได้ย้ายมาจาก เซาป์แธมป์ตัน .. เคย์ เคยมีประสบการณ์ในการเป็นผู้เล่นมาหลายสโมสร .. เช่น เวตส์แฮม , โบลตัน .. โดย ลิเวอร์พูลก็กลับเข้ามา พาทีมลิเวอร์พูลเป็น แชมป์ดิวิชั่น 1 อีกครั้งในปี 1947 .. แต่หลังจากที่ได้แชมป์มาในฤดูกาลนั้น ลิเวอร์พูล ก็ยังมีผลงานที่ดีไม่ต่อเนื่อง แต่ เคย์ก็ได้ ดึงตัวผู้เล่นและผู้จัดการทีมในระดับตำนาน เข้าสู่ อยู่หลายคน เช่น บิลลี่ ลิดเดลล์ ศูนย์หน้าระดับตำนานของทีม ... บ๊อบ เพสลีย์ ผู้จัดการทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเกาะอังกฤษ .. และ อลัน สตั๊บบิ้น กองหน้า ฉายา . ราชาสตั๊ดเหินหาว ... และ หลังจากนั้น เคย์ก็ได้ รีไทร์ตัวเองออกจากลิเวอร์พูลไปในปี .. 1951 .. ด้วยเรื่องปัญหาสุขภาพของตัวเขา .. ซึ่งคนที่เข้ามารับตำแหน่งแทน เคย์ก็คือ ... ดอน เวลช์ อดีต ผู้เล่นทีมชาร์ลตัน ซึ่งเคยได้แชมป์ FA CUP มาแล้วกับชาร์ลตัน ในฐานะนักเตะ เวลช์ถือเป็นนักเตะฝีเท้าดีคนหนึ่ง .. ซึ่งถึงแม้ เวลชจะเป็นผู้เล่นที่ดีคนหนึ่ง แต่ยามเมื่อเขามาคุมทีมลิเวอร์พูล ลิเวอร์พูลกับต้องประสบปัญหาอีกครั้ง ซึ่งในช่วง 2 - 3 ฤดูกาลแรก เวลช์ทำทีม ไม่ดีเท่าที่ควร อยู่ในระดับแค่กลางตาราง .. แต่แล้วในปี 1953 - 54 .. ลิเวอร์พูล ต้องตกลงไปเล่นในดิวิชั่น 2 อีกครั้ง หลังจากที่ได้เลื่อนชั้นมาสู่ดิวิชั่น 1 หลายปีแล้ว .. ในฤดูกาลนั้น ลิเวอร์พูลมีผลงานที่แย่มาก มีเพียง 28 คะแนน อยู่อันดับสุดท้ายของตาราง โดยฤดูกาลนั้นมีแม็ตช์ที่แพ้ ถล่มทายต่อคู่ตอสู้อยู่หลายนัด ไล่ตั้งแต่ แพ้ แพ้ นิวคาสเซิ่ล 1 - 5 .. รวมทั้ง แพ้ แมนยู และ ปอร์ทสมัธด้วย สกอร์เดียวกัน และ แพ้ต่อชาร์ลตัน ถึง 6 - 0 .. แต่หลังจากนั้น เวลช์ก็ได้ ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม .. ซึ่งหลังจากที่พาทีมตกชั้นไป เขาก็ไม่สามารถพาทีมกลับขึ้นมาได้ .. โดยผู้จัดการทีมคนต่อมาก็คือ .. ฟิล เทเลอร์ .... ช่วง ระยะเวลาที่ เทเลอร์ เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีม ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ สโมสรเลยก็ว่าได้ .. ซึ่งหลังจากที่ ลิเวอร์พูลต้องตกชั้นลงมาในดิวิชั่น 2 ในปี 1954 - 95 .. นั้น ในช่วงระยะเวลา อีก 4 ปีถัดไป เทเลอร์ก็ไม่สามารถพาทีมลิเวอร์พูล ซึ่งถึงแม้ เขาจะพยายามมากเท่าไหร ลิเวอร์พูล ก็ยังไม่สามารถทำผลงานได้ดีไปกว่าในอันดับ 3 - 4 ตลอดระยะเวลาที่ เทเลอร์คุมทีมลิเวอร์พูล ถือว่า มีผลงานที่ดี แต่ไม่ดีมาก .. ซึ่งสุดท้ายเขาก็ต้องลงจากตำแหน่งไปในปี 1959 ... แต่ก็ต้องขอบใจนาย เทเลอร์ไว้เหมือนกันเพราะว่า อย่างน้อยที่สุด เขาก็ได้ทิ้ง สุดยอดระดับตำนาน ให้กับ ลิเวอร์พูล ไว้ 1 .. คน นั้นก็คือ โรเจอร์ ฮันท์ ยอดดาวยิงของลิเวอร์พูล ซึ่งมีสถิติการพังประตู 286 ประตู จากการลงเล่น 492 นัด ...

@ กับความสำเร็จและรากฐานที่มั่นคง .. บิลล แชงค์คลี่ ยอดปรมาจารย์ของลิเวอร์พูล @

...... ถ้าจะถามว่า ลิเวอร์พูล มีความสำเร็จ มีหน้ามีตา .. มีชื่อเสียงที่โด่งดังมาจากใคร ?? .. นั้น แน่นอนว่า บุคคลท่านนี้ คงจะต้องมีรวมอยู่ในหัว ของบรรดาเดอะค๊อปทั่ว โลกอย่างแน่นอน .. บิลล์ แชงค์คลี่ สุดยอดผู้จัดการทีมของลิเวอร์พูล หรือจะเรียกว่า เป็น ปรมาจาร์ยของ สำนักลิเวอร์พูล เลยก็ว่าได้ .. ถ้าเทียบเคียงกับหนังเรื่องมังกรหยก ก็คงเป็นในระดับเดียวกับ อึ้งเอี๊ยะซือ แห่งเกาะดอกท้อ หรือ จะเป็น อั๊กชิกกง ของพรรคกระยาจกดี .. บิลล์ แชงค์คลี่เข้ารับงานจากทีมลิเวอร์พูล ในเดือน ธันวาคม ปี 1959 .. ตลอดระยะเวลา 15 ปีที่ บิลล์ แชงค์คลี่ เข้ามาคุมทีม แชงค์คลี่ได้ ปรับปรุง พัฒนา .. ปฏิวัติ รัฐประหาร เฮ้ย !! ... ทีมลิเวอร์พูล จนก้าวสู่ยอดทีมแถวหน้าของยุโรปเลยทีเดียว แชงค์คลี่ เข้ามา รีบิ้วทีมใหม่หมด ซึ่งแชงค์คลี่ ในฤดูกาลแรก ก็ต้องปล่อยนักเตะ ที่มีฝีมือไม่ถึง หรือว่าไม่อยู่ในแผนการทำทีมถึง 24 คน .. และได้จัดแจง ซื้อตัวผู้เล่น หลายๆคนเข้ามา โดยผู้เล่นคนแรกที่ แชงค์คลี่ได้ทำการซื้อเข้ามาคือ .. แซมมี่ รีด .. และแชงค์คี่ก็ได้ซื้อนักเตะผู้เล่นเข้ามาอีกหลายคน ซึ่งหลายๆคนก็เป็นระดับตำนานของทีมไปแล้วเช่น เอียน เซนต์จอนห์ .. รอน ยีตส์ .. เอมรี่ ฮิวส์ .. เรย์ คลีเมนส์ .. รวมทั้ง เควิน คีแกน .. จอนห์ โตแช็ค .. ที่ซื้อเข้ามาในช่วงหลังๆ .... แชงค์คลี่ เข้ามาคุมทีมลิเวอร์พูล โดยใช้เวลาเพียง 2 ปี เท่านั้น ลิเวอร์พูล ก็สามารถขึ้นกลับมาสู่ ดิวิชั่น 1 อีกครั้ง .. ในปี 1961 - 62 .. และ จากในการเลื่อนชั้น ขึ้นมา ถึงปัจจุบันก็เป็นเวลา กว่า เกือบครึ่ง ศตวรรษแล้วที่ ลิเวอร์พูลไม่กลับไปสู่ในดิวิชั่นที่ต่ำกว่าลีกสูงสุด .. ถ้าจะบรรยายเกี่ยวกับ แชงค์คลี่ เชื่อว่าคงจะต้องใช้พื้นที่อีกอย่างเยอะ เอาไว้มีโอกาสก็จะเจาะลึกไปที่ บิลล์ แชงค์คลี่ อีกครั้งนึงดีกว่านะครับ .. บิล แชงคคี่ วางมือจากการเป็นผู้จัดการทีมในปี 1974

@ สืบสานต่อความสำเร็จกับ Bootroom Staff ... @

Bootroom Staff คืออะไร ?? หลายๆคนคงทราบดีว่าคืออะไร ถ้าแปลกันตรงตัว ก็น่าจะประมาณ ห้องเก็บรองเท้า .. ซึ่งหลายทีมก็คงมีเช่นเดียวกับที่ลิเวอร์พูล มี ... ก่อนที่ บิลล์ แชงค์คลี่ จะได้วางมือจากการเป็นผู้จัดการทีมของลิเวอร์พูลนั้

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์