ประวัติของเคนนี ดัลกลิชตำนานหงส์แดง

ประวัติโดยละเอียดของตำนานหงส์แดง เคนนี่ ดัลกลิช

เคนนี ดัลกลิชถูกเปรียบเปรยว่าเป็นเครื่องจักรไล่ล่าความสำเร็จ ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะตลอดการเล่นฟุตบอล 22 ปีของเค้า ดัลกลิชคว้า แชมป์มาครองได้ถึง 26 รายการใหญ่ๆ และยังได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะในเชิงฟุตบอลคนหนึ่งด้วย

ดัลกลิชมีคุณสมบัติที่กองหน้าชั้นดีพึงจะมีไม่ว่าจะเป็นด้านทักษะ, การคอนโทรลบอล, ความเร็ว และการยิงประตูที่เฉียบขาด ครั้งหนึ่งเซอร์บ็อบ เพสลีย์เคยยกย่องเค้าว่า เค้าเปรียบได้กับคอนดักเตอร์ในวงออร์เคสตร้าดีๆนี่เอง






แฟ้มประวัติเคนนี ดัลกลิช
ชื่อจริง: เคนเน็ธ แมทธีสัน เจเรไมห์ ดัลกลิช
เกิดเมื่อ: 4 มีนาคม 1951
สถานที่เกิด: ดัลมาน็อค, กลาสโกว์; สก็อตแลนด์
ส่วนสูง: 5 ฟุต 8 นิ้ว (1.73 เซนติเมตร)
ตำแหน่ง: กองหน้า

ประวัติการเล่นฟุตบอล
ในสมัยเริ่มต้นเล่นฟุตบอลดัลกลิชหวังที่จะเริ่มต้นเล่นให้กับทีมเรนเยอร์ส เนื่องจากเค้าเกิดย่านดัลมาร์น็อคซึ่งเป็นฝั่งตะวันออกของเมือง กลาสโกว์ซึ่งเป็นแถบที่ตั้งของทีมเรนเยอร์ส และเค้าเคยไปทดสอบฝีเท้ากับทีมเรนเยอร์สแต่ก็ถูกปฏิเสธกลับมา ก่อนที่จะเดินทางไปทดสอบฝีเท้ากับเวสต์แฮม ยูไนเต็ดและลิเวอร์พูลแต่ก็ไม่ผ่านการทดสอบเหมือนเดิม และก็เป็นทีมเซลติกที่เห็นแววของเค้าและจับเค้ามาฝึกฝีเท้าจนเป็นนักเตะที่เก่งที่สุดของสก็อตแลนด์

เค้าเซ็นต์สัญญากับทีมเซลติกเมื่อพฤษภาคม 1967 ในยุคของแจ็ค สตีนซึ่งเป็นหนึ่งในตำนานผู้จัดการทีมของเซลติก โดยในเซลติกเค้ามีเพื่อนสนิทคือฌอน ฟาลเลน แต่การลงสนามครั้งแรกของดัลกลิชไม่ใช่กับเซลติกแต่เป็นกับทีมคัมเบอร์นัลด์ ยูไนเต็ดซึ่งดัลกลิชถูกยืมตัวมาใช้งาน โดยเค้ายิงได้ถึง 37 ประตูในฤดูกาล 1967/68

ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่ทีมเซลติกถือว่าเป็นทีมฟุตบอลที่ดีที่สุดของสก็อตแลนด์ และยังเป็นทีมฟุตบอลทีมแรกบนเกาะอังกฤษที่สามารถคว้าแชมป์ยูโรเปียน คัพมาครองได้อีกด้วยหลังจากเอาชนะอินเตอร์ มิลานที่สนามเอสตาริโอ เนชั่นแนล ในกรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส ในปี 1966/67 โดยดัลกลิชได้เข้ามาร่วมทีมหลังจากนั้น 3 ปี, โดยดัลกลิชทำสถิติยิงประตูมากที่สุดในเกมเดียวในเกมที่เซลติกชนะคิลมาร์น็อคไป 7-2 ซึ่งดัลกลิชทำประตูได้ถึง 6 ประตู

ในฤดูกาล 1971/72 ดัลกลิชเป็นคนทำประตูแรกในชัยชนะเหนือทีมเรนเยอร์ส 2-0 ที่สนามไอบร็อกซ์ ในรายการสก็อตติช ลีก คัพ โดยในฤดูกาลนั้นเค้าลงสนามไป 49 เกม

ในฤดูกาล 1972/73 ดัลกลิชสามารถทำได้ถึง 41 ประตู และเค้าได้รับแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมเซลติกในฤดูกาล 1975/76 แต่ก็เป็นปีที่ไม่ดีสำหรับเค้าเมื่อสตีนประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์

ดัลกลิชติดทีมชาติเป็นเวลาถึง 6 ปีในช่วงที่เล่นให้เซลติก โดยเกมแรกในทีมชาติเค้าเป็นตัวสำรองโดยลงไปแทนทอมมี โดเฮอร์ตีในเกมที่ชนะเบลเยี่ยม 1-0 ในรอบคัดเลือกฟุตบอลยูโร 72 เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 1971, ดัลกลิชทำประตูแรกในการลงเล่นให้ทีมชาติได้เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 1972 ในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกกับเดนมาร์ก ซึ่งสก็อตแลนด์ชนะไป 2-0 ที่สนามแฮมป์เดน ปาร์ค ซึ่งท้ายที่สุดสก็อตแลนด์สามารถผ่านเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในปี 1974 ที่เยอรมันตะวันตกได้สำเร็จ แม้ท้ายที่สุดสก็อตแลนด์จะตกรอบแรกก็ตาม

ในปี 1976 เค้าเป็นคนยิงประตูชัยให้สก็อตแลนด์ชนะอังกฤษ ที่สนามแฮมป์เดน ปาร์ค โดยเค้ายิงลูกรอดขาเรย์ คลีเมนต์ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้รักษาประตูที่เก่งที่สุดของอังกฤษในยุคนั้น

ดัลกลิชลงเล่นให้เซลติกไป 269 เกม และทำได้ 167 ประตู เฉลี่ยจะทำประตูได้ทุกๆ 1.6 เกม

ในวันที่ 10 สิงหาคม 1977 ดัลกลิชย้ายมาร่วมทีมลิเวอร์พูลในยุคของบ็อบ เพสลีย์ด้วยค่าตัว 440,000 ปอนด์ โดยย้ายมาทดแทนการขาดหายไปของเควิน คีแกนซึ่งย้ายไปเล่นให้ทีมฮัมบรูกส์ในเยอรมัน

ที่ลิเวอร์พูลดัลกลิชก้าวเข้ามาแทนที่คีแกนได้อย่างไม่มีที่ติ แม้ตอนแรกเค้าจะเป็นกังวลอยู่บ้างที่จะต้องเป็นคนสวมใส่เสื้อหมายเลข 7 ซึ่งคีแกนเคยใส่ก่อนหน้านี้ โดยเค้าลงเล่นให้ลิเวอร์พูลครั้งแรกในรายการแชร์ริตี้ ชิลด์ เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 1977 ซึ่งเป็นการพบกับทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งท้ายที่สุดทั้งสองทีมได้ครองแชมป์รายการนี้ร่วมกัน, ดัลกลิชทำประตูแรกให้ลิเวอร์พูลได้เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 1977 ซึ่งลิเวอร์พูลออกไปเยืนมิดเดิลสโบรช โดยดัลกลิชทำประตูได้ในนาทีที่ 7 ก่อนที่จบเกมเสมอกัน 1-1, ก่อนที่อีก 3 วันเค้าจะได้ลงเล่นในสนามแอนฟิลด์เป็นครั้งแรก ในวันที่ 23 สิงหาคม 1977 โดยพบกับนิวคาสเซิล ยูไนเต็ดซึ่งในครึ่งแรกทั้งสองทีมเสมอกันที่ 0-0 ก่อนที่เริ่มครึ่งหลังได้เพียงนาทีเดียวดัลกลิชจะทำประตูให้ลิเวอร์พูลขึ้นนำโดยเกมนั้นลิเวอร์พูลชนะไป 2-0

สำหรับฤดูกาลแรกของดัลกลิชในถิ่นแอนฟิลด์เค้าลงเล่นไปทั้งสิ้น 62 เกมและทำได้ 31 ประตู, โดยลิเวอร์พูลสามารถคว้าแชมป์ยูโรเปียน คัพมาครองได้อีกด้วยหลังจากที่ชนะทีมบรูกส์ (เบลเยี่ยม) ที่สนามเวมบลีย์ โดยเค้าเป็นคนยิงประตูชัยให้กับทีมอีกด้วย ในช่วงปลายทศวรรษที่ 70 ถึงกลางทศวรรษที่ 80 ดัลกลิชมีส่วนทำให้ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่แข็งแกร่งทั้งในประเทศและในยุโรปอย่างแท้จริง

ดัลกลิชได้ลงเล่นในศึกฟุตบอลโลกปี 1978 ที่อาร์เจนติน่า โดยเค้าสามารถทำประตูได้ในเกมที่สก็อตแลนด์เอาชนะฮอลแลนด์ 3-2 โดยอีก 2 ประตูเป็นผลงานของอาร์ชี แกมมิลล์, และในศึกฟุตบอลโลกปี 1982 ที่สเปน ดัลกลิชก็สามารถทำประตูได้อีกครั้งในเกมที่พบนิวซีแลนด์ 5-2 โดยดัลกลิชลงเล่นให้ทีมชาติสก็อตแลนด์ทั้งหมด 102 เกมและทำได้ 30 ประตู

ในเดือนเมษายน 1980 ลิเวอร์พูลจ่ายเงินจำนวน 300,000 ปอนด์เพื่อเป็นค่าตัวของนักเตะดาวรุ่งอย่างเอียน รัช ซึ่งเป็นการซื้อตัวนักเตะดาวรุ่งที่คุ้มค่าที่สุดของลิเวอร์พูลเลยก็ว่าได้ โดยในฤดูกาลแรกของรัชเค้าได้ลงเล่นไป 49 เกมและทำได้ 30 ประตูซึ่งได้ตำแหน่งดาวซัลโวประจำทีม ส่วนดัลกลิชลงเล่นไป 62 เกมและทำได้ 22 ประตู โดยในปีนั้นลิเวอร์พูลสามารถคว้าแชมป์ลีกมาครองได้สำเร็จบวกกับได้แชมป์ลีก คัพมาครองหลังจากเอาชนะท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ในรอบชิงชนะเลิศ โดยรัชเป็นคนทำประตูชัยได้ในช่วงต่อเวลาพิเศษ






ประวัติในการเป็นผู้จัดการทีม
หลังจากเหตุการณ์ เฮย์เซล สเตเดียม ในปี 1985 ที่มีแฟนบอลยูเวนตุสเสียชีวิตไปถึง 39 ศพทำให้โจ ฟาแกนตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล, โดยดัลกลิชถูกแต่งให้เข้ามารับหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ควบกับตำแหน่งผู้เล่นไปด้วยซึ่งถือว่าเป็นฤดูกาลที่เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมากมายในแอนฟิลด์, ในฤดูกาล 1985/86 ลิเวอร์พูลสามารถคว้าแชมป์ลีกมาครองได้อีกครั้งโดยมีแต้มมากกว่าทีมเอฟเวอร์ตันเพียง 2 แต้ม (โดยดัลกลิชเป็นคนทำประตูชัยในการพบการเชลซี ที่สนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ในนัดสุดท้ายของฤดูกาล) ต่อมาดัลกลิชยังพาทีมเอาชนะเอฟเวอร์ตัน 3-1 ในรอบชิงชนะเลิศรายการเอฟเอ คัพได้อีกด้วย

ดัลกลิชสามารถพาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกได้อีกครั้งได้ในฤดูกาล 1987/88 โดยเค้าได้เซ็นต์สัญญาคว้าตัวปีเตอร์ เบียดลีย์มาจากนิวคาสเซิล ยูไนเต็ดมาเสริมทีมเพียงคนเดียว, โดยในยุคที่ดัลกลิชเป็นผู้จัดการทีมเค้าได้ปรับแต่งทีมลิเวอร์พูลให้เป็นทีมที่มีการเล่นที่น่าดูไม่ว่าจะเป็นในด้านความสวยงาม, ความแข็งแกร่ง และด้านเอ็นเตอร์เทนแฟนบอล โดยดัลกลิชยังได้เซ็นสัญญาคว้าตัวจอห์น อัลดริดจ์จากอ๊อกฟอร์ดมาทดแทนการขาดหายไปของเอียน รัชที่ย้ายไปร่วมทีมยูเวนตุส, นอกจากนนั้นดัลกลิชยังจัดการคว้าตัวจอห์น บาร์นส์มาจากวัตฟอร์ดเพื่อเค้ามาประสานงานกับอลัน แฮนเซ่น, รอนนี วีแลน, สตีฟ แม็คมาฮอน, มาร์ค ลอเรนสัน และสตีฟ นิโคล, โดยในฤดูกาลนั้นลิเวอร์พูลทำผลงานได้ดีเยี่ยมโดยไม่แพ้ใครในลีก 29 เกมติด โดยชนะ 22 และเสมอ 7 โดยจบฤดูกาลนั้นดัลกลิชพาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกได้อีกครั้ง แต่ลิเวอร์พูลก็ไปแพ้พลิกล็อกต่อวิมเบิลดันในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ

โดยในปี 1989 ดัลกลิชพาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์เอฟเอ คัพได้สำเร็จหลังจากเอาชนะเอฟเวอร์ตันในรอบชิงชนะเลิศได้ แต่ก็ต้องผิดหวังในฟุตอบอลลีกเมื่อก่อนจะลงเล่นนัดสุดท้ายลิเวอร์พูลนำอาร์เซน่อลอยู่ 3 แต้มและต้องการผลเสมอเท่านั้นหรือแพ้ไม่เกิน 1 ลูกเป็นอย่างน้อย แต่ประตูของไมเคิล โทมัสที่ยิงให้อาร์เซน่อลชนะ 2-0 ก็ทำให้อาร์เซน่อลเบียดลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกไปครองด้วยผลต่างประตูได้เสียที่ดีกว่า

ดัลกลิชอยู่ในเหตุการณ์ที่ฮิลส์โบโรด้วย มีแฟนบอลลิเวอร์พูลเสียชีวิตไปถึง 96 ศพในวันที่ 15 เมษายน 1989 ในรายการเอฟเอ คัพรอบรองชนะเลิศที่พบกับน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ โดยดัลกลิชเคยให้สัมภาษณ์ว่า ผู้เสียชีวิตทั้ง 96 ศพนั้นจะยังอยู่ในใจของเดอะ คอปและนักฟุตบอลของลิเวอร์พูลไปตลอดกาล ก่อนที่ดัลกลิชจะประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลอย่างกระทันหันเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 1991 โดยก่อนที่เค้าจะลาออกเค้าได้นำนักเตะอย่างสตีฟ แม็คมานามานขึ้นจากชุดอคาเดมีมาเล่นในชุดใหญ่ และยังได้ซื้อตัวเจมี เรดแนปป์ซึ่งเป็นนักเตะคนสุดท้ายที่เค้าซื้อมา ก่อนที่ต่อมาทั้งคู่จะเป็นนักเตะคนสำคัญของลิเวอร์พูล

สมัยที่ดัลกลิชอยู่กับลิเวอร์พูล (ในฐานะนักเตะ/ผู้จัดการทีม) เค้าคว้าแชมป์ลีกสูงสุดไปครองได้ 8 สมัย, แชมป์เอฟเอ คัพ 2 สมัย, แชมป์ลีก คัพ 4 สมัย, แชมป์แชร์ริตี้ ชิลด์ 5 สมัย, แชมป์ยูโรเปียน คัพ 3 สมัย, แชมป์ยูโรเปียน ซุปเปอร์ คัพ 1 สมัย

ก่อนที่ดัลกลิชจะกลับมารับงานในตำแหน่งผู้จัดการทีมอีกครั้งเมื่อเดือนตุลาคม 1991 กับทีมแบล็คเบิร์น โรเวอร์สซึ่งอยู่ในดิวิชั่น 2 (เดอะ แชมเปียนชิพในปัจจุบัน) และเค้าก็พาทีมแบล็คเบิร์นกลับขึ้นมาเล่นในลีกสูงสุดได้อีกครั้งหลังจากที่เอาชนะเลสเตอร์ ซิตี้ 1-0 ในการแข่งขันรอบเพลย์ออฟเลื่อนชั้น และเป็นครั้งแรกที่แบล็คเบิร์นได้กลับมาเล่นในลีกสูงสุดอีกครั้งหลังจากปี 1966

แจ็ค วอล์คเกอร์ซึ่งเป็นเจ้าของทีมแบล็คเบิร์นได้ให้งบประมาณในการซื้อนักฟุตบอลแก่ดัลกลิชอย่างเต็มที่เพื่อที่จะทำให้ทีมได้เป็นแชมป์ลีกสูงสุด โดยดัลกลิชจัดการคว้าตัวอลัน เชียร์เรอร์มาจากเซาแธมป์ตันด้วยราคา 3.3 ล้านปอนด์ และเชียร์เรอร์ก็พาแบล็คเบิร์นจบอันดับที่ 4 ในฤดูกาลแรกที่ทีมได้เลื่อนชั้นกลับมาอีกครั้ง ก่อนที่ฤดูกาลต่อมาดัลกลิชจะซื้อตัวทิม ฟลาเวอร์สและเดวิด แบ๊ตตี้เข้ามาเสริมทีมและพาแบล็คเบิร์นเข้าป้ายในอันดับที่ 2 โดยแชมป์ตกเป็นของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ในฤดูกาล 1994/95 ดัลกลิชเซ็นต์สัญญาคว้าตัวคริส ซัตตันด้วยค่าตัว 5 ล้านปอนด์ซึ่งถือว่าเป็นสถิติของสโมสรเลยทีเดียว (ในสมัยนั้น) เพื่อให้มาเป็นคู่ขาในแดนหน้ากับอลัน เชียร์เรอร์ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเมื่อทั้ง 2 คนจับคู่กันถล่มประตูและทำให้แบล็คเบิร์นเบียดลุ้นแชมป์กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไปจนถึงนัดสุดท้าย ซึ่งนัดสุดท้ายดัลกลิชต้องพาทีมแบล็คเบิร์นไปเยือนลิเวอร์พูลที่สนามแอนฟิลด์ ในขณะที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดต้องออกไปเยือนเวสต์แฮม ยูไนเต็ด โดยก่อนเกมที่แอนฟิลด์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันได้ให้สัมภาษณ์ว่าเกมที่แอนฟิลด์อาจจะมีการสมยอมกันเพราะว่าดัลกลิชกับลิเวอร์พูลมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันและให้เอฟเอจับตาดูให้ดี ซึ่งในเวลา 90 นาทีทั้งคู่เสมอกัน 1-1 แต่ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บเจมี เรดแนปป์ก็ปั่นฟรีคิกให้ลิเวอร์พูลชนะแบล็คเบิร์น 2-1 แต่สิ้นเสียงนกหวีดหมดเวลาการแข่งขันแฟนบอลในสนามทั้งสองทีมกลับโห่ร้องแสดงความยินดีกับดัลกลิชเมื่อทราบข่าวว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไม่สามารถเอาชนะเวสต์แฮม ยูไนเต็ดได้ ทำให้แบล็คเบิร์นคว้าแชมป์ไปครองโดยมีคะแนนมากกว่าเพียง 1 คะแนน

โดยการคว้าแชมป์ของแบล็คเบิร์นครั้งทำให้ดัลกลิชได้แชมป์ลีกไปครองถึง 9 สมัย โดยดัลกลิชเป็นผู้จัดการทีมคนที่ 3 ที่สามารถทำทีม 2 ทีมเป็นแชมป์ลีกสูงสุดได้ ต่อจากเฮอร์เบิร์ต ชาปแมน (อาร์เซน่อลและฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์) และ ไบรอัน คลัฟ (ดาร์บี เคาน์ทรีและน็อตติงแฮม ฟอเรสต์)

หลังจากดัลกลิชพาแบล็คเบิร์นเป็นแชมป์ลีกสูงสุด เค้าก็ประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมในวันที่ 25 มิถุนายน 1995 โดยก้าวขึ้นไปรับตำแหน่งไดเร็กเตอร์ ฟุตบอลโดยเรย์ ฮาร์ฟอร์ดเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมคนใหม่ และนั้นก็เป็นจุดที่ทำให้แบล็คเบิร์นทำผลงานได้ตกต่ำมาตลอดจนถึงปัจจุบัน แต่เค้าก็อยู่ในตำแหน่งใหม่นี้ได้ไม่นานก็ลาออกไปโดยให้เหตุผลว่าต้องการพักผ่อนหลังจากเหนื่อยกับเรื่องฟุตบอลมานาน

ในเดือนมิถุนายน 1997 ดัลกลิชกลับเข้ามารับงานในตำแหน่งผู้จัดการทีมอีกครั้งให้กับทีมนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด โดยเข้ามารับหน้าที่แทนเควิน คีแกน โดยดัลกลิชสามารถพาทีมผ่านรอบคัดเลือกรอบที่ 2 ของศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีกเข้าไปเล่นในรอบแบ่งกลุ่มได้ แต่ผลงานในลีกไม่สวยงามนักเมื่อทีมจบที่อันดับที่ 13 และแพ้อาร์เซน่อลในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ก่อนที่เค้าจะถูกบอร์ดบริหารของนิวคาสเซิลไล่ออก

ในเดือนมิถุนายน 1999 เค้าเข้ามารับงานในตำแหน่งไดเร็กเตอร์ ฟุตบอลของทีมเซลติก ซึ่งตอนนั้นเค้าดึงจอห์น บาร์นส์เข้ามาเพื่อทำหน้าที่เฮดโค้ช จนทำให้สื่อและแฟนบอลเซลติกวาดฝันว่าทั้งคู่จะทำให้เซลติกกลับมาผงาดอีกครั้ง แต่ด้วยผลงานในสนามที่ไม่ดีนักทำให้บาร์นส์ถูกไล่ออกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2000 โดยในฤดูกาลนั้นเซลติกทำได้เพียงแค่คว้าสก็อตติช ลีก คัพมาครองได้เท่านั้นหลังจากชนะอเบอร์ดีน 2-0 ที่สนามแฮมป์เดน ปาร์ค






ชีวิตส่วนตัว
ดัลกลิชแต่งงานกับมาริน่าซึ่งรอดจากการเสียชีวิตเพราะเป็นมะเร็งเต้านม โดยเธอตรวจพบว่าเป็นมะเร็งเต้านมในเดือนมีนาคม ปี 2003 และได้พักรักษาตัวจากจากการผ่าตัดจนหายดี ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 4 คนโดยเป็นลูกสาว 2 คนคือ ลินเซย์ และลอเรน และมีลูกชาย 2 คนคือ เคลลี และพอล ซึ่งปัจจุบันเล่นฟุตบอลใน MLS กับทีมฮูสตัน ไดนาโม

ในปี 2004 เคนนีและมาติน่าก่อตั้ง The Marina Dalglish Appeal เพื่อเป็นกองทุนช่วยเหลือผู้เป็นมะเร็งเต้านม






สถิติในฐานะของการเป็นนักฟุตบอล









เกียรติยศและถ้วยรางวัลที่ได้รับในฐานะนักฟุตบอล

กับสโมสรเซลติก
แชมป์
แชมป์ดิวิชั่น 1 สก็อตแลนด์/สก็อตติช พรีเมียร์ ลีก - 1971/72, 1972/73, 1973/74, 1976/77
แชมป์สก็อตติช คัพ - 1971/72, 1973/74, 1974/75, 1976/77

รองแชมป์
รองแชมป์ดิวิชั่น 1 สก็อตแลนด์/สก็อตติช พรีเมียร์ ลีก - 1975/76
รองแชมป์สก็อตติช คัพ - 1972/73
รองแชมป์สก็อตติช ลีก คัพ - 1971/72, 1972/73, 1973/74, 1975/76, 1976/77

กับสโมสรลิเวอร์พูล
แชมป์
แชมป์ดิวิชั่น 1 (ลีกสูงสุด) - 1978/79, 1979/80, 1981/82, 1982/83, 1983/84, 1985/86
แชมป์เอฟเอ คัพ - 1985/86
แชมป์ลีก คัพ - 1980/81, 1981/82, 1982/83, 1983/84
แชมป์แชร์ริตี้ ชิลด์ - 1977/78, 1979/80, 1980/81, 1982/83, 1986/87
แชมป์ยูโรเปียน คัพ - 1977/78, 1980/81, 1983/84
แชมป์ยูโรเปียน ซุเปอร์ คัพ - 1977/78

รองแชมป์
รองแชมป์ดิวิชั่น 1 (ลีกสูงสุด) - 1977/78, 1984/85, 1986/87
รองแชมป์ลีก คัพ - 1977/78, 1986/87
รองแชมป์แชร์ริตี้ ชิลด์ - 1983/84, 1984/85
รองแชมป์ยูโรเปียน คัพ - 1984/85
รองแชมป์ยูโรเปียน ซุปเปอร์ คัพ - 1978/79
รองแชมป์ศึกชิงแชมป์สโมสรโลก - 1981/82, 1984/85

เกียรติยศส่วนตัวในฐานะนักเตะ
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของ PFA เมื่อปี 1983
Football Writers' Association Player of the Year เมือปี 1979, 1983
ได้รับเกียรติถูกบรรจุลงในฮอลล์ ออฟ เฟรมของอังกฤษ เมื่อปี 2002
ถูกโหวตให้อยู่ในอันดับที่ 1 ในการโหวตของแฟนๆบอลลิเวอร์พูลในเรื่องของนักเตะที่สร้างความสั่นสะเทือนให้กับเดอะ คอปมากที่สุด

กับทีมชาติ
ติดทีมชาติสก็อตแลนด์ทั้งสิ้น 102 เกม ทำได้ 30 ประตู
ได้รับเกียรติถูกบรรจุลงในฮอลล์ ออฟ เฟรมของสก็อตแลนด์
ติด 1 ใน 100 นักเตะยอดเยี่ยมตลอดกาลของฟีฟ่า
ได้รับเกียรติให้เป็นพลงเมืองกิติมศักดิ์ของเมืองกลาสโกว์ในปี 1986






สถิติในฐานะของการเป็นผู้จัดการทีม









เกียรติยศและถ้วยรางวัลที่ได้รับในฐานะผู้จัดการทีม
กับสโมสรลิเวอร์พูล
แชมป์
แชมป์ดิวิชั่น 1 (ลีกสูงสุด) - 1985/86, 1987/88, 1989/90
แชมป์เอฟเอ คัพ - 1985/86, 1988/89
แชมป์แชร์ริตี้ ชิลด์ - 1986/87, 1988/89, 1989/90, 1990/91

รองแชมป์
รองแชมป์ดิวิชั่น 1 (ลีกสูงสุด) - 1986/87, 1988/89, 1990/91
รองแชมป์เอฟเอ คัพ - 1987/88
รองแชมป์ลีก คัพ - 1986/87

กับสโมสรแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส
แชมป์
แชมป์เพลย์ออฟ (ดิวิชั่น 1) - 1991/92
แชมป์พรีเมียร์ ลีก - 1994/95

รองแชมป์
รองแชมป์พรีเมียร์ ลีก - 1993/94
รองแชมป์แชร์ริตี้ ชิลด์ - 1994/95

กับสโมสรนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด
รองแชมป์
รองแชมป์พรีเมียร์ ลีก - 1996/97
รองแชมป์เอฟเอ คัพ - 1997/98

กับสโมสรเซลติก
แชมป์
แชมป์สก็อตติช ลีก คัพ - 1999/2000

รองแชมป์
รองแชมป์สก็อตติช พรีเมียร์ ลีก - 1999/2000

เกียรติยศส่วนตัวในฐานะผู้จัดการทีม
ผู้จัดการยอดเยี่ยมประจำปี - 1985/96, 1987/88, 1989/90, 1996/97


ที่มา: http://en.wikipedia.org/wiki/Kenny_Dalglish























 


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์